หลังอาหารเช้า ซูสือเยว่สะพายเป้ขึ้นหลัง เดินตามฉินโม่หานขึ้นรถ
ซิงเฉินกับซิงหยุนเด็กน้อยสองคนยืนอยู่หน้าประตูเหมือนพ่อแม่กำลังดูลูกๆ ออกจากบ้านไป
ซิงเฉินพูดอย่างเจตนาดีว่า
“ระวังตัวด้วยนะครับ”
“อย่าทำดีกับเด็กคนอื่นมากเกินไปนะ”
“รีบกลับมาทำอาหารอร่อยๆ ให้พวกเราทานนะครับ”
“ต้องถ่ายรูปสวยๆ กลับมาเยอะๆ ด้วยนะ”
“ต้อง…”
ซิงหยุนเหลือบมองเขาเล็กน้อย
สักพักเด็กน้อยก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่โตสดใสเป็นประกายมองหน้าซูสือเยว่ “ขอให้มีความสุขครับ”
ซูสือเยว่พยักหน้าหนัก “โอเคจ้ะ”
ครั้งนี้เธอไปคลายเครียด
เดี๋ยวรอเธอกลับมาจากการคลายเครียดครั้งนี้ จะเฉิงเซวียนหรือเซี่ยงหวั่นฉิงอะไรนั่น เธอต้องไม่สนอีกเลยแน่นอน!
“ขึ้นรถ”
ฉินโม่หานยืนขมวดคิ้วและพูดอย่างเย็นชาอยู่ข้างหลังเด็กน้อยทั้งสอง
ซูสือเยว่เปิดประตูขึ้นรถไปอย่างเชื่อฟัง
ชายหนุ่มร่างสูงหันไป เหลือบมองเด็กน้อยสองคนที่ยังสูงไม่ถึงต้นขาของตัวเอง “ฉันออกไปทำธุระตั้งหลายครั้ง ไม่เห็นพวกเธอเคยมาส่งฉันเลย”
ซิงเฉินกลอกตา “คุณพ่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ยังต้องการการเอาใจใส่จากเด็กอย่างเราด้วยเหรอครับ”
ชายหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อย
“ซูสือเยว่ก็โตแล้วไม่ใช่หรือไง”
“มันไม่เหมือนกัน!”
“ไม่เหมือนกันตรงไหน”
ซิงเฉินเบะปาก คิดไม่ได้ว่าจะตอบคำถามเขาอย่างไรดี แต่ซิงหยุนกลับหันหลังเดินเข้าบ้านไปเงียบๆ “เราชอบผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย”
ซิงเฉินพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ใช่! เราชอบผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย!”
“คุณพ่อต้องดูแลหม่ามี๊ให้ดีด้วย!”
เมื่อพูดจบ เด็กน้อยก็รีบก้าวเตาะแตะตามซิงหยุนไป “พี่ใหญ่ รอผมด้วย!”
“อย่าแตะคุกกี้ที่หม่ามี๊เตรียมไว้ให้ผมนะ!”
ฉินโม่หานยืนอยู่ที่เดิม มองด้านหลังเด็กทั้งสองอย่างโหดเหี้ยมไร้ความปราณี พร้อมกับพ่นลมหายใจเล็กน้อย
แม้แต่บอกอวยพรการเดินทางก็ไม่มีงั้นเหรอ
เห็นขี้ดีกว่าไส้!
ชายหนุ่มยืนอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งร่างของเจ้าตัวเล็กทั้งสองคนหายไป ถึงเพิ่งก้าวเท้าขึ้นรถ
ในรถ ซูสือเยว่กำลังคุยโทรศัพท์กับฟู๋เชียนเชียน
“สือเยว่ รออยู่ตรงทางแยกแล้วนะ!”
“ที่ตัวฉันสวมชุดแพงที่สุดเลย ถ้าคุณท่านชายฉินยังคิดว่าฉันจนอีกล่ะก็ เธอต้องจำไว้ว่าฉันพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว!”
“เมื่อเช้าฉันตื่นตั้งแต่ตีห้า ใช้เวลากว่าสองชั่วโมงในการแต่งหน้า ก็เพื่อจะไม่ให้เธอต้องอับอาย…”
เสียงของฟู๋เชียนเชียนดังมาก
แม้ว่าซูสือเยว่จะไม่เปิดลำโพง ถึงขนาดจงใจใช้มือกดปิดมันเอาไว้ แต่เสียงดังของหญิงสาวยังก้องไปทั่วทั้งรถ
ฉินโม่หานที่สวมสูทสีดำนั่งลงอย่างสง่างามข้างซูสือเยว่ เหลือบมองเธอเล็กน้อย
ซูสือเยว่รู้เลยว่าเขาต้องได้ยินแน่ๆ!
“เธอเบาเสียงหน่อย!”
หญิงสาวเม้มปาก ออกแรงกดปิดลำโพงโดยไม่รู้ตัว
แต่ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์
“ถึงแม้ครั้งล่าสุดคุณท่านชายฉินจะเห็นฉันในวิดีโอคอล แต่เขากำลังยุ่งมาก ต้องจำไม่ได้แน่ว่าฉันหน้าตาเป็นยังไง”
“ครั้งนี้ฉันต้องดึงภาพตัวเองกลับมาอยู่ในใจของเขาให้ได้!”
ซูสือเยว่กลอกตา “ฟู๋เชียนเชียน เธอเบาเสียงหน่อย…”
เธอยังพูดไม่ทันจบ มือใหญ่ก็ยื่นนิ้วเรียวยาวเข้ามา
ชายหนุ่มยื่นสองนิ้วยาวมาเอาโทรศัพท์มือถือของเธอไปกดเปิดลำโพง “ไม่ต้องลำบากขนาดนั้น”
ฟู๋เชียนเชียนซึ่งเดิมทียังคงคุยอยู่ที่ปลายสายดูเหมือนจะถูกกดปุ่มหยุดชั่วคราวในฉับพลันจนหยุดนิ่งไปทันที
ฉินโม่หานส่งเสียงทุ้มต่ำและไม่แย่แส “คราวหน้าไม่ต้องทำแบบนี้ เสียเวลาเปล่า”
“ผมจะไม่มองอะไรคุณนักหนาหรอก”
ฟู๋เชียนเชียน “………..”
ซูสือเยว่ “………..”
ท่ามกลางความเงียบงัน ฉินโม่หานวางสายโทรศัพท์ด้วยการเคลื่อนไหวอย่างสง่างามเป็นปกติ ยัดโทรศัพท์มือถือเข้าใส่มือของซูสือเยว่
“ออกรถ”
เมื่อชายหนุ่มพูดจบ ไป๋ลั่วจึงรีบสตาร์ทรถ
มาเซราติสีดำแล่นไปบนท้องถนนของเมืองว่องไวปานนกโผบิน
ซูสือเยว่ถือโทรศัพท์มือถืออยู่นานมากก็ยังไม่ได้สติคืนกลับมา
จนสักพักเธอก็เม้มริมฝีปาก เหลือบตาขึ้นมองฉินโม่หาน “คุณทำแบบนี้…ไม่ใช่ว่าจะ…”
“ไม่ใช่ว่าจะอะไร”
“เสียมารยาทเหรอ”
ฉินโม่หานเปลี่ยนท่าที่สบายพิงเบาะหลัง หลับตาลงร่างกายเอนหลังอย่างสง่างามและเกียจคร้าน “เธอเครียดเกินไป”
“คุณเป็นภรรยาของผม เธอเป็นเพื่อนรักของคุณ ต่อไปผมกับเธอต้องมีโอกาสได้เจอกันอีก”
พูดอย่างนั้นแล้วเขาก็ลืมตาขึ้นมา ดวงตาลึกจับจ้องมั่นคงมาที่เธอ “หรือจะบอกว่า คุณหวังว่าต่อไปทุกครั้งที่เธอเจอผมจะให้เครียดตลอดหรือไง”
ซูสือเยว่ “………”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายตาที่มีแรงดึงดูดมากเกินไปของเขาหรือว่าเสียงทุ้มทรงเสน่ห์
ในเวลานี้ที่เธอมองเขาแบบนี้จู่ๆ เธอก็พูดไม่ออก
เธอยังถึงขั้นรู้สึกว่าเขาพูดมีเหตุผล
เธอจ้องเขา เขาก็มองเธอเช่นกัน
สองตาประสาน ซูสือเยว่รู้สึกหายใจลำบากขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าก็ยิ่งร้อนขึ้น…
ขณะที่อากาศระหว่างคนทั้งสองค่อยๆ คลุมเครือและควบคุมไม่ได้ รถก็พลันหยุดลง
ไป๋ลั่วลดหน้าต่างรถลง มองไปทางผู้หญิงที่ยืนอยู่หน้าป้ายรถเมล์ “คุณฟู๋เชียนเชียนหรือเปล่าครับ”
“ฉันเองค่ะ!”
ฟู๋เชียนเชียนที่อยู่ในชุดกระโปรงยาวสวยหรูหรารีบพยักหน้า วิ่งเหยาะๆ อย่างตื่นเต้นไปยังรถของพวกเขา
ระยะห่างประมาณห้าเมตรจากมาเซราติ เท้าที่ใส่รองเท้าส้นสูงของฟู๋เชียนเชียนเกิดพลิกอย่างแรง——-
“ตึง——-!”
หญิงสาวล้มลงกับพื้น
ซูสือเยว่เม้มผาก รีบเปิดประตูลงจากรถ ก้าวเดินอย่างรวดเร็วพุ่งไปช่วยฟู๋เชียนเชียนลุกขึ้น “ไม่เป็นไรนะ”
“ไม่เป็นไร”
ฟู๋เชียนเชียนหน้าตาหงอยเหมือนจะร้องไห้ถูกซูสือเยว่ช่วยขึ้นมา “น่าอายจังเลย…”
“ไม่เป็นไรหรอก อย่าทำเหมือนเขาเป็นคนอื่นสิ”
“เขาเป็นสามีของฉัน ต่อไปเธอยังต้องเจอเขาอีกบ่อยๆ นะ”
พูดจบเธอก็เปิดประตูเบาะหลัง “ขึ้นรถ”
ทันทีที่ฟู๋เชียนเชียนก้นถึงเบาะ ก็เห็นใบหน้าของชายหนุ่มที่เบาะหลัง
เธออุทานก่อนจะรีบลุกขึ้น “ไม่ ไม่เป็นไร ฉันนั่งข้างคนขับดีกว่า”
หญิงสาวพูดอย่างนั้นแล้วก็ไม่สนว่าเท้าของตัวเองเพิ่งจะพลิกมา ตรงไปยังตำแหน่งข้างคนขับแล้วเปิดรถขึ้นไปทันที
ซูสือเยว่ “……….”
ที่จริงเธออยากให้ฉินโม่หานสละที่นั่งให้ฟู๋เชียนเชียนต่างหาก…
มองดูฟู๋เชียนเชียนคาดเข็มขัดนิรภัยตรงที่นั่งข้างคนขับแล้วซูสือเยว่ก็อับจนหนทาง ได้แต่ขึ้นรถไปนั่งข้างฉินโม่หานอย่างปลงๆ
จากเมืองหรงถึงเมืองถง ระยะทางไม่นับว่าใกล้มาก
ภายในรถเงียบสงัด
ซูสือเยว่มองดูวิวนอกหน้าต่างพร้อมกับหาวกว้างอยู่บ่อยๆ
บรรยากาศที่เงียบเกินไป การเดินทางที่สะดวกสบายเกินไป ทำให้ซูสือเยว่ค่อยๆ ง่วงนอน
จนในที่สุดหญิงสาวก็ผ่อนลมหายใจยาวเอนพิงหน้าต่างรถ
ท่ามกลางอาการสะลึมสะลือ เธอรู้สึกว่ามีมือใหญ่มาประคองศีรษะเธอออกจากหน้าต่าง
กระทั่งเธอไปซบกับอกกว้างอันอบอุ่น
และมีเสียงดังขึ้นเลือนรางที่ข้างหู
“คุณท่านชายฉิน คุณช่าง…ใจดีกับสือเยว่จริงๆ”
“เธอเป็นภรรยาของผม”