โยวอ๋องก็เสด็จมาด้วยเช่นนั้นหรือ?
ทุกคนต่างมองไปทางรถม้าขนาดใหญ่ที่หรูหรา รอคอยให้เยี่ยโยวเหยาก้าวลงมาจากด้านบนเพื่อที่จะได้ยลโฉมหน้าผู้สูงศักดิ์ดั่งเทพเจ้า
ซูจิ่นซียกมือกอดอกไว้ นางมองอย่างอิ่มอกอิ่มใจไปยังม่านของรถม้าที่ไม่ขยับเขยื้อน
ท่าทางที่เหล่าองครักษ์ต่างมองซูจิ่นซีนั้น แทบอยากจะปาดเหงื่อแทนนางเลยทีเดียว
ความกล้าหาญของพระชายานั้นช่างมากมายเสียจริง คาดไม่ถึงว่าแม้แต่ท่านอ๋อง นางยังกล้าได้
ในที่สุดม่านของรถม้าก็ถูกยกขึ้นด้วยมือเรียวยาวคู่หนึ่ง บุตรแห่งสวรรค์ที่รอคอยมายาวนานปรากฏตัวขึ้นแล้ว
ผู้คนแทบจะลืมหายใจเมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่อาจเปรียบเทียบได้ของเยี่ยโยวเหยา ทว่าพวกเขาก็ต้องตกตะลึงกับรัศมีอันน่าสะพรึงกลัวที่ปกคลุมไปทั่ว และทยอยก้มศีรษะลงราวกับสรรพสัตว์ที่กำลังหมอบคลานอยู่ใต้เท้าของเทพเจ้า ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเงยหน้ามองขึ้นไป
และในหมู่สรรพสัตว์เหล่านี้มีเพียงซูจิ่นซีเท่านั้นที่ได้จับมือเขา ใบหน้าที่หันไปทางเยี่ยโยวเหยาเพลิดเพลินใจเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่าในโลกใบนี้มีเพียงพวกเขาสองคน และมีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่สามารถยืนเคียงคู่กันได้
ช่วงเวลานั้นเว่ยเหม่ยเจียกำลังมองไปที่เยี่ยโหยเหยา นางนึกปลื้มใจที่ได้พบกับบุรุษที่นางทุ่มเทความรักให้มานาน ไม่นึกว่าชายผู้เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบจะมากับซูจิ่นซีหญิงสารเลวที่โง่เขลาผู้นี้
เพียงแต่สีหน้าของเว่ยเหม่ยเจียยังคงเก็บความตื่นเต้นไว้ นางก้มศีรษะลงอย่างเขินอาย “สะ… เสด็จพี่เพคะ… ”
เยี่ยโยวเหยาไม่แลตามองเว่ยเหม่ยเจียเลยแม้แต่น้อย เขายืนอยู่บนรถ หันไปมองลูกสุนัขสีขาวราวหิมะนอนตายอยู่บนพื้นเล็กน้อย
“สุนัขที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนมอบไว้ให้เสด็จแม่ตายไปเมื่อห้าปีก่อนไม่ใช่หรือ? แล้วเจ้าสัตว์ชั้นต่ำตัวนี้ไปเอามาจากที่ใดอีก? ”
ฝูงชนต่างพากันตกใจไปชั่วครู่
ว่าอย่างไรนะ?
สุนัขที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงมอบไว้ให้เฉินไท่เฟยตายไปเมื่อห้าปีที่แล้ว?
แล้วนี่คือ?
หลังจากผ่านไปชั่วครู่สติของผู้คนก็เริ่มกลับมา เป็นเวลากว่าสิบปีแล้วที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ เมื่อยี่สิบปีที่แล้วพระองค์ได้มอบสุนัขให้เฉินไท่เฟยไว้
สุนัขตัวหนึ่งจะสามารถมีชีวิตนานถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?
เป็นที่แน่ชัดว่าเรื่องนี้มีคนจงใจวางแผนคิดจะใส่ร้ายพระชายาโยวอ๋อง!
คิดได้เช่นนั้น สายตาของทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองไปทางเว่ยเหม่ยเจีย
ร่างของเว่ยเหม่ยเจียตกอยู่ภายใต้สายตาของผู้คนที่เต็มไปด้วยความสงสัย กระทั่งออกจะรังเกียจเสียด้วยซ้ำ แทบจะมองไม่เห็นเลยว่าร่างของนางสั่นเทา ทว่าไม่นานรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ของเว่ยเหม่ยเจียก็ปรากฏบนใบหน้าดังเดิม
“ตายจริง! พี่สะใภ้ดูสิข้าตื่นเต้นจนพูดผิดแล้ว สุนัขตัวนี้เป็นลูกที่เกิดจากสุนัขที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนได้มอบให้เสด็จป้าเอาไว้ เหม่ยเจียไม่มีเจตนา พี่สะใภ้เป็นผู้ใหญ่แล้ว อย่าคิดเล็กคิดน้อยเลยนะเพคะ! ”
ซูจิ่นซียิ้มอย่างเยาะเย้ยในใจ หากไม่ใช่เพราะวันนี้มีเยี่ยโยวเหยาอยู่ด้วย ก็ไม่อาจทราบได้ว่าจะมีผลลัพธ์อันใดกำลังรอนางอยู่! ไม่ถือสา และจะไม่ถือโทษโกรธเจ้า เพราะข้ามีความแค้นเตรียมชำระอยู่แล้ว
“ในเมื่อน้องสาวไม่มีเจตนา เช่นนั้นก็คงเป็นความตั้งใจกระมัง? ”
เสียงของซูจิ่นซีดังขึ้น
เว่ยเหม่ยเจียไม่นึกว่าซูจิ่นซีจะไม่ไว้หน้ากันเช่นนี้ ใบหน้าของนางจึงซีดลงทันใด
เยี่ยโยวเหยาตรงเข้าไปยังตำหนักหนานย่วนโดยมีผู้คนล้อมรอบ ซูจิ่นซีจึงเดินผ่านเว่ยเหม่ยเจียอย่างอารมณ์ดี แล้วเดินตามหลังเยี่ยโยวเหยาเข้าไป
ไม่นึกว่าที่หน้าประตูนั้นจะเป็นเพียงแผนแรกเท่านั้น ภายหลังยังมีการสู้รบที่ยิ่งใหญ่กว่ารอนางอยู่!
ซูจิ่นซีเพิ่งจะเดินมาถึงห้องโถงใหญ่ ก็พบว่าข้างในมีผู้คนนั่งอยู่เป็นจำนวนมาก
ผู้คนเหล่านี้ล้วนมีกิริยาท่าทางสง่างาม เสื้อผ้าหรูหราฟุ่มเฟือย เพียงแค่มองดูก็รู้แล้วว่าเป็นกลุ่มคนที่มีฐานะสูงส่งและเป็นคนของฮ่องเต้
นำโดยสตรีผู้หนึ่ง ที่แม้จะอายุมากแล้ว ทว่าบุคลิกงามสง่า ยังคงรักษาเสน่ห์ท่วงท่าที่สง่างามชดช้อยเอาไว้ได้ ไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของกาลเวลาบนใบหน้านาง ดูแล้วสตรีผู้นี้คงจะเป็นเฉินไท่เฟย
เฉินไท่เฟยดูอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ พระองค์กำลังเล่นไพ่นกกระจอกอยู่กับสตรีที่มีฐานะสูงส่งสองถึงสามนาง
บ่าวรับใช้ด้านนอกกำลังประกาศว่าเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีมาถึงแล้ว ทว่ากลับถูกเยี่ยโยวเหยาห้ามปรามไว้ก่อน ไม่ทราบว่าเขาต้องการจะกระทำสิ่งใดเช่นกัน เดิมทีเยี่ยโยวเหยาที่กำลังเดินนำหน้าซูจิ่นซีอยู่นั้นกลับถอยมาอยู่ด้านหลังซูจิ่นซีอย่างเงียบๆ
ดังนั้นเมื่อเฉินไท่เฟยที่บังเอิญเงยหน้าขึ้นมา สิ่งแรกที่ได้เห็นจึงเป็นซูจิ่นซี กระทั่งเงาของเยี่ยโยวเหยาก็ไม่อาจเห็นได้
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินไท่เฟยหายไปในทันใด ‘เหยาจี[1]’ ในมือถูกทิ้งลงบนกองไพ่นกกระจอก พร้อมกล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี “มัวยืนทำอันใดอยู่ตรงนั้น จะรอให้ข้าไปต้อนรับเจ้าด้วยตนเองอย่างนั้นหรือ? ”
ซูจิ่นซีพ่นลมหายใจออกมาอย่างหนักด้วยความขุ่นเคืองใจ นางเดินไปข้างหน้าสองก้าวด้วยความสง่างาม ทันใดนั้นสตรีผู้งามสง่าชดช้อยและดูมีเสน่ห์นางหนึ่งก็เปล่งเสียงออกมา “้โอ้! ไท่เฟยเพคะ ลูกสะใภ้คนใหม่ของท่านช่างวางตัวได้ดียิ่งนัก! เข้าประตูมานานแล้ว ทว่าแม้แต่ชาก็ยังไม่ถวายให้แม่สามี วันนี้พระอาทิตย์ขึ้นถึงสามยามแล้วจึงจะมา ไม่เห็นแม่สามีอยู่ในสายตาเลยหรืออย่างไร? หรือว่าถูกโยวอ๋องหมดรักเสียแล้ว? ”
สตรีอีกนางหนึ่งพูดต่อเนื่องทันที “พระชายาเยี่ยนเป่ย ท่านไม่ควรที่จะพูดจาเช่นนี้ ท้ายที่สุดแล้วแม้ว่าจะเป็นพระชายาที่ท่านอ๋องไม่ทรงโปรดปราน ทว่าอย่างไรเสียก็เป็นสะใภ้ของราชวงศ์! ”
“ลูกสะใภ้ราชวงศ์ยิ่งควรเป็นผู้นำประชาชน ควรทำตนเป็นแบบอย่างมิใช่หรือ? แม้ราชวงศ์ของท่านอ๋องจะมีแซ่ต่างกัน ทว่าตำหนักในก็ล้วนยอมรับไม่ได้มาแต่ไหนแต่ไรกับสะใภ้ที่ไม่เข้าใจธรรมเนียมเช่นนี้”
“มันก็เป็นจริงอย่างที่ท่านพูด ทว่าท่านเองก็ไม่สามารถเอามาตรฐานที่ใช้กับสะใภ้ตำหนักของพวกท่านมาพิจารณาพระชายาโยวอ๋องได้! ท้ายที่สุดแล้วพระชายาโยวอ๋องเกิดมาค่อนข้างต่ำต้อย ธรรมเนียมพวกนี้ ไท่เฟยคงต้องค่อยๆ พร่ำสอนกันไป! ”
“พอได้แล้ว!”
ทันใดนั้นเฉินไท่เฟยก็เปล่งเสียงออกมาอย่างเย็นชา พระชายาเยี่ยนเป่ยและสตรีสาวนางนั้นที่พูดพล่ามอยู่เมื่อครู่ต่างเงียบเสียงไปโดยทันที
ซูจิ่นซีมองดูทั้งสามนางร้องเล่นการแสดงด้วยสายตาเย็นชาเพื่อที่จะดูสถานการณ์
ในวันนี้ แท้จริงแล้วเฉินไท่เฟยก็เป็นผู้เชื้อเชิญสตรีเหล่านี้มา นางจงใจทำให้ซูจิ่นซีอับอาย ให้ซูจิ่นซีรู้สึกลำบากใจ สิ่งที่พระชายาเยี่ยนเป่ยและหญิงสาวนางนั้นพูดกัน เฉินไท่เฟยเองก็รู้เห็นเป็นใจด้วยอย่างชัดเจน ในตอนนี้เฉินไท่เฟยเริ่มทำท่าทางเสียใจ การแสดงช่างสมบทบาทและน่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก
ดูเหมือนว่าเฉินไท่เฟยก็ไม่ใช่ผู้ที่ดีสักเท่าไร
“ซูจิ่นซี ข้าได้ยินมาว่าตอนที่เจ้าเพิ่งผ่านประตูเข้ามา รถม้าได้ทับสุนัขที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนมอบให้ข้าตายเสียแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่มีคุณค่าจากฮ่องเต้พระองค์ก่อนเชียวนะ เจ้าทราบหรือไม่ว่ากระทำความผิดอยู่? ”
หากซูจิ่นซียอมรับว่ากระทำความผิด เช่นนั้นสำหรับโลกนี้ความผิดนี้คงถือเป็นความผิดทางอาญาที่ต้องถูกฆ่าตัดหัว นางไม่ได้โง่ถึงเพียงนั้น
นอกจากนี้แล้ว นางยังไม่ได้นั่งอยู่ผู้เดียวในรถม้าเสียด้วย เหตุใดจึงต้องยอมรับผิดเล่า?
ยิ่งไปกว่านั้น เยี่ยโยวเหยาก็พูดแล้วว่าสุนัขที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนมอบให้เฉินไท่เฟยเอาไว้ได้แก่ตายไปเมื่อห้าปีที่แล้ว
ดูเหมือนว่าพวกข้าราชบริพารในตำหนักหนานย่วนจะทำงานไม่มีประสิทธิภาพเอาเสียเลย! เฉินไท่เฟยไม่ทราบเลยว่าเรื่องที่จัดเตรียมไว้ที่หน้าประตูเพื่อให้ซูจิ่นซีอับอายนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
“เสด็จแม่ ท่านจำผิดแล้วหรือไม่? สุนัขที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนประทานให้ท่านไว้ ตายไปเมื่อห้าปีก่อนไม่ใช่หรือ? ”
ซูจิ่นซีทำหน้าตาไร้เดียงสา
สีหน้าของเฉินไท่เฟยเปลี่ยนไปในทันที พระองค์ชี้ไปที่ซูจิ่นซีอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้า เจ้าพูดอันใดของเจ้า? ”
ซูจิ่นซีอธิบายอีกครั้งอย่างอดทน “เสด็จแม่ ข้าพูดว่าเสด็จแม่จำผิดหรือไม่? สุนัขที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนมอบให้แก่ท่านได้แก่ตายไปเมื่อห้าปีที่แล้วเพคะ! ”
เฉินไท่เฟยแทบจะอาเจียนเป็นเลือด “เจ้า เจ้าพูดจาพล่อยๆ เช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าไปฟังคำพูดซี้ซั้วนี้มาจากผู้ใดกัน? ”
“กระหม่อมเอง! ”
เสียงของเฉินไท่เฟยหายไป ตามมาด้วยเยี่ยโยวเหยาที่อยู่ข้างซูจิ่นซี เขาตะโกนด้วยเสียงดังสนั่นที่ดึงดูดผู้คน
ริมฝีปากเล็กๆ ของซูจิ่นซียกโค้งขึ้นมาอย่างช้าๆ นางยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบเชียบ ร่างที่สูงใหญ่และน่าเคารพของเยี่ยโยวเหยาก็ปรากฏตัวออกมาต่อหน้าผู้คน
ภายใต้ความรู้สึกตกใจ รูปปากของผู้คนล้วนมีลักษณะเป็นตัวโอ เยี่ยโยวเหยาเดินเข้าไปอย่างช้าๆ
เดิมทีเยี่ยโยวเหยาเพียงแค่มีเจตนาที่จะไม่แสดงตนออกมาให้พบเห็นเท่านั้น เพราะว่ารอทุกคนอยู่!
ซูจิ่นซีมองดูเงาของแผ่นหลังที่สูงและสมบูรณ์แบบของเยี่ยโยวเหยาจากแสงแดดในยามเช้า ช่างน่าศรัทธายิ่งนัก
เยี่ยโยวเหยา ท่านคือซุปเปอร์สตาร์ [2] ของข้า!
ข้าเลื่อมใสท่านยิ่งนัก!
……