สาวชาวนาผู้ชั่วร้ายกับระบบวิเศษ – ตอนที่ 14 ต้องโทษเนื้อหัวหมู

        ในที่สุดรถเข็นวัวก็เคลื่อนกลับมาถึงหมู่บ้านในช่วงเวลาอาหารเที่ยง หลิวชิวเซียงกำลังวางตะเกียบขณะที่หลิวเต้าเซียงกลับถึงบ้านและเดินเข้าห้องทิศตะวันตกก่อนเพื่อแอบยื่นน้ำตาลแดงที่ซื้อมาได้ให้จางกุ้ยฮัว

        “แม่ อย่าเอ็ดไป ข้าได้ยินจากย่าบ้านข้างๆ ว่า แม่อยู่เดือนต้องดื่มน้ำผสมน้ำตาลแดงเยอะๆ ”

        “ลูกรัก เจ้าไปเอาเงินมาจากไหน บ้านเราไม่ชอบการขโมยของของผู้อื่นนะ” จางกุ้ยฮัวไม่เพียงไม่ดีใจ แต่ยังจดจ้องนางด้วยใบหน้าตึงเครียด มือซ้ายกำลังจะชูขึ้นเหนือผ้าห่มเพื่อรับมา แต่ก็ข่มใจวางมือลง

        หากยามปกติหลิวเต้าเซียงเป็นพวกที่ชอบลักเล็กขโมยน้อย เห็นทีคงได้โดนสั่งสอนไปนานแล้ว จางกุ้ยฮัวยังคงเชื่อว่าลูกของตนนั้นไม่ได้มีสันดานไม่ดี

        “แม่ ท่านคิดไปถึงไหน? เงินค่าน้ำตาลแดงนี้ ข้าแอบไปเก็บผักบนเขามา อย่างพวกเห็ดต่างๆ แล้วแอบซ่อนไว้ข้างลำธารด้านนอก เช้าวันนี้ข้าเอาไปขายที่ตำบล จึงแลกเงินกับเขามา เอ ใช่สิ บ้านนั้นยังบอกอีกว่าต้องการสินค้าอีก วันต่อๆ ไป ข้าจะขึ้นไปบนเขาสักสองวัน แล้ววันมะรืนจะส่งผักไปให้เขาอีก ถึงตอนนั้นข้าจะซื้อพุทราจีนมาต้มกับน้ำตาลแดงให้แม่กิน”

        จางกุ้ยฮัวมองดูบุตรสาวตัวน้อยของตนที่เพิ่งจะอายุเจ็ดขวบ พลันรู้สึกจุกในใจ หากว่านางดีกว่านี้แล้วสามารถคลอดบุตรชายให้กับหลิวซานกุ้ยได้สักคน แม่ยายของตนจะไม่ชอบขี้หน้านางได้อย่างไร จะว่าไปแล้วก็ต้องโทษร่างกายตนเองที่ไม่เอาไหน

        หลิวเต้าเซียงเห็นท่าทีนั้นจึงเอ่ยอีก “แม่ ท่านรู้ตัวว่ากำลังอยู่เดือน แล้วไยจึงร้องไห้อีก ท่านกลัวว่าบ้านเรายังจนไม่พอ หรือกลัวว่าข้ากับพี่สาวยังทำงานบ้านไม่มากพอหรือ ถึงต้องทำให้พ่อเราต้องไปขอย่าให้เชิญหมอท้องถิ่นมารักษาแม่กัน?”

        จางกุ้ยฮัวอ้าปากแต่พูดอะไรไม่ออก สองมือกำผ้าห่มแน่น แหงนหน้าขึ้นเพื่อบังคับให้น้ำตาไหลกลับเข้าไป

        “ต้องโทษพ่อแม่ที่ชีวิตไม่ดี ทำให้เจ้าต้องลำบาก ย่าเจ้าเป็นผู้อาวุโส ต้องเคารพ”

        หลิวเต้าเซียงฟังคำพูดเหล่านี้จนแทบจะมีหนอนขึ้นในหู นางโบกมืออย่างรำคาญใจแล้วเอ่ย “แม่ ท่านไม่ต้องพูดแล้ว น่าหงุดหงิดเหลือเกิน หากนางมองพวกเราเป็นคนในครอบครัวจริง ก็คงไม่จับน้องเล็กไปกดน้ำกับอ่างล้างเท้าอย่างแน่นอน แล้วยังบอกอีกว่าเปลืองข้าวสาร แม่ ท่านเห็นที่อาเล็กแต่งกาย หรืออาหารที่นางกินหรือไม่? มีสิ่งใดบ้างที่ด้อยกว่าข้ากับพี่ใหญ่ เราต่างก็เป็นลูกสาว หลานสาวของพวกท่าน แต่พวกท่านหาเงินมาได้ก็ต้องยกให้ย่าหมด แต่ย่าเคยให้เราสักแดงหรือไม่?”

        จางกุ้ยฮัวอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่หลิวเต้าเซียงบันดาลโทสะแล้วเอ่ยต่ออย่างมีน้ำโห “อย่าพูดเกี่ยวกับผ้าหยาบสองม้วนที่นางให้พ่อข้าอีกเลย ต้นไม้ก็มีเปลือก คนย่อมมีหน้าตา วันๆ พ่อเอาแต่ทำงานอยู่ในเถียงนา ส่วนลุงใหญ่กับลุงรองล้วนก็สวมใส่ผ้าไหมทำงานสบาย เรื่องนี้หากให้ผู้อื่นมองก็คงต้องต่อว่านางบ้าง พ่อข้าอย่างน้อยถ้าไปทำงานกับบ้านคนรวย ปีหนึ่งก็ต้องได้สักหนึ่งถึงสองตำลึงเงิน เลี้ยงดูครอบครัวเราก็พอไหว อย่างน้อยก็คงไม่รันทดถึงขั้นไม่มีข้าวกิน ไม่มีเสื้อผ้าใส่”

        “พ่อเจ้า เฮ้อ พ่อเจ้าแค่รู้สึกว่าย่าเจ้าน่ะโกรธเคืองย่าทวดของเจ้า ที่นางไม่ควรแยกพ่อเจ้าไป ดังนั้น ย่าเจ้าจึงยังมีความโกรธเคืองฝังลึกอยู่ในใจจนถึงทุกวันนี้”

        หลิวเต้าเซียงรับรู้เรื่องนี้ หลิวซานกุ้ยนั้นเติบโตมากับย่าทวดและปู่ทวด แต่หากให้นางพูดล่ะก็ คงเหมือนเด็กที่อยู่กับผู้เฒ่าผู้แก่ พ่อแม่ไม่ได้รักและเอ็นดูนัก

        สิ่งที่หลิวเต้าเซียงไม่รู้คือ อันที่จริงคำพูดเหล่านี้จางกุ้ยฮัวรู้แก่ใจดีอยู่แล้ว แต่ก่อนจางกุ้ยฮัวรู้สึกว่าตนเองไม่มีสินสอด ตอนแต่งเข้ามาจึงไม่ค่อยสู้คน บวกกับตนเองไม่สามารถคลอดบุตรชายได้ ในใจจึงเกิดความรู้สึกกล่าวโทษตนเองอย่างถึงที่สุด

        ตอนนี้ความคิดของนางเริ่มกลับมา ในใจเริ่มมีความโกรธเคืองที่แม่ยายไม่ยุติธรรม นางเองก็ไม่ได้โง่เขลา เพียงแต่มองเรื่องนี้เป็นความเคยชิน ไม่มีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดจึงค่อยๆ รู้สึกชินชาไปเอง แต่พอหลิวเต้าเซียงระเบิดความโมโห จึงสะกิดความน้อยเนื้อต่ำใจที่ซ่อนลึกอยู่ภายในใจของนางขึ้นมา

        “แม่รับปากว่า ต่อไปหากพวกเจ้าหาเงินได้ แม่จะเก็บไว้ให้พวกเจ้าอย่างดี รอจนกว่าพวกเจ้าจะแต่งออกไปจะได้มีเงินเก็บบ้าง จะไม่มีทาง…ไม่มีทางให้ใช้ชีวิตเหมือนแม่ทุกวันนี้”

        มีคำพูดที่ว่า เด็กน้อยนั้นเกิดจากเลือดเนื้อของผู้เป็นแม่ จางกุ้ยฮัวย่อมไม่อยากให้ลูกเดินทางซ้ำรอยกับตนเอง

        หลิวเต้าเซียงเข้าใจคำพูดของนาง ถึงอย่างไรเงินที่พ่อหามาได้ก็ยังคงมอบให้หลิวฉีซื่อ แต่อย่างน้อยความคิดของจางกุ้ยฮัวก็มีความเปลี่ยนแปลงบ้างไม่มากก็น้อย

        นางปลอบใจตนเอง อย่างน้อยแม่ที่อับจนของตนก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีวิสัยทัศน์ และพอจะมีความคิดของตนเองอยู่บ้าง

        ขณะนั้นด้านนอกมีเสียงเรียกกินข้าวดังขึ้น หลิวเต้าเซียงก้มมองดูหลิวชุนเซียงที่ตัวเล็กผอมโซเหมือนแมวน้อย แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “แม่ ท่านดูสิ น้องสามตัวผอมเกินไป ท่านต้องเก็บซ่อนน้ำตาลแดงไว้ให้ดี ทานเยอะๆ น้องเองก็จะมีน้ำนมกิน ไม่ต้องทนหิว รอข้าเก็บผักป่ากับเห็ดได้เยอะกว่านี้แล้วส่งไปบ้านนั้น จะซื้อพุทราจีนมาให้แม่ แล้วก็ไข่ไก่ด้วย”

        นางจำได้ว่าดอกหวงฮัว กับไข่ไก่นั้นมีส่วนช่วยให้มีน้ำนม

        “แม่ไม่เป็นไร ตอนคลอดพวกเจ้าก็ผ่านมาเช่นนี้เหมือนกัน อดทนหน่อยเดี๋ยวก็ผ่านไป เงินเหล่านั้นเจ้าเอากลับมา แม่จะช่วยเจ้าเก็บไว้”

        จางกุ้ยฮัวนั้นมีนิสัยทรหดอดทน สามารถอดทนต่อไปได้ แต่หลิวเต้าเซียงไม่ได้คิดเช่นนั้น

        ถึงจะแอบบ่นว่าห้วงมิติสัตว์เลี้ยงนั้นออกจะเคี่ยวไปหน่อย แต่นางก็ยังเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง ดีที่ห้วงมิตินั้นมีเส้นแบ่งเวลาที่ต่างกันกับโลกนี้ อีกอย่างการเพาะเลี้ยงของตนก็ไม่ได้เหนื่อยเปล่านอกจากการที่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม ส่วนที่เหลือหลังจากหักค่าใช้จ่ายออกแล้วก็ยังพอมีไม่น้อย ถึงอย่างไรวันข้างหน้าก็คงจะมีหนทางให้ขยับขยายได้มากขึ้น

        “น้องรอง กินข้าวได้แล้ว”

        หลิวชิวเซียงเรียกน้องสาวอยู่ด้านนอกสองสามรอบไม่เห็นออกมา จึงผลักประตูเข้ามา

        “พี่ใหญ่ เหตุใดพี่ถึงไม่กินก่อน?” ตั้งแต่ข้ามมิติมาหลิวเต้าเซียงได้เรียนรู้ว่า หากคนในครอบครัวนางไปถึงช้าล่ะก็ ต้องอดกินข้าวอย่างแน่นอน

        หลิวชิวเซียงเบ้ปาก เอ่ยพึมพำ “ย่าเห็นแก่คุณชายท่านนั้น คราวนี้จึงเลียนแบบมารยาทของผู้ดีชั้นสูง บอกว่าต้องรอจนคนครบถึงจะเริ่มกิน”

        พูดถึงตรงนี้ หลิวชิวเซียงเผยรอยยิ้มอ่อนโยนเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ “น้องรอง วันนี้ย่าเข้าครัวเอง แล้วจัดการทำเนื้อหัวหมูเหล่านั้นทั้งหมด ได้จานใหญ่มากทีเดียว”

        นางยื่นถ้วยในมือให้จางกุ้ยฮัว ในนั้นมีข้าวมันเทศกว่าครึ่งหนึ่ง และด้านบนก็มีเนื้อหัวหมูชิ้นใหญ่วางทับอยู่

        “วันนี้ย่าถูกประตูหนีบศีรษะหรือ?” หลิวเต้าเซียงรู้สึกถึงความผิดปกติ เพราะในยามปกติไม่มีทางได้กินอาหารดีๆ เช่นนี้แน่ ที่จางกุ้ยฮัวได้กินหัวมันเทศดีๆ ไม่กี่ชิ้นก็ถือว่าดีมากแล้ว

        หลิวชิวเซียงตอบ “ก็ไม่เช่นนั้น เพียงแต่ว่านางตั้งใจทำให้คุณชายท่านนั้นดู”

        หลิวเต้าเซียงมองนางด้วยสายตาประหลาดใจ ที่แท้พี่สาวนางก็ไม่ได้โง่นี่นา!

        นับจากถูกหลิวเต้าเซียงล้างความคิด หลิวชิวเซียงก็รู้สึกว่าย่านั้นไม่ได้ดีกับนาง เวลาทำงานก็ไม่ได้กระตือรือร้นเช่นเดิม ทว่าห้องฝั่งทิศตะวันตกที่พวกนางอาศัยอยู่ กลับถูกเก็บกวาดอย่างสะอาดเรียบร้อย

        มื้อเย็นเป็นดั่งเช่นที่หลิวชิวเซียงกล่าว หลิวฉีซื่อตั้งสำรับกับข้าวราวกับบ้านผู้ดี พูดจาชัดถ้อยชัดคำ ฟังจนหลิวเต้าเซียงหัวระบม นางแอบสังเกตคนอื่นๆ อย่างปู่ของตนนั้นก็ก้มหน้ากินข้าวไป ส่วนพ่อก็ปั้นหน้าซื่อนั่งอยู่ตรงนั้น หลิวฉีซื่อพูดไป เขาก็ตอบรับทุกคำ เพียงแต่ปากนั้นไม่ได้หยุดเคี้ยวอาหาร ส่วนหลิวซุนซื่อก็มัวแต่ดูแลลูกๆ ของตน

        “ท่านย่า ท่านดูสินางเด็กเต้าเซียงยื่นตะเกียบมาจานเนื้อหมู นี่เป็นส่วนที่เก็บไว้ให้อาข้ากับน้องชายข้ากินนะ”

        ผู้ที่เอ่ยขึ้นคือหลิวจูเอ๋อร์ บุตรสาวคนโตของหลิวซุนซื่อ

        หลิวฉีซื่อลืมตาขึ้นจ้องหลิวเต้าเซียงเขม็ง ใช้เสียงด่าในระดับความดังที่ได้ยินกันเพียงบนโต๊ะอาหาร “กินกินกิน กินมารดาแกสิ ขี้เกียจอย่างกับหมู เลี้ยงหมูยังคุ้มกว่าเลี้ยงเจ้าเสียอีก เจ้ากินให้มันน้อยๆ หน่อย”

        ถ้าเป็นเมื่อก่อนหากหลิวฉีซื่อด่าพวกนางเช่นนี้ หลิวชิวเซียงกับหลิวเต้าเซียงคงไม่กล้าคีบอีก

        เพียงแต่ตอนนี้ ยิ่งหลิวฉีซื่อด่าหนักเท่าไหร่ หลิวเต้าเซียงก็ยิ่งคีบเร็วเท่านั้น คีบให้ตนเองไม่พอ นางยังคีบชิ้นใหญ่ให้หลิวชิวเซียงอีกด้วย

        หลิวฉีซื่อโมโหจนสมองตื้อไปหมด กำลังเตรียมจะสะบัดตะเกียบลงบนโต๊ะ แต่พออ้าปาก หลิวเต้าเซียงก็หันมายิ้มหวานให้นาง “ท่านย่า อย่าได้โมโหไป คุณชายห้องด้านข้างยังคงหลับอยู่นะเจ้าคะ”

        ไม่รู้ว่าหลิวฉีซื่อคิดอย่างไร ถึงได้จัดการให้คุณชายน้อยที่บาดเจ็บท่านนั้นมานอนในห้องของหลิวเสี่ยวหลัน ผู้ดีสูงส่งเหล่านั้นต่างก็ถือเรื่องการที่ผู้ชายนอนห้องผู้หญิงไม่ใช่หรือ?

        “นางเด็กตัวดีอย่างแกน่ะ กินเยอะแยะไปทำอะไร! ยังไม่รีบเก็บตะเกียบกลับไปอีก ยังจะคีบอีก? ฮึ่ม ตอนนี้เจ้าคงรู้สึกปีกกล้าขาแข็งขึ้นแล้วสินะ ไม่ฟังคำสอนของย่าอย่างนั้นหรือ? เป็นแค่เด็กแต่กลับเอาแต่กิน ขี้คร้านทำงาน อีกหน่อยจะแต่งงานออกเรือนไปได้อย่างไร ซานกุ้ย เจ้าลองดูเต้าเซียงสิ ดีแต่กินขี้คร้านยิ่งกว่าหมู”

        หลิวซานกุ้ยเห็นในถ้วยของบุตรสาวทั้งสองนั้นมีกับข้าวกองสูง กำลังจะเอ่ยปากต่อว่าหลิวเต้าเซียงให้เคารพผู้ใหญ่

        ใครจะรู้ว่าหลิวเต้าเซียงกลับแย่งพูดก่อน นางรีบคีบเนื้อแก้มหมูชิ้นใหญ่ลงบนถ้วยข้าวของหลิวต้าฟู่ที่นั่งอยู่ตรงข้าม แล้วยิ้มหวานผิดปกติ “ท่านปู่ รีบกินเร็วเข้า ข้าชิมแล้ว เนื้อแก้มหมูที่ย่าทำนั้นสุกกำลังดีเลย”

        พริบตาเดียว หลิวเต้าเซียงก็คีบเนื้อชิ้นใหญ่อีกชิ้นลงบนถ้วยของหลิวซานกุ้ย แล้วยิ้มแย้มเช่นเดิม “พ่อ ท่านกับปู่น่ะทำงานตรากตรำอยู่ข้างนอกทั้งวัน ต้องกินเยอะหน่อย กินดีหน่อยถึงจะมีแรงไปจัดการเถียงนาได้ดี”

        หลิวซานกุ้ยมองดูบุตรสาวคนรองที่ทั้งคล้ำและผอม แล้วมองดูหลิวเสี่ยวหลันที่ขาวอวบกำลังเคี้ยวอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ฉับพลันนั้นเขาก็รู้สึกว่ากินอะไรก็ไร้ซึ่งรสชาติ พอคิดๆ ดูก็เอ่ยกับหลิวต้าฟู่ว่า “ท่านพ่อ บ้านเราก็นับว่าพอมีพอกิน แต่ท่านดูสิ ชิวเซียงกับเต้าเซียงไม่เคยได้กินอิ่มท้องมาก่อน…”

        เขายังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกหลิวฉีซื่อด่ากลบจนเสียงหาย

        “เจ้าพูดไร้สาระอะไร ในบ้านยังมีเสบียงเหลือเฟือที่ไหนกัน? ที่พี่สะใภ้รองของเจ้าแต่งกายดีหน่อย นั่นก็เป็นเรื่องสมควร บ้านของนางลำพังแค่ฆ่าหมูทั้งวันก็ได้เป็นตำลึงเงิน ปีๆ หนึ่งก็หาได้มากกว่าสามสิบกว่าตำลึงเงิน แม้จะเทียบกับบ้านผู้ดีไม่ได้ แต่การกินการแต่งกายก็ไม่ได้ด้อยกว่า ไม่จำเป็นต้องมาทนลำบากในบ้านข้าเสียหน่อย”

        ในภาพจำของหลิวเต้าเซียงร่างเดิม ตอนที่หลิวซุนซื่อแต่งเข้ามาก็มีสินสอดเป็นที่นาสี่ไร่

        ไม่แปลกเลยที่นางจะยืดอกผายไหล่ผึ่งอยู่ข้างๆ หลิวฉีซื่อได้ เทียบกับซุนซื่อแล้ว บ้านฝั่งแม่ของจางกุ้ยฮัวนั้นไม่มีความสามารถทางการเงินจริงๆ

        “อีกอย่าง เจ้าเด็กสองคนนี้ก็เป็นตัวล้างผลาญอยู่แล้ว สะใภ้เจ้าตอนแต่งเข้ามา นอกจากตัวเปล่าเปลือย ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรแม้แต่น้อย อีกหน่อยพวกนางแต่งออกไป บ้านเรายังต้องขาดทุนจ่ายเงินออกอีก ตอนนี้หากไม่ประหยัดไว้หน่อย ต่อไปจะไปเอาเงินที่ไหนเป็นค่าสินสอดกันเล่า?”

        หลิวเต้าเซียงไม่คิดว่าหลิวฉีซื่อจะหวังดีเช่นนั้น นางรู้ดีแก่ใจว่าย่ามีแต่อยากหลอกใช้หลิวซานกุ้ยด้วยวิธีต่างๆ เพื่อให้เขาทำงานเยี่ยงวัวเยี่ยงควาย

        “เอาเถอะ กินข้าว แค่กินข้าวก็จะไม่ให้กินอย่างสุขสงบเลยหรืออย่างไร” หลิวต้าฟู่ที่เหนื่อยมาทั้งวันไม่มีแก่ใจมานั่งฟังยายเฒ่าของตนพูดพล่ามนัก

        “กินกินกิน กินบ้านแกสิ!” หลิวฉีซื่อด่าทอ ทันใดนั้นก็ลุกขึ้น หยิบถ้วยกับตะเกียบมาข้างหลิวเต้าเซียง แล้วคีบเนื้อแก้มหมูในถ้วยนางออกไปด้วยความเร็วสูง ขณะที่หลิวเต้าเซียงไม่ทันตั้งตัว

        “มองอะไร? ถึงอย่างไรต่อไปก็ต้องกลายเป็นคนบ้านอื่น กินไปก็สิ้นเปลืองเปล่าๆ ”

        —–

สาวชาวนาผู้ชั่วร้ายกับระบบวิเศษ

สาวชาวนาผู้ชั่วร้ายกับระบบวิเศษ

Status: Ongoing
อ่านนิยายสาวชาวนาผู้ชั่วร้ายกับระบบวิเศษใครว่าการข้ามมิติไม่ใช่งานที่ต้องใช้เทคนิค? จู่ๆ เด็กสาวแสนหวานก็กลายเป็นเด็กหญิงตัวน้อยในครอบครัวยากจน นางอยากจะร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา ที่น่าเศร้ากว่านั้นคือ ครอบครัวยากจน พ่อแม่ขี้ขลาด ญาติพี่น้องทุบตี โดนกดขี่สารพัด…. ยังไม่พอ… ระบบตัวดียังจะขอให้เธอเป็น ‘หลิวเต้าเซียง’ เด็กสาวแสนสวยในชนบท จิตใจดีและขยัน ประเด็นสำคัญคือคำสุดท้าย “ขยัน” แต่เพื่อพ้นความจนที่ข้นแค้นและครอบครัวที่โหดร้าย นางจะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ร่ำรวยขึ้นมาให้ได้!! “เจ้าระบบ หวานใจของพี่ รีบบอกพี่สาวหน่อยว่าต้องทำอย่างไรถึงสามารถสร้างตัวได้เร็วที่สุด” ตอนนี้เลือดในกายนางกำลังเดือดพุ่งพล่าน เพื่อความสุขสบายของครอบครัว และหนุ่มเอ๊าะๆ หลิวเหม่ยจวิน (ในร่างหลิวเต้าเซียง) คนนี้ ขอสู้ตาย!!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset