สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 175 มู่ต้าซานบ้าไปแล้ว

บทที่ 175 มู่ต้าซานบ้าไปแล้ว

บทที่ 175 มู่ต้าซานบ้าไปแล้ว

ลู่อี้มอบชื่อใหม่ให้เด็กคนนั้นว่าจือเชียน เด็กหนุ่มโตมาจากการกินข้าวร้อยบ้าน ไม่มีแซ่ ดังนั้นเขาจึงใช้แซ่ตามลู่อี้

มู่ซืออวี่พาเด็กหนุ่มและเซี่ยคุนไปซื้อเสื้อผ้าใหม่

จือเชียนพูดคุยไม่หยุดปาก มีชีวิตชีวาอย่างมาก ในขณะที่ใบหน้าของเซี่ยคุนยังคงเป็นดั่งก้อนน้ำแข็งตลอดปีดังเดิม ไม่มีคลื่นอารมณ์ปรากฏแม้แต่น้อย

“ข้าคิดจริง ๆ ว่าเจ้าเหมาะจะอยู่ข้างกายลู่อี้มากกว่า ดูพวกเจ้าสองคนสิ แต่ละคนล้วนไม่ชอบพูดจา เหมาะสมสุด ๆ เลยไม่ใช่หรือ?” มู่ซืออวี่เอาเสื้อผ้าชุดหนึ่งมาทาบบนตัวเขา

จือเชียนเดินสวมชุดใหม่ออกมา แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “ฮูหยิน ท่านหยุดหวังเถอะ หากนายท่านกับพี่คุนอยู่ด้วยกัน ในระยะสองสามลี้ต้องไม่มีหญ้าเกิดขึ้นเป็นแน่ เพราะอะไรน่ะหรือ ถูกอาคมน้ำแข็งน่ะสิ! ถูกแช่แข็งไปหมดแล้ว”

มู่ซืออวี่ระเบิดหัวเราะออกมา

เด็กคนนี้ตลกเกินไปแล้ว

นางอยากให้จือเชียนผู้นี้เป็นผู้ติดตามนางมากกว่า น่าสนใจอะไรอย่างนี้!

หลังจากหาสมาชิกใหม่เพิ่มได้สองคนแล้ว มู่ซืออวี่ก็ให้จือเชียนพานางไปหาร้านแล้วทำการเช่าทันที จากนั้นจึงไปส่งเขาที่ศาลาว่าการ ให้เจ้าหน้าที่พาจือเชียนไปหาลู่อี้

เมื่อรถม้ากลับมาถึงหมู่บ้าน ชาวบ้านที่กำลังทำงานก็เห็นคนบังคับรถม้าเป็นขอทานผู้หนึ่ง พวกเขาต่างจ้องมองด้วยดวงตาเบิกกว้าง หลังจากที่รถม้าเคลื่อนผ่านเข้าประตูของครอบครัวลู่ ทุกคนจึงรับรู้ว่ารถม้านั้นเป็นของครอบครัวลู่

ถงซื่อดึงลู่จื่ออวิ๋นมาอยู่ข้าง ๆ เพื่อหลีกทาง ก่อนจะคว้าแขนของมู่ซืออวี่ไว้แล้วกระซิบเบา ๆ “ลูกอวี่ คนนี้คือใคร?”

“ผู้คุ้มกันของบ้านเรา” มู่ซืออวี่กล่าว “ท่านแม่ ท่านไม่รู้ว่าวันนี้อันตรายมากเพียงใด…”

หลังจากเล่าต้นสายปลายเหตุให้ฟังแล้ว ถงซื่อพลันตื่นตระหนก นางลูบอกตัวเองเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “อันตรายเกินไปแล้ว โชคดีที่จอมยุทธ์ผู้นี้ช่วยเจ้าไว้ จอมยุทธ์ท่านนี้ชื่ออะไรหรือ?”

“เขาชื่อเซี่ยคุน”

“จอมยุทธ์เซี่ย ขอบคุณท่านที่ช่วยลูกสาวข้า” ถงซื่อคารวะ

เซี่ยคุนเบี่ยงไปด้านข้าง กล่าวอย่างนิ่งขรึม “ตอนนี้ข้าเป็นผู้คุ้มกันของฮูหยิน ท่านผู้เฒ่าไม่จำเป็นต้องเกรงใจ”

เป็นครั้งแรกที่ถงซื่อถูกเรียกเช่นนั้น นางกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

“เช่นนั้นข้าเรียกท่านลุงเซี่ยได้หรือไม่?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยเสียงหวาน “ท่านลุงเซี่ย”

สายตาของเซี่ยคุนเหม่อลอย เขาคุกเข่าลงก้มมองลู่จื่ออวิ๋น

เด็กน้อยกะพริบตาปริบ ๆ “ท่านลุงเซี่ย เป็นอะไรหรือ?”

“เจ้าชื่ออะไร?” น้ำเสียงของเซี่ยคุนอ่อนโยนลง

“ข้าชื่อลู่จื่ออวิ๋น ท่านเรียกช้าว่าอวิ๋นเอ๋อร์ก็ได้ ท่านพ่อท่านแม่ข้าก็เรียกเช่นนั้น” น้ำเสียงของลู่จื่ออวิ๋นใสกระจ่างและอ่อนหวาน รอยยิ้มของนางราวกับดวงอาทิตย์ ประหนึ่งสามารถปัดเป่าความมืดมิดออกไปได้

“อวิ๋นเอ๋อร์ ชื่อไพเราะมาก” น้ำเสียงของเซี่ยคุนเจือความสลับซับซ้อน

ลู่จื่ออวิ๋นพยักหน้า “อื้ม ข้าก็คิดว่าอย่างนั้น”

“ท่านแม่ ท่านทำความสะอาดห้องข้าง ๆ ห้องนั้นให้เสียหน่อย พี่ใหญ่เซี่ยและจือเชียนจะอยู่ห้องนั้น” มู่ซืออวี่กล่าว

“จือเชียนคือผู้ใด?”

มู่ซืออวี่จึงอธิบายคร่าว ๆ อีกครั้ง

ถงซื่อนับว่าเข้าใจแล้ว นี่เป็นการเพิ่มผู้ติดตามอย่างกะทันหันถึงสองคน ฟังดูแล้วราวกับพวกเขามีความสามารถมาก

มู่ซืออวี่กลับไปยังห้องของตนเพื่อวาดรูป ตั้งใจจะตกแต่งร้านที่เช่าใหม่อย่างง่าย ๆ สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่ส่วนที่พักอาศัยของผู้ดูแลร้านตรงสวนด้านหลัง นางควรตกแต่งให้อบอุ่นสักหน่อย ผู้ดูแลร้านจะได้รู้สึกเหมือนอยู่บ้านตนเอง

เวลานี้ถงซื่อกำลังเดินกลับ ขณะที่นางเดินไปตามคันนาก็เห็นถังซื่อกำลังเดินมุ่งหน้ามาจากฝั่งตรงข้าม นางจึงหลบไปข้าง ๆ คันนาเพื่อหลีกทาง ตั้งใจรอให้ถังซื่อผ่านไปก่อนแล้วตนค่อยเดินไป

ถังซื่อหยุดอยู่ตรงหน้าถงซื่อ “สะใภ้รอง พวกเราอย่างไรครั้งหนึ่งก็เป็นสะใภ้เหมือนกัน บอกว่าจะไม่สนใจคนก็ไม่สนใจคนจริง ๆ ได้อย่างไร? เจ้าทำเช่นนี้ข้าเศร้าใจนัก”

มุมปากของถงซื่อกระตุก “ข้าไม่ได้ไม่สนใจเจ้า เพียงแต่ไม่มีสิ่งใดจะพูดกันแล้วไม่ใช่หรือ?”

“พวกเราเป็นสะใภ้มาด้วยกันหลายปีเช่นนี้ จะไม่มีสิ่งใดพูดคุยแล้วได้อย่างไร? ดูเจ้าพูดเข้าสิ เห็นข้าเป็นคนนอกเสียแล้ว” ถังซื่อจับมือของถงซื่อไว้

ถงซื่อพยายามดึงมือกลับ ทว่าถังซื่อไม่ยอมปล่อย ทั้งสองคนยื้อยุดกันอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานาน

“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?” ถงซื่อตื่นตระหนก

“ข้าอยากจะพูดคุยกับเจ้าสักสองสามคำ เหตุใดเจ้าต้องตื่นตระหนกเช่นนี้ด้วย? ข้าจะกินเจ้าหรือไร” ความหงุดหงิดวาบผ่านแววตาของถังซื่อ

ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้ลู่อี้กลายมาเป็นเจ้าหน้าที่ของทางการ นางจะต้องมาประจบเอาใจเช่นนี้หรือ?

“ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำที่บ้าน ต้องไปก่อนแล้ว” ถงซื่อสะบัดมือออกอย่างแรง

ระยะนี้นางกินของบำรุงจนดีขึ้นแล้ว ไม่ผ่ายผอมอ่อนแอเช่นแต่ก่อน อีกทั้งพละกำลังก็เพิ่มขึ้นมาก ถังซื่อจึงล้มหงายหลังลงไปทั้งตัว

ตุบ!

ถังซื่อล้มลงไปในทุ่งนาที่มีแต่ดินโคลน

ใบหน้าของถงซื่อเปลี่ยนสี นางกล่าวอย่างอึกอักว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า… เจ้าเป็นคนดึงข้าเอง ข้ายังมีเรื่องอื่นต้องทำ ไม่มีเวลามาพูดคุยไร้สาระกับเจ้า”

จากนั้นนางก็เผ่นหนีไป

ถังซื่อนอนจมกองโคลน รู้สึกเหนียวเฉอะแฉะไปทั่วทั้งแขนขาและลำตัว นางร้องตะโกนด้วยความโกรธแค้น “ถงชุนนี!”

ถงซื่อได้ยินก็วิ่งเร็วยิ่งกว่าเดิม

หวา! หวาดเสียวเกินไปแล้ว

กระทั่งนางมองไม่เห็นถังซื่ออีก นางจึงค่อย ๆ ผ่อนฝีเท้าลง กางแขนออกแล้วเอ่ยกับตนเองว่า “ข้าผลักนางแล้วจริง ๆ!”

ถงซื่อเปิดประตู กำลังจะเดินกลับเข้าบ้าน ทว่าเมื่อหันไปมองรอบ ๆ กลับเห็นร่างหนึ่งอยู่ตรงหัวมุม นางจึงเดินเข้าไปช้า ๆ เห็นคนผู้นั้นนอนแน่นิ่งอยู่ที่นั่น นางรวบรวมความกล้าก้าวไปจนถึงตรงนั้น

“ท่านหมอจู!”

ถงซื่อรีบช่วยพยุงเขาลุกขึ้นนั่ง เขย่าตัวเขาสองสามครั้ง “ท่านหมอจู!”

แก้มของท่านหมอจูแดงก่ำ ตัวของเขาร้อนมาก

“เป็นไข้หรือนี่!”

ถงซื่อมองไปรอบ ๆ ทว่าไม่เห็นคนอื่น

บ้านของนางเดิมทีก็ห่างไกล ไม่มีคนอื่นอยู่ละแวกนี้

นางพยายามช่วยพยุงท่านหมอจูขึ้นมา ฝ่ายหลังยังหลงเหลือสติอยู่เล็กน้อย จึงพยายามยันตัวลุกขึ้นมาอีกแรง

ถงซื่อช่วยพาเขาเข้าไปในห้อง

ทางด้านถังซื่อนั้นคลานขึ้นมาในสภาพที่เต็มไปด้วยโคลนตม นางเดินไปพลางก่นด่าไปพลาง ชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาล้วนสร้างความอับอายให้นาง

“สะใภ้ใหญ่ถัง นี่ท่านไปเล่นที่ใดมาหรือ? เหตุใดจึงเล่นจนตัวเองกลายเป็นเช่นนี้ไปเล่า?”

“พวกเจ้านี่ไม่เข้าใจเอาเสียเลย ตอนนี้พี่สะใภ้ถังไม่มีทั้งที่นาและที่ดิน จะต้องคิดถึงกลิ่นดินเป็นแน่ คงตั้งใจนำมันกลับมาระลึกถึงความหลังสักหน่อย”

“ไปให้พ้น!” ถังซื่อตะโกนด่า “พวกเจ้าล้างก้นตัวเองสะอาดรึยัง? ไม่ต้องมาแส่!”

มู่ต้าซานแบกฟืนผ่านมา เห็นสตรีหลายคนทะเลาะเบาะแว้งกันก็เดินผ่านไปอย่างไม่ไยดี

“นี่ มู่ต้าซาน!” ถังซื่อร้องเรียกเขา “พวกเราแยกบ้านแล้ว ไม่ได้หมายความว่าต้องตัดขาดกัน เจ้าเห็นพี่สะใภ้เจ้าถูกคนกลั่นแกล้งรังแก แต่เจ้าไม่แม้แต่จะสน ยังเป็นบุรุษอยู่หรือไม่?”

มู่ต้าซานหยุดฝีเท้า หันไปมองถังซื่ออย่างไม่สะทกสะท้าน “หากท่านไม่ก่อเรื่อง ใครจะรังแกท่านได้?”

“เจ้า เจ้า เจ้า! ดีนักนะมู่ต้าซาน เจ้ามันของไม่มีประโยชน์ ไม่แปลกใจว่าเหตุใดตอนนี้ภรรยาของเจ้าจึงไม่ต้องการเจ้า!” ถังซื่อตะโกนด่าไล่หลังอีกฝ่าย

มู่ต้าซานโยนไม้ฟืนไว้ข้าง ๆ แล้วเดินดุ่ม ๆ เข้ามาด้วยความโมโห “เจ้าลองพูดดูอีกทีซิ!”

“เจ้าคิดจะทำอะไร? ข้าเป็นพี่สะใภ้ของเจ้านะ” ถังซื่อเริ่มหวาดกลัวขึ้นมา

ไม่ว่ามู่ต้าซานจะตัวเล็กกระจ้อยร่อยอย่างไรแต่ก็เป็นชายคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นชายที่คุ้นชินกับการใช้พละกำลัง หากเขาต่อยนางด้วยหมัด ยังจะเกิดผลดีกับนางอีกหรือ?

หญิงสองสามนางที่อยู่ด้านข้างปิดปากหัวเราะ

หากในมือมีเมล็ดแตงโม บางทีอาจจะกำลังแทะเมล็ดแตงโมรอชมก็เป็นได้

มู่ต้าซานเหลือบมองหญิงเหล่านั้นอย่างเกรี้ยวกราด

หญิงเหล่านั้นพลันหวาดกลัว รีบดันหลังกันออกไป

มู่ต้าซานหันกลับมามองถังซื่ออีกครั้ง “ใครที่ทำให้ข้ากลายมาเป็นอย่างทุกวันนี้? ไม่ใช่พวกเจ้าหรือ? หากไม่ใช่เพราะพวกเจ้า ข้าก็ยังมีทั้งลูกชายและลูกสาว มีภรรยาที่พร้อมด้วยคุณธรรม จะต้องอยู่ตัวคนเดียวเช่นในตอนนี้ได้อย่างไร? พวกเจ้าอย่ามาสร้างความรำคาญให้ข้าจะดีที่สุด ไม่เช่นนั้นข้าจะจุดไฟเผาบ้านให้ทุกคนได้ตายพร้อมกัน”

ถังซื่อหวาดกลัวจนหัวหด รีบวิ่งหนีไปทันที

มู่ต้าซานบ้าไปแล้ว!

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย
Status: Ongoing
อ่านนิยายสาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายเรื่องย่อ: 'มู่ซืออวี่ทะลุมิติมาเลี้ยงลูกตัวร้ายแบบนี้ เห็นทีจะต้องร้ายตามบทถึงจะมีชีวิตรอด แต่ลูกชายคนโตของนางกลับจับผิดได้ตั้งแต่วันแรก หากไม่อยู่ในบทเดิม เกรงว่าผู้คนจะคิดว่าวิญญาณสิงสู่ ชีวิตน้อยๆ ก็อาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ มู่ซืออวี่จึงต้องเริ่มภารกิจแกล้งร้ายให้ครอบครัวตัวร้ายตายใจ จะว่าไป ลูกน้อยของนางก็ช่างน่ารักเสียนี่กระไร ใครจะไปใจร้ายใส่เด็กสองคนนี้ลง มู่ซืออวี่ตัดสินใจแล้วว่า ใครที่กล้าแกล้งวายร้ายตัวน้อยของนาง จะต้องโดนสั่งสอนเสียให้เข็ด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset