สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 167 ขึ้นบ้านใหม่แล้ว ช่างครึกครื้นจริง ๆ

บทที่ 167 ขึ้นบ้านใหม่แล้ว ช่างครึกครื้นจริง ๆ

บทที่ 167 ขึ้นบ้านใหม่แล้ว ช่างครึกครื้นจริง ๆ

“เฉิงเฉวียน พรุ่งนี้บ้านพี่อี้ขึ้นบ้านใหม่ เจ้าจะให้อะไร?”

ลู่เหลียงที่ถือถังมูลสัตว์เดินผ่านประตูบ้านเฉิงเฉวียนร้องถาม

เฉิงเฉวียนกำลังซ่อมรูบนตะกร้าหวายเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ข้าไม่ไปล่ะ พรุ่งนี้ต้องไปบ้านพ่อตาน่ะ”

ลู่เหลียงตอบกลับมาว่า “ได้ยินว่าพ่อตาเจ้าถูกงูกัด พิษแพร่กระจายตอนส่งไปยังโรงหมอ ถึงแม้จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่ก็กลายเป็นอัมพาตแล้ว ควรไปดูอยู่บ้างจริง ๆ”

เฉิงเฉวียนกระอึกกระอัก “ใช่”

ลู่เหลียงเดินออกมาได้ไม่นาน คนในหมู่บ้านที่รุ่นราวคราวเดียวกับเขาก็เอ่ยขึ้น “ถามผิดแล้ว บ้านเขาล่วงเกินลู่อี้ ตอนนี้จะกล้าไปบ้านลู่อี้ได้อย่างไร ปกติยังต้องคอยหลบหน้าให้มากหน่อยด้วยซ้ำ”

“พี่อี้ไม่ใช่คนตระหนี่ถี่เหนียว” ลู่เหลียงกล่าว “ขอแค่เพียงภายหน้าพวกเขาไม่เล่นลูกไม้อีกก็ไม่เป็นไรแล้ว ทุกคนล้วนเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องสร้างความลำบากให้กัน”

“จริงสิ กิจการหมูตุ๋นของหมู่บ้านจ่ายเงินปันผลแล้ว พวกเจ้าได้หรือยัง?”

ครั้นเอ่ยถึงกิจการร้านหมูตุ๋นของหมู่บ้าน คนมากมายในหมู่บ้านล้วนยิ้มแย้มเบิกบาน สนิทชิดเชื้อกับคนบ้านลู่อี้มากขึ้นกว่าเดิม อย่างไรเสียร้านหมูตุ๋นของหมู่บ้านนี้ก็เกิดขึ้นได้เพราะมู่ซืออวี่ขายสูตรให้หัวหน้าหมู่บ้าน

กิจการร้านค้าหมูตุ๋นของหมู่บ้านดีขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ที่เข้าร่วมกับร้านตั้งแต่เริ่มต้นล้วนได้รับเงินปันผลแตกต่างกันไปตามจำนวนเงินที่ลงขัน แต่ละคนได้รับคนละ 5 ตำลึงถึง 10 กว่าตำลึงต่อเดือน

“พี่สาวของข้าก็ลำบากเช่นกัน เลี้ยงของกินบนเรือนขี้รดบนหลังคาเช่นนั้นขึ้นมา” อวี๋ซื่อนั่งด่าอยู่ในลานบ้าน “ในตอนนั้นกิจการร้านหมูตุ๋นของหมู่บ้านก็ไม่ให้ครอบครัวพวกเราเข้าร่วม ตอนนี้แม้แต่งานขึ้นบ้านใหม่ก็ไม่เชิญพวกเรา ข้าเป็นผู้ใด? ข้าเป็นป้าแท้ ๆ ของลู่อี้ คนใจคอโหดเหี้ยมเยี่ยงหมาป่าเช่นนี้ ข้าจะดูว่าเขาจะเป็นขุนนางได้นานสักเท่าไหร่กันเชียว”

“ท่านแม่ ไม่ต้องพูดแล้ว” หญิงสาวข้าง ๆ เอ่ยเกลี้ยกล่อม “หากถูกได้ยินเข้าละก็…”

“ได้ยินก็ได้ยินไปสิ แล้วอย่างไร เขายังคิดจะจับข้าเข้าคุกเข้าตะรางอีกหรือ? ข้าจะดูซิว่าเขาจะกล้าไหม!” อวี๋ซื่อยืดคอ “พรุ่งนี้เขาจะขึ้นบ้านใหม่ ข้าจะไปดูซิว่าเขาจะกล้าไล่ข้าออกมาหรือไม่”

คนในหมู่บ้านว่าอย่างไร มู่ซืออวี่และลู่อี้ไม่มีแม้แต่เวลาจะพูดคุยกัน พวกเขาเชิญคนเสร็จก็เริ่มเตรียมวัตถุดิบและข้าวของเครื่องใช้หลายอย่างสำหรับพรุ่งนี้

วันรุ่งขึ้น ลู่อี้พาเฟิงเจิงและคนอื่น ๆ มา สถานที่ก็จัดเสร็จเรียบร้อยอย่างรวดเร็วจากการลงแรงช่วยกันของทุกคน

ลู่เจินเจินและเฉินซื่อมาเยี่ยมเยือน สามีของเฉินซื่อและลูกชายก็มาด้วย

ตอนนี้ครอบครัวของพวกนางขายช่วนช่วนได้กำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เนื้อผ้าที่สวมใส่บนร่างกายย่อมไม่เหมือนแต่ก่อน บนผมของลู่เจินเจินยังมีปิ่นปักผมสีเงิน บนข้อมือก็สวมใส่กำไลเงินวงหนึ่ง

หันกลับไปมองเฉินซื่อ นางมักจะสวมใส่เครื่องประดับบนผมและบนข้อมืออยู่แล้ว ทว่าใบหน้าตอนนี้มีเลือดฝาดตามประสาคนไม่อดอยาก

ชาวบ้านเข้ามาในงานเลี้ยงคนแล้วคนเล่า เมื่อพวกเขาเห็นการเปลี่ยนแปลงของครอบครัวเฉินซื่อก็ล้วนอิจฉา

“หากพูดให้น้อยลงหน่อย ทำความดีให้มากขึ้น พระโพธิสัตว์ย่อมต้องมองเห็น จะต้องไม่ให้คนจิตใจดีงามต้องลำบากเป็นแน่ ดูเฉินซื่อกับลู่เจินเจินสิ แต่ก่อนโน้นช่วยฉาวอวี่กับอวิ๋นเอ๋อร์อยู่บ่อย ๆ นี่ไม่ใช่ว่าสวรรค์ประทานพรหรือ!”

เฉินซื่อเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกเราล้วนเป็นคนโชคดี ขอแค่มีโอกาส ชีวิตจะต้องผ่านไปด้วยดีแน่นอน”

“ได้ยินว่ากิจการร้านค้าหมูตุ๋นดีมาก ป้าจวงได้ปันผลถึง 10 ตำลึงเงิน” ลู่เจินเจินพูดขึ้นมา “อิจฉาป้าจวงจริง ๆ กิจการของพวกท่านใหญ่โต พวกเราเดินเร่ขายช่วนช่วนไปทีละบ้าน ต้องพบปะผู้คนมากหน้าหลายตา”

“เราก็เหมือนกัน”

เฉินซื่อส่งสายตาชื่นชมให้ลู่เจินเจิน

“พี่สะใภ้ ข้าจะไปช่วยพี่สะใภ้อี้” ลู่เจินเจินลุกขึ้น

“ไปเถอะ” เฉินซื่อพยักหน้าให้

ทันทีที่ลู่เจินเจินจากไป จวงซื่อก็เอ่ยปากถาม “น้องสาวสามีเจ้าอายุอานามก็ไม่เด็กแล้ว ดูครอบครัวเหมาะ ๆ ไว้แล้วหรือยัง?”

“ข้ายังไม่ได้คิดเลย” เฉินซื่อตอบ

“พวกเจ้ากับครอบครัวลู่อี้มีความสัมพันธ์ดีไม่น้อย เหตุใดไม่ให้ลู่อี้ช่วยมองดูเจ้าหน้าที่ทางการในศาลาว่าการสักคนให้ลู่เจินเจินเล่า?” จวงซื่อกล่าวต่อไป “หากสำเร็จแล้วละก็ น้องสามีบ้านเจ้าก็โชคดีเลยนะ”

เฉินซื่อเริ่มคล้อยตาม

“พี่สะใภ้อี้ ข้ามาช่วย” ลู่เจินเจินเข้ามาในครัว

ข้างในครัวมีคนอยู่ไม่น้อย นอกจากลู่เจินเจินแล้ว ยังมีสตรีจากครอบครัวเหยาซื่อสองสามคนช่วยอยู่ที่นี่

มู่ซืออวี่เห็นลู่เจินเจินแล้วก็เอ่ยยิ้ม ๆ “ดีเลย! รีบมาช่วยข้าหั่นรากบัวเร็ว”

ครอบครัวของหัวหน้าหมู่บ้านมาแล้ว มีเขาอยู่ แขกเหรื่อข้างนอกก็ถือว่าได้รับการต้อนรับแล้ว

ลู่อี้ก็คอยต้อนรับแขกเช่นกัน เพียงแต่สีหน้าของเขาเย็นชาเกินไป หลังจากแสดงความยินดีกับเขา ชาวบ้านก็ไม่สามารถหาคำพูดใดมากล่าวต่อไปได้ ในตอนนี้นับว่าเขามีหน้ามีตาในเมืองฮู่เป่ย ทุกคนล้วนไม่ใครกล้าพูดจาไร้สาระต่อหน้าเขา

“ดูอวิ๋นเอ๋อร์สิ โตมาแล้วหน้าตาสะสวยจริง ๆ พวกเจ้าว่าภรรยาลู่อี้คลอดออกมาอิท่าไหนกัน?”

“พวกเจ้าเห็นกระพรวนเล็ก ๆ บนหัวนางหรือไม่ นั่นทำจากเงินเชียวนะ ครั้งก่อนข้าเห็นมันที่ร้าน ตั้ง 3 ตำลึงเงินล่ะ!”

“อะไรนะ? 3 ตำลึง?”

“นี่แทบจะไม่นับด้วยซ้ำ พวกเจ้ารู้หรือไม่ เสื้อผ้าบนตัวของอวิ๋นเอ๋อร์ราคาเท่าไหร่? นั่นสั่งทำเลยเชียวนะ แต่ละชุด 5 ตำลึงเงิน ยังมีรองเท้าเล็ก ๆ อีก เห็นหรือไม่ จุ๊จุ๊ ครอบครัวนี้ช่างมั่งคั่งจริง ๆ เลย”

เถี่ยโถววิ่งเข้ามาจากข้างนอก ทันใดนั้นก็ชนเข้ากับลู่ฉาวอวี่

ลู่ฉาวอวี่ร่างกายโงนเงน มู่เจิ้งหานที่อยู่ข้าง ๆ พลันช่วยพยุงเอาไว้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ล้มลงไป

“เถี่ยโถว ทำอะไรน่ะ? ไม่ระมัดระวังเอาซะเลย” เอ้อร์หนิวเห็นพอดีจึงรีบตำหนิเขาอย่างตื่นตระหนก “ฉาวอวี่ ไม่เป็นอะไรนะ?”

“ไม่เป็นไร” หลังจากลู่ฉาวอวี่กล่าวจบก็มองเถี่ยโถว “อะไรอยู่ในแขนของเจ้า?”

เถี่ยโถวหน้าแดงก่ำ เอ่ยด้วยความระมัดระวัง “ข้าไปเอาไข่นกมา แต่ก่อนเจ้าชอบกินไม่ใช่หรือ? ข้าอยากเอามาให้เจ้า”

“เถี่ยโถว ตอนนี้ฉาวอวี่ไม่ขาดแคลนอาหารการกินแล้ว ใครจะกินไข่นกของเจ้า ต่อไปเจ้าก็อย่าประมาทเช่นนี้ หากทำให้ฉาวอวี่เจ็บขึ้นมา นั่นเป็นเรื่องใหญ่เชียวนะ” หญิงออกเรือนแล้วนางหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยกระแนะกระแหน

เอ้อร์หนิวขมวดคิ้ว “ท่านจะพูดเช่นนั้นไม่ได้ เถี่ยโถวไม่ได้ตั้งใจ”

“เอ้อร์หนิว เจ้าก็ระวังเถอะ! ตอนแรกหลานสาวของข้าชอบเจ้า ขอแค่เจ้าเอาเถี่ยโถวให้พี่ชายของเจ้าดูแลแล้วยอมไปเป็นลูกเขยแต่งเข้าให้ข้า จะได้ภรรยากลับไม่เอา ตอนนี้เจ้าเด็กคนนี้ไม่ว่านอนสอนง่าย ระวังเถอะ สักวันจะสร้างความยุ่งยากให้เจ้า”

เถี่ยโถวก้มหัวลง มือที่กุมท้องเอาไว้สั่นระริก

“ไข่นกอร่อยที่สุดก็ตอนปิ้ง” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยขึ้นเรียบ ๆ “แม่ข้าทำอาหารไม่เร็วนัก เจ้าอยากปิ้งไข่นกหรือไม่?”

เถี่ยโถวเงยหน้าขึ้นมองลู่ฉาวอวี่ แววตาเปี่ยมไปด้วยความดีใจ “เจ้าอยากกินตอนนี้ไหม?”

“อืม ไม่ได้กินนานแล้ว”

เถี่ยโถวยิ้มแฉ่ง “ข้ารู้ว่าฉาวอวี่ชอบ”

ลู่ฉาวอวี่มองเจี่ยงซื่อ ก่อนจะคำนับด้วยท่าทีสง่างาม จากนั้นก็เอ่ยอย่างจริงจังว่า “ท่านป้าให้พี่เอ้อร์หนิวเป็นเขยแต่งเข้าแบบนี้ อยากได้จริง ๆ หรืออยากให้พี่เอ้อร์หนิวไปเป็นวัวเป็นม้า กลายเป็นทาสของครอบครัวท่านกันแน่”

“ฉาวอวี่ เจ้าไม่เข้าใจเรื่องของผู้ใหญ่หรอก” เจี่ยงซื่อยิ้มเยาะ

“ข้าไม่เข้าใจ แต่ข้ารู้ว่าเถี่ยโถวไม่ได้ซุ่มซ่าม เขาเป็นสหายที่ดีมาก” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ในหมู่บ้านนี้ข้ามีเถี่ยโถวเป็นสหายคนเดียว ใครจะมารังแกเขาไม่ได้”

เถี่ยโถวมองลู่ฉาวอวี่อย่างซาบซึ้ง “ฉาวอวี่”

เอ้อร์หนิวลูบหัวเถี่ยโถว “เจ้าเด็กคนนี้ไม่เลวเลย คนโง่ก็มีวาสนาของคนโง่”

มู่เจิ้งหานที่อยู่ข้าง ๆ ก็คล้อยตาม “ไม่ผิด เถี่ยโถวเป็นสหายที่ดีมาก สหายที่ดีที่สุดในหมู่บ้านของข้าก็เป็นเถี่ยโถวเช่นกัน”

“ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าอยากกินไข่ปิ้งหรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นถือตะกร้าเดินเข้ามา “ข้าไปขอเครื่องปรุงท่านแม่มา ขอผักกับหมูมาด้วย พวกเราไปหาที่ปิ้งไข่กินกันเถอะ!”

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย
Status: Ongoing
อ่านนิยายสาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายเรื่องย่อ: 'มู่ซืออวี่ทะลุมิติมาเลี้ยงลูกตัวร้ายแบบนี้ เห็นทีจะต้องร้ายตามบทถึงจะมีชีวิตรอด แต่ลูกชายคนโตของนางกลับจับผิดได้ตั้งแต่วันแรก หากไม่อยู่ในบทเดิม เกรงว่าผู้คนจะคิดว่าวิญญาณสิงสู่ ชีวิตน้อยๆ ก็อาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ มู่ซืออวี่จึงต้องเริ่มภารกิจแกล้งร้ายให้ครอบครัวตัวร้ายตายใจ จะว่าไป ลูกน้อยของนางก็ช่างน่ารักเสียนี่กระไร ใครจะไปใจร้ายใส่เด็กสองคนนี้ลง มู่ซืออวี่ตัดสินใจแล้วว่า ใครที่กล้าแกล้งวายร้ายตัวน้อยของนาง จะต้องโดนสั่งสอนเสียให้เข็ด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset