หลิวฉีซื่อไม่รู้สึกว่าการกระทำของตนนั้นเกินเหตุแต่อย่างใด หลังจากคีบเนื้อในถ้วยของหลิวเต้าเซียงไปแล้วก็ตั้งท่าจะคีบของหลิวชิวเซียงต่อ แต่ไม่ทันไร พอหันไปหลิวชิวเซียงก็ยกถ้วยข้าวหนีหายไปเรียบร้อย
“มารดามันเถอะ ไปกินมูลของแม่เจ้าสิ ยังไม่รีบเอา…”
“แม่ ท่านเสียงเบาหน่อย อย่าทำให้คุณชายห้องข้างๆ ตื่น” หลิวเสี่ยวหลันปั้นหน้าตึงเครียด แล้วดึงชายเสื้อของหลิวฉีซื่อเบาๆ
หลิวฉีซื่อถึงเพิ่งนึกได้ว่าในห้องฝั่งตะวันตกมีคุณชายผู้ดีนอนอยู่ จึงอดทนแล้วกลืนคำพูดหยาบคายกลับเข้าไป
“เจ้าเด็กต้มตุ๋นตัวดี รีบเอากลับมาเดี๋ยวนี้นะ”
ขณะที่หลิวฉีซื่อกำลังจะเริ่มรู้ตัว หลิวเต้าเซียงที่ไม่ยอมเสียเปรียบก็คีบเนื้อชิ้นใหญ่อีกชิ้นมาไว้บนถ้วย อาศัยจังหวะที่หลิวฉีซื่อไม่ทันระวังรีบถือถ้วยข้าววิ่งออกไปด้านนอก
นางจับสังเกตได้ว่าหลิวฉีซื่อคงกังวลกับคุณชายผู้ดีท่านนั้น และไม่กล้าไล่ตามออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
ซึ่งก็จริงตามนั้น หลิวฉีซื่อทำเพียงใช้สายตาอาฆาตมองมา
หลิวเต้าเซียงเป็นพวกหน้าหนา ย่าอยากทำอะไรก็ปล่อยให้นางทำไป ส่วนตนเองก็ถือถ้วยข้าวพร้อมกับเนื้อแก้มหมูที่หอมหวนกินเข้าไปคำใหญ่อย่างเอร็ดอร่อย ปล่อยให้หลิวฉีซื่อโมโหจนควันออกหู
หลิวฉีซื่อมองดูท่าทีได้ใจของหลิวเต้าเซียงก็โมโหจนแทบจะหงายหลัง และกำลังจะต่อว่าหลิวซานกุ้ย
แต่หลิวต้าฟู่กลับเอ่ยปาก “พอได้แล้ว เด็กน้อยก็อดอยากง่ายเช่นนี้ทุกบ้าน วันนี้กับข้าวก็มีมากพอ ก็ให้นางกินเยอะหน่อย บำรุงร่างกาย”
ที่เขาพูดออกมา เขาคิดเช่นนั้นจริงๆ แม้ว่าหลานสาวจะเป็นตัวล้างผลาญ แต่อย่างน้อยที่สุดนางก็ใช้แซ่หลิว บวกกับบุตรสาวคนเล็กของตนนั้นถูกเลี้ยงดูจนอ้วนพี แต่หลานสาวกลับผอมโซ คนในหมู่บ้านต่างก็นินทาเรื่องนี้ลับหลังไม่น้อยอยู่แล้ว
“ต่อไปก็ให้เด็กทั้งสองคนกินเหมือนเรา” เขาคิดแล้วตัดสินใจเช่นนี้
“อะไรนะ? เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?” เสียงของหลิวฉีซื่อแหลมปรี๊ด เป็นเสียงที่เสียดหูและดังทะลุหลังคาได้ทีเดียว ฝุ่นบนหลังคาแทบจะหล่นลงมา
“หรุ่ยเอ๋อร์!” หลิวต้าฟู่เรียกชื่อนางเสียงดัง จนหลิวเต้าเซียงที่อยู่ด้านนอกแทบจะพ่นอาหารออกมา
อายุเท่าไรแล้ว จนหลานๆ เติบโตกันหมดก็ยังเรียกหรุ่ยเอ๋อร์อีก
หลิวฉีซื่อมีท่าทีเด็ดเดี่ยว “เรื่องนี้ไม่มีทางต่อรองได้ เจ้าเด็กล้างผลาญสองตัว พอเติบโตก็ต้องกลายเป็นคนบ้านอื่น จะเลี้ยงให้ดีหรือไม่ดี แล้วจะต่างอะไรกัน?”
“คนในหมู่บ้านต่างก็เอาไปนินทา” เขาตอบ
“ข้าจะดูสิว่า ใครหน้าไหนมันกล้าพูด!” อย่าได้มองว่าหลิวฉีซื่อนั้นเกิดมาจากการเลี้ยงดูในตระกูลใหญ่โต เรื่องการวางอำนาจก็ถือว่าเอาเรื่องทีเดียว อย่างน้อยในหมู่บ้านก็ไม่มีใครกล้าพูดถึงนางต่อหน้า
ทว่าลับหลังล่ะก็พอมีบ้าง หัวข้อที่พูดถึงกันก็คือ หลิวฉีซื่อไม่ใช่คนที่ควรตอแยด้วยเท่าไร
ยิ่งไปกว่านั้นเวลาอยู่ข้างนอก หลิวฉีซื่อนั้นวางตัวเก่ง เพียงแต่ทำตัวกร่างกับคนในบ้าน
หลิวเต้าเซียงข้ามมิติมาได้หลายวัน วันนี้นับว่าเป็นวันที่กินอิ่มมากที่สุด แต่ก่อนในโลกยุคปัจจุบันนางไม่มีทางกินเนื้อหัวหมูแน่ แต่วันนี้ได้เคี้ยวอยู่ในปาก ซึ่งก็เต็มไปด้วยความหอมของไขมันหมู กินจนแทบจะกลืนลิ้นตนเองลงไปด้วย
เด็กผู้น่าสงสาร ในที่สุดก็เข้าใจว่าเมื่อข้ามมิติมาแล้วอย่างน้อยก็ต้องมีความสามารถ แต่นางไม่มีความสามารถใดๆ จึงต้องข้ามมิติมาทนทุกข์อยู่ในครอบครัวชนบทเช่นนี้
วันต่อมาขณะรุ่งสาง หลิวเต้าเซียงกับหลิวชิวเซียงก็ออกจากบ้าน
“ย่าจะโกรธจริงหรือไม่?”
“โมโหจริงๆ ก็ดี” หลิวเต้าเซียงคิดว่าที่หลิวฉีซื่อมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ทั้งเปลืองเสบียงและสร้างเสียงรบกวนมากมาย นางที่ชื่นชอบความสงบแทบอยากจะเตรียมไม้ตีแมลงวันไว้สักอัน ทุกครั้งที่หลิวฉีซื่อเริ่มส่งเสียงอื้ออึง นางก็จะใช้แรงตบหลิวฉีซื่อให้อัดบี้กับกำแพง หากมีชีวิตเช่นนี้คงดีงามไม่น้อย
แน่นอนว่าทำได้แค่คิด หลังจากเลิกคิดเรื่องนี้นางก็เดินไปพร้อมกับพี่สาว
หลิวชิวเซียงเอ่ยเสียงเบา “ข้าเองก็ไม่ชอบย่า เพียงแต่ว่าข้าไม่อยากต้องมาตายเพราะถูกนางหาเรื่อง เฮ้อ น่าหงุดหงิดใจเหลือเกิน”
หลิวเต้าเซียงมองนางอย่างประหลาดใจ เห็นทีหลิวชิวเซียงเองก็มีความคิดอยากต่อต้านฝังอยู่ในกระดูก เพียงแต่สมัยก่อนถูกหลิวฉีซื่อกดขี่แทบตาย และไม่มีใครชี้นำให้นางกล้ามีความคิดออกนอกลู่
“พี่ ท่านว่าพ่อจะเคยคิดแยกบ้านหรือไม่?”
หลิวชิวเซียงตกใจกับคำพูดของนาง รีบดึงตัวน้องสาวมาแล้วเหลียวซ้ายแลขวา เมื่อเห็นว่าทางเดินไม่มีแม้กระทั่งวิญญาณ จึงถอนหายใจโล่งอกแล้วเอ่ย “ข้าได้ยินปู่ผู้ใหญ่บ้านบอกว่า หากปู่กับย่ายังอยู่ ไม่สามารถแยกบ้านได้”
หลิวเต้าเซียงตกใจ คิดไม่ถึงว่าในสมัยราชวงศ์โจวนั้นหากว่าพ่อแม่ยังอยู่ พี่น้องก็ห้ามแยกบ้านกันเด็ดขาด
แต่เรื่องใดๆ ก็ต้องมีข้อยกเว้นกันบ้าง เรื่องนี้เห็นทีจะรีบร้อนไม่ได้
จากนั้นนางก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก เพียงแค่รับปากกับพี่สาวว่าต่อไปจะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ให้ผู้ใดได้ยิน แล้วพาหลิวชิวเซียงไปยังหลังเขา
เมื่อคืนสองพี่น้องนอนอยู่บนคั่งแล้วคุยกันเงียบๆ หลิวเต้าเซียงหลอกให้นางไปช่วยเก็บและผ่าฟืนที่ร่วงหล่นเพราะลม แล้วบอกเรื่องที่จะเก็บผักกับเห็ดเพื่อไปแลกเป็นเงินในตำบล
หลิวชิวเซียงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่าเป็นความคิดที่ดี แล้วยังบอกอีกว่าจะช่วยเหลือนางในสองวันนี้
หลิวเต้าเซียงรับคำด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เทียบกับการที่พี่สาวตนทำงานอยู่ที่บ้าน สู้มาช่วยนางเก็บฟืนยังจะดีกว่า ฟืนยี่สิบมัดไม่ใช่สิ่งที่นางจะทำได้ด้วยตนเอง แต่เมื่อมีหลิวชิวเซียงมาช่วยก็สามารถทำให้เป็นจริงได้
เมื่อมาถึงบนเขา หลิวเต้าเซียงก็เลือกสถานที่ที่มีกิ่งไม้หล่นลงมาเยอะ “พี่ใหญ่ ท่านไปเก็บกิ่งไม้มาเถอะ ข้าจะใช้มีดผ่าฟืนผ่ามันให้เรียบร้อย”
หลิวชิวเซียงไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของนางจึงรับปาก
ทั้งสองสาละวนอยู่แต่กับงาน พอรู้ตัวอีกทีก็ใกล้เที่ยงวัน หลิวชิวเซียงกังวลว่าตนจะต้องกลับบ้านไปทำกับข้าว แต่ก็ถูกหลิวเต้าเซียงปรามไว้ “ถึงอย่างไรก็สายแล้ว พี่ ข้าว่าพี่ช่วยข้าเก็บฟืนต่อดีกว่า”
“แต่เราเหนื่อยกันมาครึ่งวันแล้ว เพิ่งจะเก็บฟืนได้หน่อยเดียว คงต้องเอากลับไปส่งให้ย่า”
หากสองพี่น้องออกมานานครึ่งค่อนวันแต่ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือกลับมา ไม่ต้องเดาก็รู้ได้ว่าทั้งสองคงถูกทำโทษขนานหนัก
หลิวเต้าเซียงกะพริบตาแล้วเอ่ย “ตกลง”
นางแอบคุยกับเจ้าสัตว์ปีศาจเงียบๆ มันบอกว่าหากทำต่อด้วยความเร็วเหมือนเมื่อครู่ ทั้งสองคนก็น่าจะจัดการทุกอย่างเสร็จภายในวันพรุ่งนี้ตอนเที่ยง
ที่แท้หลิวเต้าเซียงหลอกให้หลิวชิวเซียงมาช่วยลากกิ่งไม้ แล้วหาจังหวะรีบเก็บกิ่งไม้เหล่านั้นเข้าไปในห้วงมิติ ขณะที่หลิวชิวเซียงเห็นว่าน้องสาวนั้นเอาแต่ผ่าฟืน จึงนึกว่าตนเองยังเก็บได้ไม่มากพอ
เด็กที่น่าสงสาร ถูกน้องสาวของตนหลอกแล้วยังไม่รู้ตัว
ทั้งสองคนแบกฟืนเปียกกลับเข้าบ้าน หลิวฉีซื่อกำลังนั่งอยู่ตรงระเบียงหน้าอาคารหลักของบ้านด้วยสีหน้าไม่พอใจ ส่วนในห้องครัวก็มีกลิ่นหอมของข้าวโชยมา
หลิวเต้าเซียงกับหลิวชิวเซียงสบตากัน หลิวชิวเซียงหันกลับไปดูควันที่โชยออกมาจากปล่องในห้องฝั่งตะวันออก
นางเกิดใจสั่น เห็นทีน้องรองของนางกล่าวไว้ไม่ผิด นักบวชคนหนึ่งสามารถแบกน้ำดื่มได้ นักบวชสองคนก็ยกน้ำดื่มได้ ส่วนนักบวชสามคนกลับไม่มีน้ำดื่ม พูดให้กระจ่างก็คือ มีแต่คนไม่ยินดีที่จะทำ และเกี่ยงให้เป็นหน้าที่อีกคน
หลิวเต้าเซียงไม่รู้ว่าความคิดของหลิวชิวเซียงนั้นเริ่มเปลี่ยนไป จึงยื่นมือขวามาลูบหน้าแล้วทำสีหน้ายิ้มแย้มน่าเอ็นดู “ย่า วันนี้พวกเราเก็บฟืนมาได้ไม่น้อยเลยล่ะ” นางพูดอยู่ตรงหน้าประตูด้วยเสียงหวาน
หลิวฉีซื่อเดิมทีกำลังจะด่าว่าพวกนางแอบอู้ แต่เมื่อเห็นสายตาที่หลิวเสี่ยวหลันส่งมา ก็ชี้นิ้วไปทางห้องฝั่งตะวันตกก่อนจะมองมาที่หลิวเต้าเซียงกับหลิวชิวเซียง เห็นว่าเด็กสองคนไม่ได้ไปเถลไถลที่ไหน สีหน้าจึงค่อยๆ ดีขึ้นมาหน่อย “ฟืนเปียกเหล่านี้ไปวางตากไว้ในห้องฝั่งตะวันตก ประจวบเหมาะเพราะฟืนที่บ้านใกล้หมดแล้ว พวกเจ้าสองคนช่วงสองสามวันนี้ขึ้นเขาไปเก็บฟืนมาให้มากกว่านี้หน่อย”
ขณะเดียวกัน หลิวซุนซื่อก็ยื่นศีรษะออกมาจากในครัว “ท่านแม่ อีกสักประเดี๋ยวข้าจะพาจูเอ๋อร์ จือเอ๋อร์ กับเป่าเอ๋อร์กลับไปตำบลนะ”
“ไปทำอะไร?” หลิวฉีซื่อได้ยินก็นึกขุ่นเคือง เพียงแค่เรียกให้สะใภ้รองลุกมาทำกับข้าวก็ถูกบ่ายเบี่ยงไปมา
“ท่านแม่ เด็กๆ คิดถึงพ่อน่ะ” หลิวซุนซื่อรีบหาข้ออ้างที่สมเหตุสมผล
หลิวฉีซื่อถลึงตาใส่นางแล้วเอ่ย “หลายวันมานี้ฝนตกตลอด ทางไม่ดี รอวันฟ้าเปิดค่อยกลับไป อีกอย่างในตำบลจะทำสิ่งใดก็ต้องใช้เงิน กินนอนที่บ้านยังประหยัดได้หน่อย ข้าว่า เดี๋ยวจะให้เหรินกุ้ยคืนห้องเช่านั่นเสีย แล้วพวกเจ้าย้ายกลับมาพักที่นี่ จะได้ประหยัดเงิน”
หลิวซุนซื่อฟังแล้วโมโหอย่างมาก แต่นางเคยได้รับบทเรียนจากหลิวฉีซื่อ ด้วยเหตุนี้จึงไม่กล้าขัดขืนต่อหน้า ได้แต่ปั้นสีหน้าแล้วเอ่ย “ท่านแม่ ทำเช่นนั้นได้เยี่ยงไรกัน จือเอ๋อร์ต้องเข้าเรียนแล้ว อาจารย์ที่หมู่บ้านข้างๆ สอนไม่ดี วันๆ เอาแต่เฆี่ยนตีเด็ก หรือไม่ก็ให้พวกเขาทำตัวเถลไถล อย่างมากก็แค่สอนหนังสือไม่กี่คำ ไม่เห็นสอนเกี่ยวกับการค้าขายแต่อย่างใด ท่านแม่ อีกหน่อยหากจือเอ๋อร์ได้ดิบได้ดี ย่อมต้องกตัญญูต่อท่านแม่อยู่แล้ว”
หลิวเต้าเซียงฟังคำพูดของทั้งสองแล้วก็ต้องกลั้นขำจนท้องเกร็ง นางกลอกตาเป็นวงกลมแล้วเอ่ยเสียงใส “ย่า ป้ารอง อากาศไม่ค่อยดี อีกอย่างมีเพียงการนั่งรถเข็นวัวเท่านั้นถึงจะออกไปถึงตำบลได้ จือไฉกับจือเป่ายังเด็กนัก ถ้าเกิดตากฝนคงไม่ดีแน่ บวกกับอากาศหลายวันนี้เดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อน เกรงว่าน้องชายทั้งสองจะไม่สบายเอาได้”
หลิวซุนซื่อสงสัยกับคำพูดของหลิวเต้าเซียง หรือว่านางเด็กนี่จะอยากให้ตนอยู่บ้านต่อเพื่อช่วยทำงานบ้าน?
“ท่านแม่ เหรินกุ้ยอยู่ที่ตำบลคนเดียว ข้าเองก็ไม่วางใจ อากาศแย่ เกรงว่าเขาจะดูแลตนเองไม่ดี”
พูดให้ชัดเจนก็คือ หลิวซุนซื่อไม่วางใจที่จะให้หลิวเหรินกุ้ยอยู่ที่ตำบลตามลำพัง เพราะกลัวว่าเขาจะไปมีเล็กมีน้อย
“เอาเถอะ เจ้าอยู่ต่อไปก่อน รออากาศดีกว่านี้ค่อยให้เหล่าหวังส่งพวกเจ้าไปที่ตำบล การเรียนของจือเอ๋อร์นั้นรีรอไม่ได้ เพียงแต่ฝนนั้นตกปรอยๆ ติดกันทุกวัน อากาศก็หนาว รถม้าก็ไม่มีที่บังฝน ถึงตอนนั้นเจ้าค่อยใช้รถเข็นวัวของเหล่าหวังเดินทาง ส่วนจูเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ก็ไม่ต้องตามไปแล้ว”
หลิวฉีซื่อตัดสินใจเองเสร็จสรรพ ไม่ได้สนใจใบหน้าซีดของหลิวซุนซื่อซึ่งกำลังยืนอยู่หน้าประตูห้องครัวอย่างน้อยใจแต่อย่างใด
หลิวเต้าเซียงเห็นดังนั้นก็อาศัยจังหวะวางฟืนลง แล้วกะพริบตาให้หลิวชิวเซียง
เห็นหรือยังล่ะ คนไม่ดีก็ต้องถูกคนไม่ดีจัดการ เรื่องใดๆ หากพลิกมุมคิด เรื่องราวดีๆ ก็จะเกิดขึ้นเอง
หลังจากที่หมกมุ่นอยู่กับการเก็บฟืนมาหนึ่งวันครึ่ง พอตกบ่ายวันที่สองหลิวชิวเซียงเห็นว่าสองวันนี้ฝนตกปรอยๆ อย่างต่อเนื่อง รู้สึกว่าน่าจะมีเห็ดให้เก็บได้บ้าง จึงพาหลิวเต้าเซียงไปเดินวนรอบหนึ่งที่หลังเขารอบนอก และพวกนางก็เจอเห็ดให้เก็บได้จริงๆ
“น้องรอง ให้เจ้าเก็บไว้ครึ่งหนึ่งเอาไปแลกเงินที่ตำบล ส่วนที่เหลือเราเอากลับบ้านกัน”
“ไม่ได้ ท่านพี่ ต่อให้พวกเราเอากลับไปทำกับข้าว เจ้าคิดว่าข้า แม่ และเจ้าจะได้กินอย่างนั้นหรือ? สู้เอาไปแลกเงินให้หมด แล้วซื้อน้ำตาลแดงมาให้ท่านแม่ ส่วนพวกเราแค่เอาฟืนกลับไปไม่ดีกว่าหรือ”
ห้วงมิติของหลิวเต้าเซียงเต็มไปด้วยฟืนยี่สิบมัด เดิมทีมันไม่ได้ใหญ่เช่นนี้ แต่นางต่อรองกับเจ้าถั่วงอกอยู่นานครึ่งค่อนวัน หลอกล่อให้มันไปเจรจากับโปรดิวเซอร์ เพื่อเช่าพื้นที่มาให้ได้อีกหนึ่งตารางเมตร ของที่ใช้ค้ำประกันก็คือลูกไก่ห้าตัว พอเลี้ยงจนกลายเป็นไก่ตัวใหญ่ได้ ก็มากเพียงพอที่จะคืนหนี้แล้ว
เจ้าสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดรู้สึกขายหน้าที่ต้องถ่อไปเจรจากับโปรดิวเซอร์เพื่อขอเช่าพื้นที่เพียงหนึ่งตารางเมตรเล็กๆจังหวะนั้นสีหน้าตกตะลึงของโปรดิวเซอร์ที่เผยออกมา ทำให้เขายากที่จะลืมเลือน ไม่ใช่สิ ชาตินี้เขาคงไม่มีทางลืมได้ จึงเอ่ยกับเด็กสาวด้วยน้ำเสียงเข้มงวด “โฮสต์ครับ ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะครับ”
“ไม่มีครั้งหน้าแล้ว”
หลิวเต้าเซียงยิ้มหวาน สายตาเปล่งประกายความเจ้าเล่ห์ออกมา การมีพื้นที่เพิ่มมาอีกหนึ่งตารางเมตร นางก็สามารถเลี้ยงไก่ได้มากขึ้นอีกสองตัว
—–