ซูสือเยว่มองเขาอย่างเฉยชา “งั้นนายก็ติดต่อสิ”
หานหยุนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
เขาจำได้ว่า เขาเคยเมมเบอร์โทรศัพท์ของคนในตระกูลฉินไว้ แต่ไม่ว่าจะค้นหาในโทรศัพท์ยังไง เขาก็เจอแค่เบอร์ของฉินหลิงยี่
เขาขมวดคิ้วครู่หนึ่ง
ฉินหลิงยี่ก็ได้
ยังไงก็เป็นสมาชิกครอบครัวของตระกูลฉิน
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องตรงระเบียงทางเดิน เพื่อโทรศัพท์หาฉินหลิงยี่
……
โรงพยาบาลศูนย์กลางหรงเฉิง
หลังจากที่ฉินโม่หานนอนสลบไสลทั้งคืน ในที่สุดเขาก็ฟื้นขึ้นมา
เขาตื่นในตอนเช้าตรู่ ทุกสารทิศเต็มไปด้วยความเงียบงัน
ในห้องผู้ป่วยมีเตียงสองเตียง เตียงแรกคือเตียงที่เขากำลังนอนอยู่ ส่วนอีกเตียงคือ เด็กสามคนที่นอนด้วยกันอย่างสะเปะสะปะ
นั่งมองท่าทีที่พวกเขานอนกอดกัน ฉินโมหานได้แต่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา
ฉินโม่หานไม่อยากรบกวนพวกเขา เขาพยุงตัวเองลงจากเตียงอย่างยากลำบาก
จากนั้นก็เดินด้วยไม้ค้ำยันออกจากห้องไป
“คุณชาย!”
ไป๋ลั่วนั่งสัปหงกอยู่ตรงม้านั่งในระเบียงทางเดินมาโดยตลอด
เมื่อเห็นฉินโม่หานเดินออกมา เขาก็ลุกขึ้นยืนอย่างดีดเด้ง
ฉินโม่หานมองเขาและส่งสัญญาณมือให้เขาเงียบ
ไป๋ลั่วเหลือบมองเด็กน้อยทั้งสามที่กำลังนอนหลับอยู่ในห้องผู้ป่วย เขาลดเสียงลง “พวกเขาเฝ้าคุณหนึ่งวันหนึ่งคืนเลยนะครับ สงสัยจะเหนื่อยมาก”
พูดจบ เขาก็รีบเข้ามาประคองตัวฉินโม่หานไว้ “คุณฟื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ? ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง?”
“ก็ดี”
ภายใต้การประคองของไป๋ลั่ว ฉินโม่หานก็นั่งลงบนม้านั่งอย่างระมัดระวัง “มีข่าวคราวของเธอบ้างไหม?”
คำถามของเขา ทำเอาไป๋ลั่วเงียบไปชั่วขณะ
สักพักใหญ่ เขาก็ถอนหายใจ “ไม่มีครับ”
“พวกเราตามหาที่สนามบิน สถานีรถทุกแห่งของเมืองหรง”
“พวกเราตรวจดูกล้องวงจรปิดเกือบทุกที่ แต่ก็ไม่พบร่องรอยที่คุณผู้หญิงออกจากเมืองนี้ไป”
“แต่แน่นอนว่าเธอไม่ได้อยู่ที่เมืองหรงแล้ว”
“พวกเราได้ตรวจสอบการเดินทางในประเทศแล้ว แต่ก็ไม่พบบันทึกการเข้าประเทศของคุณผู้หญิง……”
ไป๋ลั่วมองหน้าลี่จิ่งชวนอย่างระมัดระวัง “แบบนี้แล้ว……คุณต้องการใช้กำลังคนที่ยุโรปเพื่อตามหาอีกแรงไหมครับ……”
ฉินโม่หานหลับตา “ลองตามหาในประเทศอีกสักหนึ่งวัน ถ้าหาไม่เจอ ค่อยให้ฝั่งนู้นเริ่มงาน”
ไป๋ลั่วพยักหน้า “ได้ครับ”
หลังจากที่พูดคุยกันเรื่องการตามหาซูสือเยว่แล้ว ไป๋ชั่วก็เงียบไปชั่วครู่ “แล้วเรื่องของเย่เชียนจิ่ว ทำอย่างไรดีครับ?”
“หลังจากที่คุณผู้หญิงจับเธอมา พวกเราก็ขังเธอไว้ ตอนนี้ก็ขังเธอมาหลายวันแล้ว”
“เมื่อวานคุณชายสองมาเยี่ยมคุณครั้งเดียว ดูเหมือนว่าอยากจะมาขอความเมตตา……”
ฉินโม่หานหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ขังไว้ก่อน”
“รอเธอกลับมาก่อน……ค่อยให้เธอมาจัดการด้วยตัวเอง”
คนที่เย่เชียนจิ่วทำร้ายคือ ซูสือเยว่
คนที่เธอต้องขอโทษคือ ซูสือเยว่
แม้แต่คนที่จับเย่เชียนจิ่วมาก็คือ ซูสือเยว่
แม้ว่าตอนนี้ซูสือเยว่ไม่ได้อยู่ที่เมืองหรง แต่เขาเชื่อว่าเธอจะต้องกลับมา
“โม่หาน”
ในตอนนี้เอง ระเบียงทางเดินก็มีเสียงทุ้มต่ำมาจากชายคนหนึ่ง
ฉินโม่หานเงยหน้า
สิ่งที่เห็นคือ ดวงตาที่ยิ้มร่าของฉินหลิงยี่
ท้องฟ้าเวลานี้มีความสว่างเล็กน้อย ฉินหลิงยี่ที่มีร่างสูงโปร่งสวมเสื้อคลุม ในมือถือกระตร้าผลไม้และช่อดอกไม้สด เขากำลังเดินตรงมาหาฉินโม่หาน
ฉินโม่หานหรี่ตาลง ภาพความทรงจำเมื่อหกปีก่อนก็ปรากฏขึ้น หลังจากที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งนั้น ฉินหลิงยี่ก็มาโรงพยาบาลเพื่อมาเยี่ยมเขาดังเช่นวันนี้
“สบายใจได้ พวกเราประกอบพิธีฝังศพแม่ของเด็กเป็นอย่างดี”
“นายทำเต็มที่แล้ว ไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง”
“จากนี้นายก็ใช้ชีวิตกับลูกๆให้ดี”
ปีนั้น ฉินหลิงยี่ได้พูดคำพูดพวกนี้ ในตอนที่ฉินโม่หานนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย เสมือนคำพูดพวกนี้ยังคงกระซิบอยู่ข้างหูเขา
เขาในตอนนั้นยังคงเหมือนเดิม เขารู้สึกห่างเหินกับพี่ใหญ่ แต่พี่รองคือคนที่รักเขาอย่างใจจริง
เขาเชื่อว่ามันคือเรื่องจริง และคิดว่าเขาเป็นญาติที่สนิทสนมมากที่สุด
ทว่าในตอนนี้
เขามองดูฉินหลิงยี่ที่เดินใกล้เข้ามาหาเขาทุกที เขากลับรู้สึกเหมือนโดนดูถูก
ฉินหลิงยี่ผู้รู้ทุกอย่าง
ตอนนั้น เขาพูดกับฉินโม่หานว่า เขาเจอตัวเฉินเชี่ยนแล้ว ผู้หญิงที่ตั้งท้องกับเขาและเป็นผู้หญิงที่เขาไม่ได้ตั้งใจจะนอนด้วยตั้งแต่แรก
ตอนนั้น เขาก็พูดอีกว่า เขาได้ประกอบพิธีฝังศพของเฉินเชี่ยนเป็นอย่างดี
ทว่าผลลัพธ์ที่ออกมา……
ห้าปีต่อมา เมื่อฉินหลิงยี่เห็นซูสือเยว่เลือกที่จะยืนอยู่ข้างเขา เขาก็เลือกที่จะเงียบ ไม่พูดไม่จา
ในตอนที่ซูสือเยว่ตามหาเฉินเชี่ยนที่ไม่มีจริงอย่างเต็มที่ เขาก็ยังทำตัวเงียบ อีกทั้งยังช่วยเย่เชียนจิ่วอย่างลับๆ
พี่ชายที่เขาคิดว่าสนิทที่สุด ตั้งแต่ต้นจนจบ คนที่ฉินหลิงยี่ปกป้องมีเพียงคนเดียวคือ เย่เชียนจิ่ว
“โม่หาน”
ฉินหลิงยี่ยืนตรงหน้าฉินโม่หาน พลางมองเขาด้วยสายตาที่ดูเป็นห่วง “ เป็นไงบ้าง ดีขึ้นไหม”
“เรื่องที่สือเยว่หายตัวไป ฉันให้เพื่อนที่สถานีตำรวจช่วยตามสืบแล้ว……”
“นายเป็นห่วงเธอด้วยหรอ?”
ฉินโม่หานลืมตาและกวาดสายตาไปที่ฉินหลิงยี่อย่างเย็นชา “นายคงอยากให้เธอไปไม่กลับซะมากกว่ามั้ง?”
คำพูดของเขา ทำเอาฉินหลิงยี่นิ่งไปชั่วขณะ
จากนั้น ฉินหลิงยี่ก็ยิ้มกริ่ม “ฉันรู้ว่านายอารมณ์ไม่ดี เพราะซูสือเยว่หายตัวไป”
“แต่ฉันเป็นห่วงเธอแล้วก็เป็นห่วงนายด้วย “
ฉินโม่หานถอนหายใจ “นายเป็นห่วงเย่เชียนจิ่วสิไม่ว่า?”
เมื่อเรื่องที่เก็บไว้ในใจถูกเปิดเผย ฉินหลงยี่ยกมุมปากอย่างเย็นชา จากนั้นหันหลังและนั่งข้างๆฉินโม่หาน “เรื่องที่เชียนจิ่วทำผิดไป ฉันยินดีที่จะขอโทษแทนเธอ”
“เธอแค่เอาแต่ใจไปหน่อย……”
ฉินโม่หานหรี่ตาลง
เขาหันไปมองฉินหลิงยี่ จากนั้นก็เงยหน้าและมองตรงไปข้างหน้า “ครั้งแรกสามารถสั่งสอนได้ ครั้งที่สองยังพอปกป้องได้ แล้วครั้งที่สามล่ะ?”
“เย่เชียนจิ่วคิดร้ายกับซูสือเยว่ จากนั้นก็วางแผนทำร้ายฉัน นั่นคือครั้งแรก”
“แอบวางเพลิงตอนที่ฉันกับซูสือเยว่เจอกันครั้งแรก นั่นคือครั้งที่สอง”
“ตั้งใจจ้างนักฆ่า เพื่อลอบฆ่าซูสือเยว่ตอนที่เธอกำลังถ่ายละครที่หมู่บ้านภูเขานั่นคือครั้งที่สาม”
พูดจบ เขาก็หันไปมองฉินหลิงยี่อีกครั้ง “นายปกป้องเธอทั้งที ไม่มีขอบเขตเลยหรอ?”
“แต่ขอโทษนะ ฉันมี”
“ฉันไม่รู้มาก่อนว่า สองครั้งก่อนเธอทำอะไรกับซูสือเยว่”
“ถ้าฉันรู้ ฉันไม่ปล่อยให้เธอมีชีวิตรอดมาถึงครั้งที่สามหรอก!”
คำพูดของเขา ทำเอาสีหน้าของฉินหลิงยี่ซีดเซียว
“จริงอยู่ที่เชียนจิ่วทำเรื่องไม่ดีไว้มากมาย……”
ฉินหลิงยี่หลับตา “เป็นเพราะฉันสั่งสอนเธอได้ไม่ดีพอ”
ตอนแรก เขาเคยพูดต่อหน้ากับเย่เชียนจิ่วไว้ว่า “ถ้าเธอแต่งงานกับฉินโม่หาน แผนการของฉันก็จะดำเนินได้เร็วขึ้น”
เพราะประโยคนี้ เย่เชียนจิ่วถึงได้กลายเป็นคนแบบนี้
เธออยากอยู่เคียงข้างเขามาโดยตลอด และจะได้เป็นผู้ช่วยเขา
เขารับรู้มาโดยตลอด
ครุ่นคิดมาถึงตรงนี้ ฉินหลิงยี่ก็ถอนหายใจ “ฉันไม่ได้มาที่นี่ เพื่อมาทะเลาะกับนายนะ”
“ที่ฉันมาที่นี่……เพราะฉันอยากทำข้อตกลงกับนาย”
ฉินโม่หานขมวดคิ้ว พลางหันไปมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา และไม่พูดอะไร
บรรยากาศในระเบียงทางเดินเข้าสู่โหมดความเงียบ
ฉินหลิงยี่กระแอมเบาๆ“ฉันหาเบาะแสของซูสือเยว่เจอแล้ว”
“แต่เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ฉันหวังว่านายจะปล่อยเย่เชียนจิ่วออกมา เพื่อให้ฉันเอาตัวเธอไป”