สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 179 เขากำลังทดสอบใต้เท้า

บทที่ 179 เขากำลังทดสอบใต้เท้า

บทที่ 179 เขากำลังทดสอบใต้เท้า

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจียงเหล่าผู้นั้นเป็นใคร?” นายอำเภอฉินเอ่ยอย่างมีลับลมคมใน

ลู่อี้ส่ายหน้า “ไม่รู้ขอรับ”

“เขาคือเจียงไท่ฟู่*[1]หนึ่งในสามขุนนางใหญ่แห่งเมืองหลวง ราชครูของฝ่าบาทองค์ปัจจุบัน” นายอำเภอฉินเอ่ยเสียงเย็น ก่อนจะเดินไปเดินมาอย่างว้าวุ่นใจ “บุคคลเช่นนี้ลาออกอย่างกะทันหัน แล้วถ่อมารักษาอาการป่วยถึงอำเภอเรา ไม่รู้จริง ๆ ว่าเขามีแผนการอะไรอยู่กันแน่ แต่ไม่ว่าเขาจะมีแผนการอะไร นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ผู้น้อยอย่างพวกเราจะล่วงเกินได้…”

“ขอแสดงความยินดีกับใต้เท้า” ลู่อี้เอ่ยขัดคำพูดของนายอำเภอฉิน

“ยินดีอะไรกัน?” นายอำเภอฉินชะงัก

“เจียงไท่ฟู่เป็นถึงราชครูของฝ่าบาท หากเขาต้องการแร่เหล็กก็จัดการอย่างเปิดเผยและเป็นธรรมได้ ทว่ากลับสร้างปัญหายากเข็ญเช่นนี้ให้กับใต้เท้า ใต้เท้าไม่คิดอะไรหรือมีเบื้องลึกอะไรกันแน่?”

“เจ้าคาดเดาเจตนาของเจียงเหล่าได้แล้วหรือ? ข้าไม่อาจข่มตาหลับตลอดทั้งคืนเพราะไม่รู้จะทำเช่นไร หากเจ้ารู้แล้วก็อย่าปิดไว้ดีกว่า”

“เขากำลังทดสอบใต้เท้าฉินขอรับ”

“ทดสอบข้าหรือ? เพราะเหตุใด?”

“จะต้องเป็นเพราะได้ยินว่าใต้เท้ารักพสกดั่งลูกหลาน ประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการเมืองฮู่เป่ย คงอยากเห็นว่าใต้เท้านั้นเป็นคนที่ใช้การได้จริงหรือไม่”

“นี่มัน…”

นายอำเภอฉินเดินไปมาอยู่กับที่

“หมายความว่าเขาต้องการดูว่าข้าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรเช่นนั้นหรือ?”

“เขาต้องการดูว่าใต้เท้าจะเข้าใจเจตนาของเขาหรือไม่ขอรับ” ลู่อี้คลี่ยิ้มจาง ๆ

นายอำเภอฉินเองก็หาใช่คนโง่ พอลู่อี้เตือนสติ เขาก็ขจัดหมอกหนาทึบแล้วมองเห็นแก่นแท้ได้ทันที

“ลู่อี้ เจ้าไปที่จวนเจียงเหล่ากับข้าสักรอบเถิด” นายอำเภอฉินสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ “หากเป็นจริงอย่างที่เจ้าว่า เช่นนั้นเจ้าก็เป็นดาวนำโชคของข้า ข้าจะไม่มีทางปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่เป็นธรรมแน่นอน”

ณ จวนเจียงเหล่า บ่าวรับใช้พานายอำเภอฉินและลู่อี้เข้ามายังสวนหลังเรือน

“นายท่าน คนจากศาลาว่าการมาหาขอรับ”

ชายชราที่กำลังตกปลาอยู่เอ่ยโดยไม่หันกลับมามอง “ยกชามา”

“ขอรับ”

ขณะที่นายอำเภอฉินและลู่อี้กำลังจะคำนับ ก็ได้ยินเจียงเหล่าผู้นั้นพูดขึ้น “ตกปลาเป็นหรือไม่?”

นายอำเภอฉินชะงักท่าคำนับอยู่ตรงนั้น ก่อนจะค่อย ๆ ประสานมือ “พอได้ขอรับ”

เจียงเหล่าถามอีกครั้ง “แล้วเจ้าหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ ล่ะ?”

ลู่อี้เอ่ยว่า “ครอบครัวข้าน้อยยากแค้น มักลงน้ำจับปลา ไม่เคยตกปลามาก่อนขอรับ”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ลองดูเสียสิ ตาเฒ่าอย่างข้าอยู่คนเดียวเบื่อหน่ายนัก นาน ๆ จะมีคนมาตกปลาเป็นเพื่อน คงจะไม่เงียบเหงาถึงขนาดนั้นแล้ว”

นายอำเภอขานตอบรับแล้วเดินไปหาเบ็ดตกปลาด้านข้าง ส่วนลู่อี้เดินไปยังเบ็ดอีกคันหนึ่ง

มีที่ว่างอยู่สองที่พอดิบพอดี ราวกับคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะมีคนสองคนมาเยี่ยมเยือน

หลังจากบ่าวรับใช้ยกชามาให้แล้วจึงถอยกลับไป

ริมทะเลสาบมีคนตกปลาอยู่เพียงสามคน ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีก

นายอำเภอฉินรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันรุนแรง ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนตอนเข้ามาสอบในเมืองหลวงสมัยยังเป็นศิษย์ในสำนักไม่มีผิด เขาเขียนกระดาษข้อสอบเสร็จด้วยใจกระวนกระวาย ทว่าผู้คุมสอบคนหนึ่งที่เดินผ่านมาหยิบกระดาษคำตอบของเขาขึ้นมาแล้วอ่านแล้วอ่านอีก จากนั้นก็ทำสีหน้าเย็นชา ไม่เอ่ยอะไรออกมาสักคำ

ซ่า!

ปลาตัวหนึ่งติดเบ็ดเข้าแล้ว

เจียงเหล่าจับปลาได้ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยปรากฏรอยยิ้ม “วันนี้ได้ไม่เลว”

“เป็นเพราะใต้เท้าเก่งกาจต่างหากขอรับ พวกเราตกปลาเป็นที่ไหนกัน ขายหน้าเสียแล้ว” นายอำเภอฉินเอ่ยอย่างนอบน้อม

“ข้าลาออกมาตั้งนานแล้ว ไม่กล้าใช้คำว่าใต้เท้าหรอก ใต้เท้าฉินเรียกข้าว่าเจียงเหล่าก็พอแล้ว” เจียงเหล่าเอ่ยเสียงเอื่อยเฉื่อย “ในเมื่อไม่ได้มาตกปลา เช่นนั้นมาหาตาแก่อย่างข้าด้วยเรื่องอะไรกันล่ะ? ข้าเป็นตาแก่ตัวคนเดียว นอกจากตกปลาแล้วก็ไม่มีอะไรอื่นอีก”

“ข้าน้อยมีเรื่องอยากจะขอให้เจียงเหล่าช่วยชี้แนะ” นายอำเภอฉินเอ่ย “เจียงเหล่าร่ำเรียนลึกซึ้ง ความรู้กว้างขวาง ข้าน้อยอับจนหนทางแล้วจริง ๆ ได้แต่มาขอให้เจียงเหล่าชี้แนะสอนสั่ง”

เจียงเหล่าตกปลาต่อไป ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินคำพูดของนายอำเภอฉิน

ความรู้สึกกดดันเช่นนี้ทำให้นายอำเภอฉินหายใจติดขัดขึ้นมาอีกครั้ง

แรงกดดันของขุนนางขั้นหนึ่งไม่ใช่สิ่งที่นายอำเภอขั้นเจ็ดสามารถรับได้ ไม่นานนักหน้าผากของนายอำเภอฉินก็ผุดเหงื่อเย็นออกมา

ในท้องที่นายอำเภอขั้นเจ็ดก็เป็นขุนนางคนหนึ่ง เมื่ออยู่ในเมืองหลวงแล้วตัวกลับเล็กกระจ้อยร่อย คนตรงหน้าท่านนี้เป็นขุนนางอาวุโสขั้นหนึ่งผู้เป็นคนสนิทของฝ่าบาท สามารถพลิกเมืองหลวงกลับหัวกลับหางได้ด้วยซ้ำ

นายอำเภอฉินเท้าชาไปหมด ร่างกายพลันอ่อนแรง ทรุดลงไปกับพื้น

ลู่อี้ประคองอีกฝ่ายเอาไว้แล้วพยุงขึ้นมา

นายอำเภอฉินเหลือบมองลู่อี้อย่างซาบซึ้งใจ ในเวลานี้ เขาดันขายขี้หน้าเสียแล้ว

ดูสิว่าลู่อี้ข่มอารมณ์สงบนิ่งแค่ไหน เขาไม่สามารถควบคุมความเกรงกลัวในใจได้เลยจริง ๆ

“ปรากฏแร่เหล็กขึ้นที่ภูเขาเทียนหลี่ ใต้เท้าต้องการรายงานต่อราชสำนัก แต่อดีตเจ้าเมืองก่อความผิดจึงถูกลดขั้น เจ้าเมืองคนใหม่ยังไม่ทันรับรับตำแหน่ง ใต้เท้าไม่อาจข้ามขั้นไปรายงานได้ มีแต่ต้องขอให้เจียงเหล่าช่วยชี้แนะทางออกให้ด้วย”

“หืม? มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?” เจียงเหล่าหันหน้ากลับมามองลู่อี้ “แร่เหล็กเป็นเรื่องใหญ่ ราชสำนักต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวด เรื่องนี้ต้องรายงาน แต่ข้าในตอนนี้ไม่สนเรื่องเหล่านี้แล้วล่ะ มาหาข้าก็เปล่าประโยชน์”

“แม้เจียงเหล่าจะออกจากตำแหน่งแล้ว แต่ใจที่ห่วงใยประชาชนนั้นไม่เคยเปลี่ยน เรื่องแร่เหล็กเป็นเรื่องสำคัญในราชสำนัก หากไม่รีบดำเนินการแล้วถูกคนละโมบเอาไปละก็ นั่นก็จะเป็นความเสียหายของราชสำนัก ยามนี้สิ่งที่ราชสำนักขาดอยู่คือเหล็ก เราค้นพบเหมืองเหล็กแห่งหนึ่งแล้ว อย่างน้อยก็ลดความต้องการซื้อหินเหล็กจากอาณาจักรอื่น เจียงเหล่าได้โปรดเขียนจดหมายแนะนำให้ใต้เท้าของเราสักฉบับ ให้ใต้เท้าสามารถรายงานข้ามขั้นได้ด้วยเถิดขอรับ”

“ใช่แล้ว ๆ เจียงเหล่าโปรดเขียนจดหมายแนะนำให้ข้าน้อยสักฉบับด้วยเถอะ” นายอำเภอฉินรีบคุกเข่าลงทันใด

เขาต่างหากที่เป็นตัวเอกของวันนี้ เมื่อครู่นี้หวั่นกลัวจนเสียศูนย์ไป ตอนนี้ลู่อี้ช่วยพูดประเด็นสำคัญให้แล้ว เขาเพียงต้องแสดงท่าทีออกมาอย่างชัดแจ้งก็พอ

“นายอำเภอฉิน ไม่เลวเลย” เจียงเหล่าวางคันเบ็ดลง “เป็นขุนนางมาหลายปียังมีความกระตือรือร้น รักพสกเหมือนลูกหลาน ข้าปลื้มใจนัก”

พูดจบเขาก็ลุกขึ้น

ส่วนนายอำเภอฉินและลู่อี้นั้นยังคงอยู่ในท่าคุกเข่า

ชายชราเหลือบมองนิ่ง ๆ “จะคุกเข่าเป็นคนโง่อยู่ตรงนั้นไปเพื่ออะไรกัน ลุกขึ้น!”

ครึ่งชั่วยามต่อมา นายอำเภอฉินนั่งถือจดหมายแนะนำอยู่บนรถม้าอย่างสับสนวิงเวียน

เขาถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง มองลู่อี้ที่อยู่ข้าง ๆ แล้วเอ่ยขึ้น “เจ้านี่ช่างกล้าหาญเสียจริง ไม่นึกว่าจะไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย”

“กลัวขอรับ จะไม่กลัวได้อย่างไร?” ลู่อี้เลิกม่านขึ้นให้ลมพัดเข้ามาพัดพาความวิตกกังวลในใจออกไปเสีย “แต่ว่าใต้เท้า ความมั่งคั่งและเกียรติยศนั้นมาพร้อมอันตราย ของบางสิ่งก็ไม่อาจได้มาโดยไม่เสี่ยงนะขอรับ”

“เจ้าไม่กลัวตนเองจะทายผิดเลยหรือ? หากเจ้าทายผิดเล่า วันนี้พวกเราเผยเรื่องราวไปหมดแล้ว ในเมื่อคนของเจียงเหล่าขุดเหมืองเหล็ก ก็เทียบเท่ากับพวกเราจับจุดอ่อนของเขาได้ แล้วเขาจะตกหลุมพรางของเราได้หรือ?”

“ภูเขาเทียนหลี่ยามนี้มีคนหรือ?”

“ไม่มี”

“ไกลจากศาลาว่าการไหม?”

“ย่อมไกลอยู่แล้ว”

“เหมืองเหล็กอยู่ในสถานที่ห่างไกล ทว่าข่าวมีคนลักลอบขุดเหมืองสามารถมาถึงหูของใต้เท้าได้ทันทีทันใด ถ้าหากไม่ใช่เพราะรอบคอบในการงาน ใต้เท้าจะสามารถรู้เรื่องนี้ได้รวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ใต้เท้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ เจียงเหล่ากำลังเลือกเฟ้นคน เลือกเฟ้นผู้ที่ซื่อสัตย์ เฉลียวฉลาด และยังกล้าผจญอันตรายขอรับ”

“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเขาจะเลือกข้าหรือไม่?” แววตาของนายอำเภอฉินเต็มไปด้วยประกายแสงจ้า

นั่นคือความปรารถนาในอำนาจ

ทหารที่ไม่ต้องการเป็นแม่ทัพหาใช่ทหารดีไม่ ขุนนางที่ไม่ต้องการเลื่อนขั้นหาใช่ขุนนางดีไม่ นายอำเภอฉินทำงานรอบคอบระมัดระวังมาหลายปี ย่อมต้องอยากเลื่อนตำแหน่งอีกสักขั้นแน่นอนอยู่แล้ว

“ผู้ที่เจียงเหล่าถูกใจคงไม่ได้มีแค่ใต้เท้าคนเดียวอยู่แล้ว หากใต้เท้าต้องการเป็นผู้ที่ถูกเลือกคนนั้น ต่อจากนี้ก็ต้องมุ่งมานะ พยายามต่อไปเท่านั้น”

[1] ไท่ฟู่ คือตำแหน่งมหาราชครู เป็นผู้ถวายคำแนะนำทางการปกครองและขนบจารีตประเพณีแก่จักรพรรดิ

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย
Status: Ongoing
อ่านนิยายสาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายเรื่องย่อ: 'มู่ซืออวี่ทะลุมิติมาเลี้ยงลูกตัวร้ายแบบนี้ เห็นทีจะต้องร้ายตามบทถึงจะมีชีวิตรอด แต่ลูกชายคนโตของนางกลับจับผิดได้ตั้งแต่วันแรก หากไม่อยู่ในบทเดิม เกรงว่าผู้คนจะคิดว่าวิญญาณสิงสู่ ชีวิตน้อยๆ ก็อาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ มู่ซืออวี่จึงต้องเริ่มภารกิจแกล้งร้ายให้ครอบครัวตัวร้ายตายใจ จะว่าไป ลูกน้อยของนางก็ช่างน่ารักเสียนี่กระไร ใครจะไปใจร้ายใส่เด็กสองคนนี้ลง มู่ซืออวี่ตัดสินใจแล้วว่า ใครที่กล้าแกล้งวายร้ายตัวน้อยของนาง จะต้องโดนสั่งสอนเสียให้เข็ด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset