สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 165 จับเขาไว้

บทที่ 165 จับเขาไว้

ถังซานอวี่ตามลู่อี้ไป เมื่อไปถึงประตูห้องขัง พลันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

เขาหยุดฝีเท้าแล้วถามขึ้นว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

ลู่อี้หันกลับมามอง “เจ้าเป็นเสมียนมีหน้าที่รับผิดชอบคดีอาญา คงไม่รู้สึกไม่คุ้นเคยกับห้องขังกระมัง เหตุใดจึงไม่กล้าเข้าไป? จะร้อนตัวไปทำไมกัน?”

“ข้ามีอะไรให้ร้อนตัว เจ้าไม่ให้หนังสือราชการกับข้า แต่กลับพาข้าตรงมายังห้องขังทันที นี่หมายความว่าอย่างไร?” แววตาของถังซานอวี่วูบไหว

“ก็แค่พาเจ้ามาไต่สวนคดีใหญ่คดีหนึ่งเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องตระหนกไป” ลู่อี้แสดงท่าทีเชื้อเชิญ

ใบหน้าของถังซานอวี่เปลี่ยนสี เขาหันหลังวิ่งหนีทันที

ลู่อี้ก้าวไม่กี่ครั้งก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าถังซานอวี่

“เจ้ากลัวอะไร?”

“ข้านึกได้ว่ายังมีเรื่องสำคัญที่ยังไม่ได้จัดการ” ถังซานอวี่เอ่ยเสียงขรึม

“ทุกคนล้วนเป็นเพื่อนร่วมงานกัน พูดออกมาเถิด เราจะได้ช่วยกันหาทางแก้” ลู่อี้เอ่ยขึ้น “อย่างเช่นว่า… เอาตราประทับทางการไปซ่อนไว้ในที่ที่ทุกคนหาไม่เจอ”

“เจ้าพูดจาเพ้อเจ้ออะไร? ตราประทับทางการอะไรกัน? ข้าจะมีตราประทับทางการได้อย่างไร?” ถังซานอวี่กำหมัดแน่น

หากครั้งนี้เขายังมองไม่ออกว่าถูกเล่นงานเข้าให้แล้ว การเป็นเจ้าหน้าที่ทางการหลายปีมานี้คงสูญเปล่า

“ตราประทับทางการของใต้เท้าถูกขโมยไป เรื่องนี้ถูกปิดไว้เป็นความลับ ยกเว้นเจ้าหน้าที่ไม่กี่คนที่ถูกลงโทษ ก็มีข้า ใต้เท้า และท่านที่ปรึกษาที่รู้เรื่องนี้ แม้แต่ปลัดอำเภอเฉินยังไม่รู้” เมื่อลู่อี้เอ่ยจบ เจ้าหน้าที่ทางการหลายคนก็ล้อมอีกฝ่ายไว้

ถังซานอวี่ถูกล้อมไว้ตรงกลาง ไม่มีโอกาสหลบหนีแม้แต่น้อย

“ตราประทับของใต้เท้าถูกขโมยไปแล้วเกี่ยวอะไรกับข้า?”

“หลังจากตราประทับทางการถูกขโมยไป พวกเราดำเนินการสะสางงานต่าง ๆ ออกหนังสือราชการตามปกติ ทุกคนล้วนไม่มีข้อสงสัย มีเพียงเจ้า…” สายตาของลู่อี้ยามนี้เฉียบคมมาก “ที่คอยสอดส่องหนังสือทางการของทุกคน ทั้งยังสังเกตตำแหน่งของตราประทับเป็นพิเศษ เหตุใดจึงมีพฤติกรรมเช่นนี้?”

“ข้าเพียงแค่สงสัยว่าเหตุใดหนังสือราชการของทุกคนจึงไม่มีตราประทับ เจ้าไม่ต้องมาใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น” ถังซานอวี่ไม่ยอมจำนน

“เจ้าไม่พูดก็ไม่เป็นไร” ลู่อี้เอ่ยนิ่ง ๆ “นำตัวเขาไป”

“ใต้เท้า! ข้าอยากพบใต้เท้า!” ถังซานอวี่ตะโกนลั่น

“ใต้เท้าไม่อยากพบเจ้า” นักการเกาปรี่เข้ามา “ใต้เท้าคงอยากจะถลกหนังเจ้าจนแทบทนไม่ไหวแล้วกระมัง”

“นักการเกา หากเจ้าสมรู้ร่วมคิดกับลู่อี้ เจ้าย่อมไม่มีจุดจบที่ดี” ถังซานอวี่เย้ยหยัน “เรื่องนั้นที่พวกเจ้าทำ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้”

“งั้นรึ?” นักการเกายิ้มเยาะ “เช่นนั้นพวกเรายิ่งต้องไปคุยกันที่ห้องขังให้ดี ๆ ถึงข้ากับจู่ปู้ลู่จะไร้ความละอาย แต่อย่าคิดจะสาดน้ำโคลนใส่พวกข้า”

เมื่อนายอำเภอฉินได้ยินว่าลู่อี้จับคนที่ขโมยตราประทับทางการได้ ก็เอ่ยขึ้นอย่างกระตือรือร้น “เร็วเข้า รีบเชิญจู่ปู้ลู่มา”

เมื่อลู่อี้รีบร้อนเข้ามา สายตาของนายอำเภอฉินก็แทบลุกเป็นไฟ

ชายหนุ่มคำนับแล้วเอ่ยอย่างเคร่งขึม “ใต้เท้า ยังไม่พบตราประทับขอรับ”

“ไม่ใช่ว่าจับโจรได้แล้วหรือ?” นายอำเภอฉินขมวดคิ้ว

“ขอรับ แต่อีกฝ่ายให้ตายก็ไม่ยอมรับสารภาพ” ลู่อี้กล่าว

“แล้วเจ้ามีวิธีการอะไร?”

“ใต้เท้า ข้าน้อยได้ตรวจรายชื่อเจ้าหน้าที่เวรยามวันนั้นแล้ว เสมียนถังเพียงคนเดียวไม่สามารถเข้ามาในห้องใต้เท้าได้แน่ แน่นอนว่าต้องมีคนคอยปกปิดให้เขา แต่คนที่คอยปกปิดให้ก็คงไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำสิ่งใด ขอแค่เพียงเราประกาศออกไป รายงานการกระทำความผิดของเสมียนถังไปตามกระบวนการ หากอีกฝ่ายช่วยเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ ความผิดของเขาย่อมผ่อนปรนได้ ไม่ได้ทำผิดย่อมไม่ได้รับโทษ”

“ได้ เช่นนั้นก็ทำตามที่เจ้าว่า”

ทันทีที่ลู่อี้จากไป เฉินเซียนเฉิงก็เข้ามาในห้องของนายอำเภอฉิน

“ใต้เท้า ลู่อี้จับเสมียนถังไปแล้วขอรับ”

“ข้ารู้” นายอำเภอฉินเอ่ยเบา ๆ

“ใต้เท้า จู่ปู้ลู่ทำให้คนที่เคยมีปัญหากับเขาได้รับความลำบากทันทีที่เขาได้เลื่อนขั้น คนผู้นี้จิตใจคับแคบ เป็นพฤติกรรมของคนชั่วโดยแท้จริง” เฉินเซียนเฉิงเอ่ยอย่างเย็นชา “ใต้เท้าอย่าได้หลงกลคนชั่วเช่นนี้นะขอรับ”

“ปลัดอำเภอเฉินรู้หรือไม่ว่าเหตุใดจู่ปู้ลู่จึงต้องจับเสมียนถัง?” นายอำเภอฉินมองปลัดอำเภอเฉินนิ่ง ๆ

“ข้าน้อยไม่ทราบ เกรงว่าจะเป็นความผิดไร้ที่มา” เฉินเซียนเฉิงตอบ

“ได้ยินว่าปลัดอำเภอเฉินกับเสมียนถังมีความสัมพันธ์ต่อกันดีไม่น้อย”

เฉินเซียนเฉิงได้ยินคำพูดของนายอำเภอฉินก็พลันรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา

“ใต้เท้า ข้าน้อยไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนนะขอรับ”

“เจ้าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนหรือไม่ ข้าไม่สนใจ การกระทำของลู่อี้ได้รับความเห็นชอบจากข้า หากเจ้าไม่พอใจ ก็ทำได้แค่กล้ำกลืนลงไปแล้ว” นายอำเภอฉินเอ่ยอย่างเรียบ ๆ “ปลัดอำเภอเฉิน เจ้าติดตามข้ามานานเพียงใดแล้ว?”

“นับตั้งแต่ใต้เท้ามาเป็นนายอำเภอจนใต้เท้าเลื่อนขั้นให้ข้าน้อยเป็นปลัดอำเภอ บัดนี้ก็แปดปีแล้วขอรับ”

“แปดปีแล้ว” สายตาของนายอำเภอฉินเหม่อลอยออกไปไกล “ตอนที่ข้าเพิ่งได้รับตำแหน่ง ทั่วทั้งเมืองฮู่เป่ยล้วนตกอยู่ในความสับสนอลหม่าน นายอำเภอคนก่อนขูดเลือดขูดเนื้อราษฎร ทำให้ผู้คนหมดหนทางทำมาหากิน ข้าไม่มีคนที่สามารถใช้การได้ ตอนนั้นที่ข้าพบเจ้า เห็นความกระตือรือร้นในแววตาของเจ้า ข้าจึงคิดว่าคนนี้ใช้การได้ คงไม่ได้ทำให้ข้าผิดหวัง แต่… เหตุใดพอเป็นเรื่องของลู่อี้ เจ้าถึงเป็นเช่นนี้เล่า?”

“ใต้เท้า ข้าน้อย…”

จิตใจของเฉินเซียนเฉิงเต็มไปด้วยความว้าวุ่น

ในฐานะที่เป็นมือขวาของนายอำเภอฉิน เขาได้รับการเคารพยกย่องเป็นอย่างมาก ไม่เคยถูกนายอำเภอฉินตำหนิเช่นนี้มาก่อน

“ข้าเข้าใจ เพราะน้องสาวคนนั้นของเจ้า เป็นเหตุให้ลู่อี้ทำสิ่งใดก็ไม่เข้าตาเจ้า” นายอำเภอฉินเอ่ยเบา ๆ “ข้าไม่สนใจความแค้นส่วนตัวของเจ้า แต่มีบางสิ่งที่เจ้าต้องเข้าใจ เจ้าอย่าให้ความโกรธเคืองกระทบกับหน้าที่เป็นอันขาด ผู้ใดสามารถช่วยข้าได้ ข้าก็จะใช้ผู้นั้น ผู้ใดถูกความแค้นส่วนตัวครอบงำความคิด ชีวิตของเขาก็จะหยุดอยู่เพียงเท่านี้ ข้าสละได้เสมอ”

“ข้าน้อยเข้าใจ ข้าน้อยผิดไปแล้วขอรับ”

ในตอนที่เฉินเซียนเฉิงออกมา คนสนิทก็มาถึงพอดี

“ใต้เท้า เป็นอย่างไรขอรับ?”

“ลู่อี้คนนี้… ตอนนี้ยังแตะต้องไม่ได้” เฉินเซียนเฉิงขมวดคิ้ว “ใต้เท้าให้ความสำคัญกับเขา หากแตะต้องเขาตอนนี้ ใต้เท้าจะต้องโกรธเกรี้ยวเป็นแน่ ไม่มีผลดีกับเราเช่นกัน”

“ข้าน้อยได้ยินข่าวบางอย่างมา ไม่รู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่” คนสนิทคนนั้นเอียงเข้ามากระซิบสองสามคำใกล้ ๆ หูเฉินเซียนเฉิง

“เหตุใดเจ้าไม่บอกตั้งแต่เนิ่น ๆ?” ปลัดอำเภอเฉินได้ยินแล้วก็พลันโมโหขึ้นมา “หากรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องนี้ ครั้งนี้ข้าจะไม่เข้าไปทำให้ใต้เท้าไม่พอใจเสียเปล่า ๆ เจ้ามันไร้สมอง เรื่องสำคัญเช่นนี้ยังกล้าปิดบังไว้”

สองสามชั่วยามต่อมา นักการคนหนึ่งก็เข้ามารับสารภาพ พร้อมสาธยายขั้นตอนที่เคยช่วยถังซานอวี่ปกปิดออกมาเป็นฉาก ๆ

เมื่อลู่อี้มาที่ห้องขัง เขาก็มองถังซานอวี่ที่ถูกเฆี่ยนตีจนไม่เห็นเนื้อหนังดี ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “เจี่ยงฮู่รับสารภาพทุกอย่างแล้ว”

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดเรื่องอะไร?” ถังซานอวี่เอ่ยอย่างหมดเรี่ยวแรง “ข้าไม่มีสายสัมพันธ์ส่วนตัวกับเจี่ยงฮู่”

“เช่นนั้นหรือ? เช่นนั้นแม่นางหลิ่วซวี่จากเรือนวสันต์ผู้นั้นเล่า?” ลู่อี้เล่นกับพู่กันในมือ “นางมีสายสัมพันธ์ส่วนตัวกับเจ้าหรือไม่?”

“เจ้าจะทำอะไร? เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนาง” ถังซานอวี่จ้องลู่อี้เขม็ง

“อืม ไม่เกี่ยวข้อง เพียงแต่พวกเราพบบางสิ่งที่สำคัญมากในห้องของนาง” ลู่อี้กล่าว “ตามกฎหมาย ควรได้รับการตัดสินโทษตัดหัวหลังจากฤดูใบไม้ร่วง”

“ข้าบอกว่าไม่เกี่ยวกับนาง!”

“เอาไปครอบครองส่วนตัวย่อมมีโทษมหันต์”

“ข้าทำเอง” ถังซานอวี่เอ่ยขึ้นอย่างอ่อนแรง “อย่าแตะต้องนาง”

“ปากแข็งเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าจะสารภาพเพราะความรัก” นักการเกาที่อยู่นอกห้องขังเอ่ยขึ้น “รู้เช่นนี้คงเอาสตรีผู้นี้ออกมาตั้งแต่เนิ่น ๆ ขู่เขาให้กลัวสักหน่อยแล้ว”

“ตราประทับทางการอยู่ในเรือนวสันต์ ส่งคนไปค้นให้ทั่ว” ลู่อี้ค่อย ๆ เอ่ยขึ้น “เรือนวสันต์กล้าปกปิดหลักฐานการกระทำผิดกฎหมายเช่นนี้ก็ทำการตรวจยึดซะ”

“ขอรับ” นักการเกาตอบรับคำสั่ง จากนั้นจึงหันหลังแล้วจากไป

“ลู่อี้!!!” ถังซานอวี่จ้องมองลู่อี้ “เจ้ามันโหดเหี้ยมอำมหิต ระวังกรรมจะตามสนอง”

“วางใจเถิด เจ้าคงไม่ได้เห็นข้าในตอนนั้น” ลู่อี้ยิ้มบาง ๆ “ยังไม่ถึงคราวที่เจ้าจะมาเป็นห่วง”

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย
Status: Ongoing
อ่านนิยายสาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายเรื่องย่อ: 'มู่ซืออวี่ทะลุมิติมาเลี้ยงลูกตัวร้ายแบบนี้ เห็นทีจะต้องร้ายตามบทถึงจะมีชีวิตรอด แต่ลูกชายคนโตของนางกลับจับผิดได้ตั้งแต่วันแรก หากไม่อยู่ในบทเดิม เกรงว่าผู้คนจะคิดว่าวิญญาณสิงสู่ ชีวิตน้อยๆ ก็อาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ มู่ซืออวี่จึงต้องเริ่มภารกิจแกล้งร้ายให้ครอบครัวตัวร้ายตายใจ จะว่าไป ลูกน้อยของนางก็ช่างน่ารักเสียนี่กระไร ใครจะไปใจร้ายใส่เด็กสองคนนี้ลง มู่ซืออวี่ตัดสินใจแล้วว่า ใครที่กล้าแกล้งวายร้ายตัวน้อยของนาง จะต้องโดนสั่งสอนเสียให้เข็ด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset