สุริยันสาดแสงสีแดงเจิดจ้าในยามเช้า ผ่านหยกขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่เหนือชายคาของตำหนักฝูอวิ๋น ทั่วทั้งเรือนชิงโยวถูกแสงสะท้อนผ่องรัศมีงดงามเสียจนผู้คนไม่อาจที่จะลืมตาได้
ทว่าสิ่งที่งดงามกว่าแสงอาทิตย์นั้นก็คือเทพผู้สูงศักดิ์ที่ประทับอยู่ในเรือนชิงโยวอันเงียบสงบนั้น
เยี่ยโยวเหยานั่งเงียบๆ จิบชาอยู่ตรงกลางของเรือนชิงโยว
เสื้อคลุมสีฟ้าครามพร้อมเข็มขัดหยกสีขาวราวหิมะผูกรอบเอวดูขาวสะอาด ผ้าไหมสามพันปีสีกรมท่าทาบทับแนวบ่าไม่มีแม้ร่องรอยปมผูกใดๆ เขายกถ้วยน้ำชาชิดริมฝีปากอย่างสง่างาม
ภาพวาดนั้นงดงามเสียจนผู้คนไม่อาจกล้าที่จะลืมตาจ้อง มองราวกับว่าการมองเพียงแวบเดียวก็ถือเป็นการดูหมิ่นบุรุษผู้สูงศักดิ์ดุจดังเทพเจ้า
ซูจิ่นซีจ้องมองด้วยความเหม่อลอย ดวงตาของนางเบิกกว้างอย่างตกตะลึง แม้กระทั่งน้ำลายของนางก็ไหลย้อยลงมา
“พระชายาเพคะ? ”
แม่นมฮวามองไปที่ซูจิ่นซี นางเม้มริมฝีปาก ยิ้มกรุ้มกริ่มขึ้นมาทันที
“หือ? ”
ซูจิ่นซีกลับมามีสติอีกครั้ง นางเช็ดน้ำลายบนคางอย่างเขินอายแล้วตะโกนว่า “เยี่ยโยวเหยา” พร้อมทั้งวิ่งลงไปชั้นล่าง
แม่นมฮวาที่อยู่ข้างหลังตกใจอย่างมาก “ว้าย พระชายาเพคะ ท่านยังไม่ได้ใส่รองพระบาทเลยเพคะ! รองพระบาทของท่าน… ”
“เยี่ยโยวเหยา ท่านกลับมาแล้วหรือ? ในที่สุดท่านก็กลับมา! ”
พอคิดว่าเยี่ยโยวเหยากลับมาแล้ว สามารถที่จะไปหนานย่วนเป็นเพื่อนนางได้แล้ว นางไม่จำเป็นต้องไปเผชิญหน้ากับเฉินไท่เฟยเพียงผู้เดียว ซูจิ่นซีก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง ในระหว่างนี้เรื่องทั้งหมดก็โยนไว้ภายหลังเสีย
ทว่าตอนที่นางยืนอยู่ต่อหน้าเยี่ยโยวเหยานั้น ซูจิ่นซีก็ได้กลิ่นน้ำหอมหลงเซียนที่คุ้นเคยบนร่างกายของเยี่ยโยวเหยา ระบบถอนพิษส่งเสียง “ปี๊บปี๊บปี๊บ” โดยทันที เมื่อนางได้ยินเสียงเตือนรายงานพิษที่คุ้นเคยบนร่างกายของเยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซีจึงนึกถึงบางสิ่งบางอย่างได้ เรื่องที่ว่าก็คือเหตุการณ์ที่ตนกระทำกับบุรุษตรงหน้าในสวนดอกไม้หลังจวนสกุลซู
นางหยุดเดินในทันที แก้มของนางแดงก่ำ มือของนางอ่อนแรงทิ้งลงข้างลำตัวอย่างผิดปกติและศีรษะก็ก้มต่ำลง
เขินอาย รู้สึกผิด หรือแม้กระทั่งหวาดกลัว เมื่อนึกถึงความโกรธแค้น รังสีเดือดดาลและท่าทางดุร้ายของบุรุษผู้นี้ในคืนอภิเษกสมรส หากบอกกล่าวให้เขารู้ว่านางทำอันใดกับเขาไว้ นางอาจต้องตายอย่างอนาถใช่หรือไม่?
ซูจิ่นซีก้มศีรษะลง ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง จึงไม่สามารถมองเห็นปฏิกิริยาของทุกคน
เมื่อองครักษ์พบเห็นซูจิ่นซีในเวลานี้ พวกเขาก็ต้องหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว
เยี่ยโยวเหยาลืมตาขึ้นและเหลือบมองไปที่ซูจิ่นซี คิ้วบนใบหน้าของธารน้ำแข็งหมื่นปีขมวดเข้าหากันแน่น
ซูจิ่นซีสวมเพียงเสื้อคลุมด้านใน หรือที่เรียกว่าชุดนอน เท้านางเปล่าเปลือย ผมเผ้ายุ่งเหยิง แม้กระทั่งก่อนหน้านี้บนใบหน้ายังเช็ดน้ำลายออกไม่หมด มีแม้กระทั่งน้ำลายบนดวงหน้าของนางที่ยังไม่ได้เช็ดทำความสะอาด สภาพเช่นนี้แทบจะไม่ได้รักษาภาพลักษณ์ไว้เลย
สตรีสติไม่สมประดีผู้นี้ ที่แท้ก็โง่เขลาถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ซูจิ่นซีดูเหมือนจะตระหนักได้ว่าภาพลักษณ์ของนางแทบไม่เหลือเสียแล้ว นางถูสองเท้าของนางเข้าด้วยกันอย่างไม่สบายใจ แต่นางก็ไม่กล้าเงยหน้ามองขึ้นไปยังเยี่ยโยวเหยา
“นี่มันครึ่งชั่วยามแล้ว ไปจัดการทำตนเองให้สะอาดสะอ้านเสีย มิเช่นนั้นก็ออกไปจากเรือนชิงโยวนี่! ”
เยี่ยโยวเหยามีนิสัยรักความสะอาดเป็นอย่างยิ่ง การแสดงออกบนใบหน้าบ่งบอกว่าขยะแขยงเป็นที่สุด กระทั่งไม่อยากชายตามองใบหน้าของซูจิ่นซีเลยสักนิด
“เพคะ! ”
ซูจิ่นซีดั่งผู้ที่ได้รับการปล่อยตัว รีบหันหลังกลับมาราวกับกำลังหลีกเลี่ยงหมาป่าร้ายตัวใหญ่ นางวิ่งไปที่เรือนอวิ๋นไคทันที หากถามว่าตอนนี้นางอึดอัดเพียงใด สามารถดูได้จากท่าทางการวิ่งว่ามือและเท้าของนางประสานทิศทางกันอย่างไร
พอกลับมาถึงเรือนอวิ๋นไค หัวใจของซูจิ่นซีก็ยังคงเต้น “ตึกตึกตึก” ไม่เป็นจังหวะ
แม่นมฮวาและลวี่หลีเลือกเครื่องประดับ เสื้อผ้า และเครื่องสำอางให้ซูจิ่นซี พวกนางถามความคิดเห็นของซูจิ่นซีเป็นครั้งคราว ทว่าจิตใจของนางไม่ได้อยู่กับสิ่งเหล่านี้เลย
นางเอาแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในสวนหลังจวนสกุลซูในวันนั้น คิดสงสัยว่าเยี่ยโยวเหยาจะรับรู้หรือไม่ว่านางคือผู้ที่กระทำเขาในวันนั้น
ตามหลักแล้วแสงในคืนนั้นแย่มาก หากไม่ใช่เพราะกลิ่นน้ำหอมหลงเซียนที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาและพิษที่ระบบถอนพิษตรวจพบได้ นางก็ไม่มีทางรู้ด้วยซ้ำว่าผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากน้ำมือของตนคือเยี่ยโยวเหยา ตอนนั้นเยี่ยโยวเหยาอ่อนแอจึงกลายเป็นเช่นนั้น กระทั่งช่วงเวลาระหว่างนั้นเพราะนางคลุ้มคลั่งจนเกินไปจึงทำให้เขาหมดสติ ไม่มีเหตุผลใดจะดีไปกว่าความทรงจำและสายตาของนางเองอีกแล้ว
ท้ายที่สุดซูจิ่นซีตั้งใจแน่วแน่ที่จะให้กำลังใจตนเอง เยี่ยโยวเหยาตอนนี้อาจยังไม่ทราบเป็นแน่ มิฉะนั้นอิงตามความน่ากลัวอันรุนแรงของเยี่ยโยวเหยาและรัศมีการสังหารนั่น นางคงถูกหามส่งมัจจุราชตั้งแต่ครานั้นเสียแล้ว
“ใช่แล้ว เยี่ยโยวเหยา เขาไม่ทราบอย่างแน่นอน! ”
ซูจิ่นซีพยักหน้าอย่างแรง
“พระชายา ท่านเอ่ยสิ่งใดหรือเพคะ? สิ่งใดที่ท่านอ๋องไม่ทราบหรือเพคะ? ”
ใบหน้าของแม่นมฮวาเต็มไปด้วยความสงสัย
ซูจิ่นซีกลับมามีสติอีกครั้ง
“ไม่มี ไม่มีอันใด”
แม่นมฮวาไม่กังวลเรื่องนี้มากนัก นางถือปิ่นปักผมสีแดงที่งดงามยิ่งสองอันมาวางไว้ข้างหน้าซูจิ่นซี
“พระชายา ท่านดูสิเพคะ ชอบปิ่นอันใดมากกว่ากันหรือเพคะ? ”
ซูจิ่นซีเหลือบมองในกระจก เกือบจะตาบอดกับรูปลักษณ์ของนางในตอนนี้
ไม่พูดไม่ได้ว่าใบหน้าที่ไม่มีรอยพิษแล้วของเจ้าของร่างเดิมช่างงดงามเสียจริง หญิงงามสมัยก่อนเทียบกับหญิงศัลยกรรมในสมัยนี้แล้วสวยกว่าหลายเท่า ทั้งตา จมูก ปาก คิ้ว ใบหน้า และผิว ล้วนแต่เกิดมามีมาตรฐาน
เมื่อรวมกับกระโปรงสีฟ้าที่ใส่อยู่แล้ว แม้แต่ตนเองยังตกหลุมรักตนเองเลยจริงๆ ให้ตายสิ
แม้จะเต็มไปด้วยเครื่องประดับที่ยากจะหลีกเลี่ยง ใส่จนเกินความพอดีไปมากนี้ ในฐานะหมอพิษ ซูจิ่นซีไม่ชอบใส่เครื่องประดับเสียเท่าไร
ซูจิ่นซีไม่ได้เลือกปิ่นสีแดงของแม่นมฮวา ทว่านางกลับหยิบปิ่นสีเงินเรียบง่ายในกล่องเครื่องประดับแล้วนำมาเสียบที่ผมของตน
“อันนี้แล้วกัน! ”
เยี่ยโยวเหยาให้เวลานางครึ่งชั่วยาม ซูจิ่นซีโดยปกติแล้วอยู่แต่ในเรือนอวิ๋นไคไม่ค่อยรับรู้เรื่องราวอันใด
ความมั่นใจที่แน่วแน่ของนางก่อนหน้านี้ที่คิดว่าเยี่ยโยวเหยาไม่ทราบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในสวนหลังจวนสกุลซูนั้นนางเป็นผู้กระทำ จึงทำให้นางสามารถยืนต่อหน้าเยี่ยโยวเหยาได้อย่างเข้มแข็ง ไม่ขี้ขลาดเหมือนในคราแรก ทว่าในใจยังคงรู้สึกผิดและรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
“ท่านอ๋อง ข้าจัดการตนเองเรียบร้อยแล้ว ท่านว่าเรียบร้อยดีหรือไม่เพคะ? ”
เยี่ยโยวเหยาเงยศีรษะขึ้นจากถ้วย จ้องมองไปที่ซูจิ่นซี หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ลุกยืนขึ้น ไม่เอ่ยสิ่งใดกับนางแม้แต่น้อย แล้วเดินไปด้านนอกของเรือนชิงโยว
ซูจิ่นซีรู้สึกราวกับถูกทิ้ง เจ้าหน้าน้ำแข็งนี่น่าเบื่อเสียจริง ช่วยแสดงความคิดเห็นหน่อยจะตายหรืออย่างไร?
แม่นมฮวาที่ยืนอยู่ที่ประตูของเรือนอวิ๋นไค มองด้านหลังของซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาที่เดินออกจากเรือนชิงโยวไป นางปิดปากยิ้มร่าอย่างมีความสุข
“ฝ่าบาทเอง หลายปีมานี้ สาวงามประดุจดอกไม้มากมายเท่าไรมาหลงรัก แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ยอมแม้แต่จะมองพวกนาง เมื่อสักครู่กลับมองพระชายาด้วยแววตาเช่นนั้น ฮ่าฮ่าฮ่า ราวกับนัยน์ตาถลนเสียจนจะหลุดออกมา”
ซูจิ่นซีเดินตามเยี่ยโยวเหยาออกจากจวน พ่อบ้านก็ได้เตรียมรถม้าเอาไว้ให้แล้ว
เยี่ยโยวเหยายังคงไม่คุยกับซูจิ่นซีแม้แต่คำเดียว ทำเพียงมุ่งตรงไปขึ้นรถม้าเท่านั้น
ซูจิ่นซียืนอยู่ตรงหน้ารถม้า จ้องมองม่านบนรถที่มีสัญลักษณ์ของจวนอ๋องโยวแล้วภายในใจว้าวุ่นอุตลุดเป็นอย่างยิ่ง
แม้ว่านางจะไม่กลัวเยี่ยโยวเหยาแล้ว ทว่ารัศมีความน่ากลัวของบุรุษผู้นี้มหาศาลเสียจริงเชียว
เดินจากเรือนชิงโยวไปหน้าประตูไม่ไกลเท่าใด แม้ว่านางจะเดินตามหลังเขา ทว่ากลับถูกกดดันจนทนไม่ไหวเสียแล้ว และบัดนี้คาดไม่ถึงว่ากำลังจะได้นั่งรถม้าคันเดียวกันกับเขาอีก จะให้นางกดดันจนตายเลยหรืออย่างไรกัน?
แต่เหมือนว่าซูจิ่นซีจะไม่มีทางเลือก
“ซูจิ่นซี เหตุใดเจ้ายังไม่ขึ้นมาอีก! ”
เสียงโกรธเคืองเล็กน้อยของเยี่ยโยวเหยาดังมาจากในรถม้า
ร่างกายที่ยังหลงเหลือความหวาดกลัวต่อเยี่ยโยวเหยาของซูจิ่นซีนั้นตกใจจนสะดุ้งตัวโยน