สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 124 ลู่อี้ให้ข้า

บทที่ 124 ลู่อี้ให้ข้า

บทที่ 124 ลู่อี้ให้ข้า

มู่ซืออวี่มองไปยังคนที่เหลือ “แล้วพวกเจ้าเล่า?”

“พวกข้า…” ทุกคนจ้องมองกันด้วยความตกตะลึง

ที่นี่มีชายอยู่ร่วมกันนับสิบคน แต่ไม่มีผู้ใดกล้า

ถึงแม้มู่ซืออวี่จะอยากช่วยพวกเขา แต่ความสามารถของนางมีจำกัด

“ข้าจะเจรจา ขอเวลาสามปีในการชำระคืน แต่พวกเจ้าจะต้องจ่ายดอกเบี้ย พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าดอกเบี้ยหมายถึงอะไร? หมายถึงการที่พวกเจ้าจำนำบางสิ่ง หากต้องการไถ่ถอนก็ต้องเพิ่มเงิน หากข้าเจรจาเพื่อพวกเจ้าให้ชำระคืนหนี้ภายในระยะเวลาสามปีได้สำเร็จ หนังสือที่ดินของพวกเจ้าจะต้องเอามาจำนองกับศาลาว่าการ และต้องมีการคำนวณดอกเบี้ย เมื่อพวกเจ้าจ่ายคืนอาจต้องจ่ายมากกว่า 50 ตำลึง หรืออาจสูงถึง 60 ตำลึง”

“เราทำไม่ได้ จ่ายเงินคืนจำนวน 60 ตำลึงภายในสามปีงั้นรึ เราทำไม่ได้หรอก”

“ใช่แล้ว! ข้าได้รับเงินเพียง 500 อีแปะต่อเดือน ในระยะเวลาหนึ่งปี ต่อให้ไม่กินไม่ดื่มก็คงเก็บเงินได้เพียงไม่กี่ตำลึง เราจะหาเงินมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร? สามปี… ยอมติดคุกเสียยังดีกว่า ข้าค่อยเริ่มต้นชีวิตใหม่หลังจากนั้น”

“ข้าอยากลองดู” ชายร่างกำยำผู้หนึ่งลุกขึ้นกล่าวว่า “ข้าขอลองดูก่อน หากไม่ได้ผล ข้าจะยอมกลับเข้าคุก”

“เจี่ยงจง เจ้าพูดจริงหรือ?”

“อืม ข้าเพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน หากต้องติดคุกสามปี ข้าไม่รู้เลยว่าภรรยาของข้าจะใช้ชีวิตอย่างไร ข้าอยากลองเดิมพันกับชีวิตดู หากไม่ได้ผลก็กลับมา”

“พวกเจ้าที่เหลือไตร่ตรองให้ดีก่อนเถิด ข้าจะไปตามเจ้าหน้าที่เรือนจำ”

มู่ซืออวี่ถอยหลังไปด้วยความลำบากใจ ก่อนจะเดินไปหาเจ้าหน้าที่เรือนจำ “ขอบคุณพวกท่านมากที่ทำงานอย่างหนัก”

นางหยิบเหรียญทองแดงออกมาแล้วยัดใส่มือพวกเขาคนละห้าเหรียญ “นี่คือของตอบแทนเล็กน้อยจากข้า ขออภัยที่มารบกวนพวกท่านในวันนี้”

“ไม่จำเป็นต้องสุภาพถึงเพียงนั้น เราเองไม่ใช่คนอื่นคนไกล ที่ผ่านมาลู่อี้ก็ดูแลพวกเราเป็นอย่างดี” หัวหน้าเรือนจำกล่าว “คนอื่นมักดูถูกผู้คุมเรือนจำอย่างพวกเรา มีเพียงเสมียนลู่ที่สุภาพกับเรามาโดยตลอด”

“ใช่แล้ว เสมียนลู่มีจิตใจเมตตายิ่งกว่าผู้ใด ท่านเองก็เช่นเดียวกัน ท่านทั้งสองเป็นคนใจดีมาก”

“ขอบคุณ ครอบครัวของเรามีนิสัยดื้อรั้น ถึงจะนิ่ง ๆ น่ากลัวไปสักหน่อย หากสามีของข้าเผลอทำให้พวกเจ้าขุ่นเคือง โปรดยกโทษให้เขา ปฏิบัติต่อเขาเหมือนรุ่นน้องโง่เขลาที่ยังไม่เข้าใจสิ่งใดด้วยเถอะ”

“ฮ่าฮ่า”

“ท่านช่างเมตตา ในเมื่อท่านเองก็ไม่ใช่ญาติของพวกเขา เหตุใดจึงต้องพยายามช่วยเหลือพวกเขาเช่นนี้?”

“ข้าเคยเป็นคู่ค้าของร้านอาหารที่พวกเขาทำงานอยู่ เมื่อรู้ว่าพวกเขาถูกขังอยู่ที่นี่ ข้าก็ต้องช่วย ดูเหมือนพวกเขาจะไม่มีความหวังเหลืออยู่เลย เพราะในความเป็นจริง เงินเพียงไม่กี่สิบตำลึงก็มากเกินกว่าที่คนทั่วไปจะหาได้”

“ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ กฎหมายศาลเป็นผู้กำหนด เจ้านายของข้าก็ทำได้เพียงปฏิบัติตามกฎเท่านั้น”

“ฮูหยิน ฮูหยิน ข้าเองก็อยากลองเสี่ยงดู”

“ข้าเองก็อยากลองเสี่ยงเช่นเดียวกัน อย่างที่เจี่ยงจงพูด หากทำไม่ได้ข้าก็จะยินยอมกลับมาเข้าคุก ข้าอยากลองดู”

เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของพวกเขา มู่ซืออวี่ก็เริ่มคำนวณ เฟิงเจิงเต็มใจทำสัญญาชำระหนี้หนึ่งปี ส่วนอีกห้าคนยินดีจะลงนามทำสัญญาชำระหนี้ภายในระยะเวลาสามปีพร้อมดอกเบี้ย พวกเขาล้วนเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ เพราะแน่นอนว่าไม่มีผู้ใดอยากติดคุกเป็นเวลาสามปี

หลังจากเสร็จสิ้นการพิจารณาคดี นายอำเภอฉินก็กลับมายังห้องพัก เมื่อมาถึง ผู้ช่วยของเขาก็เข้ามา “นายท่าน ภรรยาของเสมียนลู่มาขอพบท่าน”

“ภรรยาของลู่อี้?” นายอำเภอฉินรู้สึกประหลาดใจ “นางมาพบข้าด้วยเหตุอันใด? สตรีผู้นี้น่าสนใจไม่น้อย พานางเข้ามา”

ระหว่างที่นายอำเภอฉินเขียนบางอย่าง ผู้ช่วยก็พาตัวมู่ซืออวี่เดินเข้ามาในห้อง

นางเอ่ยทักทายในทันที “ข้ามาพบท่าน”

นายอำเภอฉินพับสิ่งที่เขียนลงในซองพลางกล่าวว่า “นั่งลงก่อนเถิด”

“ขอบคุณนายท่าน”

กึก…

เขาประทับตราลงบนซองจดหมายนั้น

“นำสิ่งนี้ไปให้ผู้ส่งสาร”

“ขอรับ”

หลังจากจัดการทุกอย่างจนเรียบร้อย เขาก็เงยหน้ามองมู่ซืออวี่

เขาเคยพบนางมาก่อน แต่ก็เพียงในระยะไกลเท่านั้น จึงมองเห็นได้ไม่ชัดนัก แต่วันนี้นางนั่งอยู่ตรงข้ามเขา เขาจึงสามารถมองเห็นนางได้อย่างชัดเจน

นางเป็นหญิงตัวเล็กที่น่าเอ็นดูทีเดียว

“ฮูหยินลู่มีสิ่งใดหรือ?”

“นายท่าน ข้าเดินทางมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือให้คนงานจากภัตตาคารเจียงซื่อ”

“โอ้ ว่ามาเถิด”

“ท่านอาจไม่รู้ว่าผู้จัดการภัตตาคารเจียงซื่อมีมโนธรรมอยู่เสมอ ร้านอาหารดำเนินไปได้ด้วยดีภายใต้การบริหารจัดการของเขา เขาใจดีกับคนงานและลูกค้าทุกคน แต่ที่ร้านอาหารกลายเป็นเช่นนี้ก็เพราะคนชั่วผู้นั้น เหล่าผู้ไร้เดียงสาไม่สมควรได้รับบทลงโทษ ทั้งหมดเป็นความผิดพลาดของชายคนนั้นแต่เพียงผู้เดียว”

“เจ้ากำลังจะบอกว่าเราตัดสินโทษอย่างไร้เหตุผลอย่างนั้นหรือ?” แววตาของนายอำเภอฉินมืดครึ้มลง “ช่างเป็นหญิงที่กล้าหาญ เจ้าคิดว่าการที่ลู่อี้ทำงานภายใต้คำสั่งของข้า จะทำให้ข้าอดทนหรือยกโทษให้กับความหยาบคายของเจ้าได้หรือ?”

“ไม่ใช่เช่นนั้น ท่านเป็นดั่งผู้ปกครองและเสาหลักของเรา แม้ฟ้าจะถล่มดินจะทลาย เราก็ไม่อาจอาจก้าวก่ายท่าน ท่านให้การสนับสนุนและเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีมาโดยตลอด แต่ ‘พ่อ’ ที่ดีและฉลาดควรฟังเหตุผลของลูก หรือผู้ใต้ปกครองเพื่อจะได้เข้าใจชัดเจน และตัดสินอย่างถูกต้องไม่ใช่หรือ?”

“ฮ่าฮ่า เจ้าช่างเป็นหญิงเจ้าเล่ห์ หากข้าเป็นผู้ปกครองของเจ้า เจ้าจะนับถือว่าข้าเป็นผู้ปกครองจริงหรือ?” นายอำเภอฉินหัวเราะ “เพราะคดีนั้นเกี่ยวข้องกับผู้บริสุทธิ์ ข้าไม่เข้าไปเกี่ยวข้องเพราะไม่ต้องการให้พวกเขาอับอาย ข้าจึงเรียกปรับเงินเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น นี่เป็นการสอนและตักเตือนพวกเขาด้วยว่า หากต้องเจอเรื่องราวเช่นนี้อีกในอนาคต หน้าที่ของพวกเขาแต่ละคนคือเกลี้ยกล่อมหรือห้ามปรามผู้กระทำผิด ไม่เช่นนั้นจะถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง”

“ใช่ เป็นเรื่องสมเหตุสมผลแล้วที่ท่านจะตัดสินตามกฎหมายแห่งศาล แต่ในบางสิ่งก็ดูไม่สมเหตุสมผล ดังนั้นข้าจึงเดินทางมาที่นี่เพื่อร้องขอให้ท่านช่วยเหลือเหล่าชายที่น่าสงสารพวกนั้น ข้าต้องการให้โอกาสพวกเขา…”

“เจ้าต้องการช่วยเหลือพวกเขาอย่างไร?”

“ข้าต้องการ…”

หลังจากเดินออกมาจากห้องทำงานของนายอำเภอ มู่ซืออวี่ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกโล่งใจ

นางดีใจอย่างยิ่งที่ในที่สุดชายหนุ่มพวกนั้นก็ได้รับโอกาส

นี่คือทางเดียวที่นางทำได้

แม้จะเป็นไปได้ที่ภัตตาคารเจียงซื่อกลายเป็นเช่นนี้เพราะการสมรู้ร่วมคิดของภัตตาคารหมายเลขหนึ่ง และมู่ซืออวี่เองก็ต้องรับผิดชอบ แต่ทั้งหมดก็เป็นความผิดของภัตตาคารเจียงซื่อด้วยไม่ใช่หรือ? เพราะพวกเขาบริหารจัดการได้ไม่ดีและไม่รู้จักระวัง จึงทำให้ผู้อื่นสามารถใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนนั้นได้ ดังนั้นนางคงทำได้เพียงต่อสู้เพื่อให้โอกาสพวกเขาเป็นการชดเชย

“นังบ้านนอกลูกสาวตระกูลมู่นี่เอง”

ตอนแรกมู่ซืออวี่ไม่ได้สนใจต่อเสียงเรียกนั้น จนกระทั่งเมื่อนางได้ยินคำว่า ‘ลูกสาวตระกูลมู่’ จึงหันกลับไปทันที

บุคคลผู้นี้…

หญิงม่ายเฉินชุนอวี่ไม่ใช่หรือ?

“มีอะไร?”

เฉินชุนอวี่มองมู่ซืออวี่ด้วยความภาคภูมิใจ “หากจะให้กล่าวตามตรง จงมอบพี่ลู่ให้ข้าสิ แล้วข้าจะให้เงินเจ้าจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นค่าตอบแทน”

“เหตุใดต้องทำเช่นนั้น? เขาไม่ได้ชอบพอเจ้า”

“ผู้ใดบอกว่าเขาไม่ชอบพอข้า?” เฉินชุนอวี่หันกลับมาด้วยความภาคภูมิใจ “เจ้าคิดเห็นอย่างไรกับเสื้อผ้าที่ข้าสวมใส่อยู่?”

“ก็ดี” มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว

นางรู้สึกคุ้นเคยกับชุดนี้ไม่น้อย

“พี่ลู่เป็นคนมอบมันให้ข้า” เฉินชุนอวี่ยิ้มกว้าง มองอีกฝ่ายด้วยความภาคภูมิใจ “หากไม่ใช่เพราะชอบพอข้า แล้วเขาทำเช่นนี้เพื่อสิ่งใด?”

“เขามอบให้เจ้าอย่างนั้นหรือ?” แววตาของมู่ซืออวี่หม่นลงเล็กน้อย “มีหลักฐานใดมายืนยันหรือเปล่าล่ะ คิดว่าข้าจะเชื่อในคำพูดเพียงไม่กี่คำของเจ้าหรือ?”

“จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า” เฉินชุนอวี่จัดระเบียบเสื้อผ้าของตน “ข้าจะสรุปความให้นะ ลู่อี้เป็นของข้า หากเจ้ายอมจากไปด้วยสมัครใจ ข้าสัญญาว่าจะดูแลลูกของเจ้าอย่างดีที่สุด ไม่อย่างนั้น…”

“มีสิ่งใดอีกหรือไม่? เหตุใดเราจึงไม่ไปหาลู่อี้ในตอนนี้ แล้วกล่าวทุกสิ่งที่เจ้าเอ่ยเมื่อครู่ต่อหน้าเขาอีกครั้งเล่า?” มู่ซืออวี่กล่าวอย่างเย็นชา

“เจ้า…” เฉินชุนอวี่จ้องเขม็ง “ในเมื่อขอดี ๆ ไม่ได้ ข้าคงต้องใช้กำลัง”

“ข้าไม่ได้โง่อย่างที่เจ้าคิด” มู่ซืออวี่เยาะเย้ย “เสื้อผ้าพวกนี้ไม่เหมาะกับเจ้าสักนิด เจ้าดูแก่กว่าวัย น่ารังเกียจมากกว่าเดิมเสียอีก”

เฉินชุนอวี่จ้องมู่ซืออวี่เดินจากไป ก่อนจะกระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ “นังคนน่าชัง!”

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย
Status: Ongoing
อ่านนิยายสาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายเรื่องย่อ: 'มู่ซืออวี่ทะลุมิติมาเลี้ยงลูกตัวร้ายแบบนี้ เห็นทีจะต้องร้ายตามบทถึงจะมีชีวิตรอด แต่ลูกชายคนโตของนางกลับจับผิดได้ตั้งแต่วันแรก หากไม่อยู่ในบทเดิม เกรงว่าผู้คนจะคิดว่าวิญญาณสิงสู่ ชีวิตน้อยๆ ก็อาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ มู่ซืออวี่จึงต้องเริ่มภารกิจแกล้งร้ายให้ครอบครัวตัวร้ายตายใจ จะว่าไป ลูกน้อยของนางก็ช่างน่ารักเสียนี่กระไร ใครจะไปใจร้ายใส่เด็กสองคนนี้ลง มู่ซืออวี่ตัดสินใจแล้วว่า ใครที่กล้าแกล้งวายร้ายตัวน้อยของนาง จะต้องโดนสั่งสอนเสียให้เข็ด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset