สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 170 สายลมที่พัดโชยวันนั้น ผสมผสานรสชาติของฤดูใบไม้ผลิ

บทที่ 170 สายลมที่พัดโชยวันนั้น ผสมผสานรสชาติของฤดูใบไม้ผลิ

บทที่ 170 สายลมที่พัดโชยวันนั้น ผสมผสานรสชาติของฤดูใบไม้ผลิ

มู่ซืออวี่เดินถือตะเกียงน้ำมันเข้าไปในห้องของลู่จื่ออวิ๋น พอเห็นใบหน้าของแม่นางน้อยที่กำลังหลับใหลอย่างสงบโดยมีโคลนเปื้อนอยู่ไม่น้อยก็หัวเราะออกมา

นางวางตะเกียงน้ำมันลง ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดหน้าของแม่นางน้อย เช็ดมือ และเช็ดเท้าขาว ๆ เล็ก ๆ ของเด็กน้อยให้สะอาด สุดท้ายจึงช่วยดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้ นางถือตะเกียงน้ำมันไว้มือหนึ่ง ส่วนอีกมือหนึ่งถืออ่างน้ำเดินออกมา

เมื่อนางมาที่ห้องของลู่ฉาวอวี่ ทันทีที่ประตูเปิดออก คนที่นอนอยู่บนเตียงก็ลืมตาขึ้นมาทันที

ทักษะระแวดระวังช่างแข็งแกร่งจริง ๆ

ลู่ฉาวอวี่ลุกขึ้นถาม “มีเรื่องอะไร?”

“เอาน้ำอุ่นมาให้เจ้า มาล้างหน้าล้างเท้าเถอะ”

ตื่นก็ดีเช่นกัน นางจะได้ไม่ต้องทำให้

ว่าแต่เด็กคนนี้…. ยิ่งโตขึ้นมากเท่าไหร่ อารมณ์ยิ่งเหมือนคนเป็นพ่อเข้าไปทุกที

มู่ซืออวี่มองความเคลื่อนไหวของเขาอยู่ข้าง ๆ

“ล้างเสร็จแล้ว ท่านจะมองไปถึงเมื่อไหร่?” ลู่ฉาวอวี่เงยหน้าขึ้นมาถาม

“ข้าเป็นแม่แท้ ๆ ของเจ้า ยังมองเจ้าไม่ได้อีกหรือ?” มู่ซืออวี่กล่าวพลางอุ้มเขาขึ้นมา

ลู่ฉาวอวี่ “…”

ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ขยับตัวขัดขืนไปมาอยู่ในอ้อมแขนของนาง

“อย่าขยับ” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้น “ล้างเท้าแล้ว น้ำยังไม่ทันแห้งเลย รองเท้าของเจ้าเปียกใช่หรือไม่?”

นางวางลู่ฉาวอวี่ลงบนเตียง จากนั้นใช้ผ้าเช็ดเท้าของเขาให้แห้ง

“เสร็จแล้ว”

“ขอบคุณ” ลู่ฉาวอวี่ก้มหน้าลงขณะกล่าว

“เล่นจนเหนื่อยแล้วล่ะสิ? รีบพักผ่อนเสีย”

“อืม”

“ข้าจะเก็บเสื้อผ้าของเจ้าไปแล้ว พรุ่งนี้เจ้าก็ใส่ตัวที่ตัดใหม่ รองเท้าก็ต้องเปลี่ยนเช่นกัน คู่นี้เปียกแล้ว ข้าจะเอาไปซักพร้อมกันพอดี”

“ก็ได้”

“อย่าเอาแต่อ่านหนังสือทั้งวัน ระวังจะกลายเป็นหนอนหนังสือ โลกภายนอกสวยงามมาก ไปดูทิวทัศน์งดงามข้างนอกให้มาก ถ้าจิตใจผ่องใสก็จะยิ่งอ่านหนังสือได้ดีขึ้น เข้าใจหรือไม่?”

ลู่ฉาวอวี่เอ่ยออกมาอย่างขัดเขิน “ข้าจะนอนแล้ว”

“เจ้าเด็กบ้า ไม่น่ารักเลยแม้แต่น้อย” มู่ซืออวี่กล่าวเช่นนั้นแต่ก็ลูบหัวลู่ฉาวอวี่

เด็กน้อยนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นอย่างว่างเปล่า

เขายกมือขึ้นมาลูบหัวของตน ทำตามอย่างที่มู่ซืออวี่ทำ แววตาเต็มไปด้วยความสับสน

มู่ซืออวี่เหนื่อยมาก หลังจากล้มตัวลงได้ไม่นานก็หลับไป

กลางดึกนั้น นางรู้สึกเหมือนถูกบางอย่างทับลงมาอย่างหนักจนหายใจแทบไม่ออก

นางลืมตาขึ้นมา ท่ามกลางแสงจันทร์สลัวที่ส่องเข้ามาจากหน้าต่าง เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาอยู่ราง ๆ

“ลู่อี้!”

นางดิ้นไปมา ทว่าไม่อาจเป็นอิสระจากอ้อมแขนของเขา

ลู่อี้ขมวดคิ้วพึมพำขึ้นมาอย่างกำกวม “อย่าส่งเสียง ปวดหัว”

“เจ้าก็ปล่อยข้าสิ!” มู่ซืออวี่อยากลุกขึ้นนั่ง ทว่าเพียงแค่ขยับเท่านั้น ร่างของลู่อี้ก็กดนางเอาไว้

เขาลืมตาขึ้นมาพลางพึมพำด้วยความสับสน “ชู่ว อย่ารบกวน ภรรยาข้ากำลังนอนหลับ”

มู่ซืออวี่ “…”

ภรรยาของเขาอะไรอีก?

เขามีภรรยากี่คนกัน?

ไม่ถูกสิ เขาต้องอยู่อีกเตียงไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงมาอยู่ที่เตียงนาง?

“ลู่อี้ ปล่อยข้า…”

“อืม…” เขาหายใจอย่างสม่ำเสมอ ดูเหมือนว่าจะหลับไปอีกแล้ว

มู่ซืออวี่ปวดหัวขึ้นมา นางอุตส่าห์หลบเขา จงใจมานอนเตียงห้องข้างใน ผลที่ได้คือเขากลับคลานเข้ามากลางดึก

เหนื่อยจริง ๆ นางไม่อยากกลับไปกลับมาอีกแล้ว จำต้องยอมหลับไปอีกครั้งพร้อมกับหินในร่างมนุษย์คนหนึ่ง

ตอนที่ลู่อี้ตื่นขึ้นมา จมูกของเขาก็ได้กลิ่นหอมสดชื่นตรึงใจของดอกท้อลอยผ่านจมูกจาง ๆ

เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นใบหน้าที่กำลังหลับใหลอย่างสงบ ขนตาราวกับพัดน้อย ๆ งอนงามน่าสัมผัส เขายั้งตัวเองไว้ได้ทันจึงย้ายไปข้าง ๆ ไม่ได้ทำให้นางตื่นขึ้น

การนอนของนางไม่ค่อยราบรื่นนัก หัวคิ้วขมวดมุ่น เมื่อนึกถึงท่านอนของพวกเขาทั้งสองคนเมื่อครู่นี้ คงเป็นเพราะเขาขยับแรงเกินไป นางจึงหลับอย่างไม่เป็นสุขนัก

เมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้น?

ในหัวมีแต่เศษเสี้ยวความทรงจำกระจัดกระจาย เมื่อนำมารวมกันแล้วก็เข้าใจถึงปัญหาใหญ่

เมื่อเห็นนางกำลังจะตื่นขึ้นมา เขาก็หลับตาลงอีกครั้ง

มู่ซืออวี่หาวออกมาพลางขยับแขนของตน เมื่อเห็นว่าตนสามารถขยับได้จึงหันไปมองชายหนุ่มข้างกาย

นางส่งเสียง ‘ฮึ’ ออกมาอย่างเย็นชา จากนั้นเอ่ยเสียงเบาว่า “ผู้ชายตัวเหม็น หนักจะตายแล้ว ถูกทับทั้งคืน ข้าจะบี้แบนอยู่แล้ว”

นางนอนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยายามควบคุมร่างกายของตนให้ขยับอีกครั้ง

ในตอนที่ใกล้จะหายชาและกำลังจะลุกขึ้น แขนข้างหนึ่งก็โอบรอบเอวนาง

มู่ซืออวี่จ้องมองคนข้าง ๆ

เอาอีกแล้ว พอได้แล้วกระมัง!

นางกำลังจะปลุกเขา ทว่าศีรษะของเขากลับเอียงเข้ามาซบเข้าที่บ่าของนางแล้วปล่อยให้ลมหายใจรินรดต้นคอ

มู่ซืออวี่หน้าแดงก่ำ พยายามขยับไปด้านข้าง ทว่าแขนข้างนั้นกลับกระชับขึ้นอีกครั้ง กอดนางแน่นขึ้นกว่าเดิม

“สามี ได้เวลาตื่นแล้ว ตะวันโด่งแล้วนะ” มู่ซืออวี่เรียกอีกฝ่าย

“ยังเช้าอยู่เลย นอนต่ออีกหน่อยเถอะ” ลู่อี้กระซิบข้างหูนาง

มู่ซืออวี่หลับตาลงแล้วหันหน้าหนีเขา

“นอนไม่หลับหรือ?” ลู่อี้ลืมตาขึ้นมา

“อืม” มู่ซืออวี่พึมพำตอบรับ “ได้เวลาตื่นแล้ว”

“ฮูหยิน…” ลู่อี้เปล่งเสียงเรียก

มู่ซืออวี่ได้ยินน้ำเสียงของเขา หัวใจพลันเต้นแรงยิ่งกว่าเดิม

“หืม”

“เจ้ากลัวข้าหรือ?” ลู่อี้หัวเราะ

มู่ซืออวี่ประหลาดใจ นางหันกลับมามองเขาทันที “ไม่… ไม่ได้กลัว”

เหตุใดเขาจึงมองออก?

นางก็กลัวอยู่บ้างจริง ๆ นั่นแหละ

อย่างไรเสียเขาก็เป็นตัวร้ายในนิยายต้นฉบับ วิธีการที่ใช้ล้วนโหดเหี้ยมอำมหิต จะไม่กลัวได้อย่างไร?

“ไม่กลัวจริง ๆ หรือ?” ลู่อี้เลิกคิ้วขึ้นถาม

“ไม่ ท่านเป็นสามีของข้า ข้าจะกลัวท่านทำไม?” มู่ซืออวี่หัวเราะเสียงฝืด

“ดี” มุมปากของลู่อี้ยกขึ้น “เช่นนั้นข้าจะไต่สวนแล้ว”

มู่ซืออวี่งุนงง

นี่มันอะไรกัน?

เช่นนี้ก็ต้องไต่สวนด้วยหรือ?

“ไต่สวนอย่างไร?” นางถามอย่างหวาดระแวง

“ข้าจะ…” ลู่อี้เอียงเข้าไปใกล้ ๆ หูของนาง แล้วเอ่ยเน้นย้ำทีละคำ “ไต่สวนด้วยการทรมาน”

“ทรมานรึ ทรมานอะไร?”

คงไม่กระมัง ช่วงนี้ย่ามใจไปหน่อยหรือ นางเผยพิรุธออกมาแล้วใช่หรือไม่?

ลู่อี้เป็นถึงตัวร้าย เป็นธรรมดาที่เขาจะมองออกว่านางมีบางอย่างผิดปกติ จะว่าไปแล้วช่วงนี้นางก็ไม่ค่อยได้เสแสร้งแกล้งทำแล้ว

มู่ซืออวี่ยอมแพ้ รอคอยความตายคืบคลานเข้ามา

ฝ่ามือใหญ่เลื่อนขึ้นมาปิดตาของนางไว้

“ท่าน… ท่านจะทำอะไร? อื้อออ”

ริมฝีปากอุ่นประกบลงมาราวกับกำลังลิ้มลองของอร่อย ลู่อี้ละเมียดละไมลองลิ้มชิมริมฝีปากนางทีละน้อย ก่อนจะดันลิ้นอุ่นร้อนเข้ามาประหนึ่งกำลังสำรวจเมืองแห่งใหม่ ชายหนุ่มปลุกปล้นสะดมแล้วทิ้งร่องรอยเอาไว้

ไฟร้อนแรงแห่งสงครามลุกโชนแผดเผาไปทั่วทั้งร่างกายของนาง ยิ่งแผดเผายิ่งเร่าร้อน ก่อนจะอ่อนลงกลายเป็นน้ำแอ่งหนึ่ง ปล่อยให้ศัตรูครอบครองตีตราเป็นเจ้าของอาณาเขตอย่างแข็งขัน

ห้วงแห่งความคิดของมู่ซืออวี่ถึงกับขาวโพลน

นี่คือการไต่สวนงั้นหรือ?

หากเป็นเช่นนั้นจริง นางคงไม่อาจทนได้

เหงื่อหยดหนึ่งไหลรินลงจากหน้าผากของลู่อี้

ลมหายใจของเขาถี่กระชั้นยิ่งกว่าเดิม ชายหนุ่มนั้นราวกับสัตว์ป่าที่กลืนกินเหยื่อตรงหน้าเขา

ทว่าลู่อี้รู้ว่าเหยื่อยังคงหวาดกลัวเขา หากกลืนกินนางลงไปตอนนี้ย่อมไม่เป็นผลดีต่อความสัมพันธ์ของพวกเขาแน่

สิ่งที่เขาต้องการคือหัวใจของนาง

หัวใจทั้งดวงของนาง…

เขาบังคับตัวเองให้หยุด จากนั้นจึงแนบหน้าผากลงบนหน้าผากของนาง “ลุกขึ้นเถอะ ข้าไม่กวนเจ้าแล้ว”

มู่ซืออวี่ไม่กล้าสบตาเขา รีบคว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเอง

ลู่อี้ยิ้มออกมาบาง ๆ พลางเปิดผ้าห่มออก และได้เห็นว่ามู่ซืออวี่กำลังหน้าแดงซ่าน

“เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยากัน เจ้าควรทำตัวให้ชิน”

“ใครบอก… ใครบอกว่าข้าไม่ชิน ข้าแค่…”

“เช่นนั้นพวกเราต่อดีหรือไม่?”

“ไม่ พวกเราควรลุกได้แล้ว ข้าจะไปทำอาหารเช้า” มู่ซืออวี่ลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว

ลู่อี้เห็นนางวิ่งออกไปเหมือนกำลังหลบหนีและไม่แม้แต่จะใส่รองเท้า รอยยิ้มบนใบหน้าเขาก็พลันกว้างกว่าเดิม

ทว่าเมื่อเห็นร่างกายของตน รอยยิ้มก็พลันเลือนหายไป เหลือไว้เพียงความหงุดหงิด

เขาไม่อาจอดทนได้นานขนาดนั้น

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย
Status: Ongoing
อ่านนิยายสาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายเรื่องย่อ: 'มู่ซืออวี่ทะลุมิติมาเลี้ยงลูกตัวร้ายแบบนี้ เห็นทีจะต้องร้ายตามบทถึงจะมีชีวิตรอด แต่ลูกชายคนโตของนางกลับจับผิดได้ตั้งแต่วันแรก หากไม่อยู่ในบทเดิม เกรงว่าผู้คนจะคิดว่าวิญญาณสิงสู่ ชีวิตน้อยๆ ก็อาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ มู่ซืออวี่จึงต้องเริ่มภารกิจแกล้งร้ายให้ครอบครัวตัวร้ายตายใจ จะว่าไป ลูกน้อยของนางก็ช่างน่ารักเสียนี่กระไร ใครจะไปใจร้ายใส่เด็กสองคนนี้ลง มู่ซืออวี่ตัดสินใจแล้วว่า ใครที่กล้าแกล้งวายร้ายตัวน้อยของนาง จะต้องโดนสั่งสอนเสียให้เข็ด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset