สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 187 ข้าไม่ได้ใช้อำนาจแก้แค้น

บทที่ 187 ข้าไม่ได้ใช้อำนาจแก้แค้น

มือแกร่งอบอุ่นข้างหนึ่งวางลงบนหน้าผากของมู่ซืออวี่ เมื่อเห็นอุณหภูมิร่างกายของนางปกติแล้ว แววตาฉายไอเย็นเยือกคู่นั้นก็พลันทอประกายอบอุ่นออกมา

ลู่อี้ปลดผ้าคาดเอว ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก

มู่ซืออวี่ลืมตาด้วยความมึนงง ครั้นเห็นชายร่างสูงคนหนึ่งหันหลังให้นาง และกำลังเปลื้องผ้า นางถึงกับตะลึงงันในบัดดล รีบหลับตาลงทันที

ลู่อี้หันหน้ากลับมามองมู่ซืออวี่ มุมปากหยักยกยิ้มขึ้น

“ตื่นแล้วหรือ?”

มู่ซืออวี่ที่นึกอยากแกล้ง ‘ตาย’ ถูกเปิดโปงเสียแล้ว นางจำต้องลุกขึ้นนั่งอย่างอ่อนแรงไร้ทางเลือก

“ดีขึ้นแล้วหรือยัง?” ลู่อี้เดินมาหานางพลางสวมผ้าคาดเอว

มู่ซืออวี่ไม่กล้ามองที่เอวสอบนั้นตรง ๆ จึงเบือนหน้าหลบไปยังหน้าต่างข้าง ๆ อย่างรวดเร็ว “ได้หลับพักผ่อนทั้งวัน ดีขึ้นมากแล้วล่ะ”

ลู่อี้บีบไหล่มู่ซืออวี่เบา ๆ ก่อนจะอุ้มนางขึ้นมา ระหว่างที่นางกำลังงุนงง เขาก็พานางออกมาจากห้องแล้ว

“ท่านทำอะไรน่ะ?”

“ไม่ใช่บอกเองหรือว่านอนหลับทั้งวัน เจ้าไม่เบื่อหรือ? ข้าจะพาออกไปสูดอากาศข้างนอก”

“ข้าเดินเองได้”

“เจ้ามีแรงหรือ?”

เมื่อเห็นลู่อี้อุ้มมู่ซืออวี่ออกมา ลู่เซวียนก็ไม่ได้สนใจ หันหน้ากลับไปทำงานต่อ

เมื่อเห็นลู่เซวียนเมินเช่นนี้แล้ว มู่ซืออวี่ก็นั่งลงตรงโต๊ะหิน มองเขาอย่างฉงนสงสัย

“เจ้ากำลังทำอะไรอยู่หรือ?”

“ไม่เห็นหรือไง? ฆ่าไก่” ลู่เซวียนเอ่ยไปพลางถอนขนไก่ไปพลาง

“เอาไก่มาจากไหน?”

“ซื้อมา”

ท่านหมอจูที่บดยาอยู่เอ่ยขึ้น “น้องสามีของเจ้าเดินไปขอซื้อไก่สองตัวจากชาวบ้านโดยเฉพาะเชียวนะ บอกว่าจะเอามาบำรุงร่างกายของเจ้า ซื้อมาแล้วก็ฆ่าไก่เองถอนขนเอง จริงใจทีเดียวเชียว”

“ใครบอกว่าซื้อมาให้นาง ข้าอยากกินเองก็เลยซื้อมากินเองเท่านั้น” ลู่เซวียนหน้าแดงเรื่อ ถลึงตามองท่านหมอจูทันที

มู่ซืออวี่ยิ้มน้อย ๆ นางมองลู่เซวียนแล้วเอ่ยว่า “ต้องขอบคุณเจ้าแล้ว น้องสามี”

ลู่เซวียนเบ้ปาก “บอกแล้วว่าข้าซื้อมากินเอง ไม่ได้ซื้อมาให้เจ้า”

เซี่ยคุนหาบน้ำเข้ามา ส่วนจือเชียนแบกฟืนตามมาข้างหลัง

ทุกคนกำลังรับผิดชอบหน้าที่ของตน แม้จะเป็นเพียงครอบครัวธรรมดา ๆ แต่ก็อวลไปด้วยความอบอุ่น

ท่านหมอจูตรวจชีพจรของมู่ซืออวี่ เพื่อที่จะได้มั่นใจว่านางพักอีกไม่กี่วันก็จะหายดีอย่างแน่นอน

และหลังจากทานอาหารเย็นแล้ว ท่านหมอจูจึงกลับบ้านไป

มู่ซืออวี่ซดน้ำแกงไก่ เหงื่อนางไหลโชกอีกครั้ง

ลู่อี้ต้มน้ำอุ่นให้นางชำระร่างกาย หลังจากมู่ซืออวี่อาบน้ำเสร็จแล้ว ลู่อี้ก็ช่วยนางเทน้ำที่อาบแล้วทิ้ง จากนั้นตนจึงอาบต่อ

มู่ซืออวี่รอให้ลู่อี้กลับมา เมื่อเห็นว่าเขาทำทุกอย่างเสร็จแล้ว ก็เดินเข้ามาหาเขาด้วยชุดอันโปร่งบาง พลางมองเขาอย่างกระตือรือร้น

ลู่อี้ “…”

ท่าทางเช่นนี้เหมือนเสี่ยวเฮยนัก

“มีเรื่องจะกล่าวหรือ?” ลู่อี้นั่งลงข้าง ๆ นาง “ว่ามาเถอะ ข้าฟังอยู่”

“คุณหนูสกุลหลี่มาหา ข้าบอกเรื่องที่พี่ชายของนางถูกจับ” มู่ซืออวี่ดึงชายเสื้อของชายตรงหน้า “คือว่า… ข้าเพียงอยากถาม ท่านอย่าได้เก็บไปใส่ใจ เรื่องที่คุณชายสกุลหลี่ถูกจับนั้นเกี่ยวข้องกับข้าหรือไม่?”

มุมปากของลู่อี้ยกขึ้น ก่อนจะเอนเข้าไปใกล้ ๆ นาง “เจ้าหวังอยากให้เกี่ยวกับเจ้าหรือ?”

“ไม่ใช่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” มู่ซืออวี่ปฏิเสธทันที

“เช่นนั้นเจ้าจะกังวลอะไร?” ลู่อี้ผลักนางเพื่อให้นางเอนนอนลงบนเตียง แล้วห่มผ้าให้เสร็จสรรพ “ข้าแค่ทำตามกฎหมายเท่านั้น ไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ไม่ต้องห่วงว่าข้าจะใช้อำนาจในทางมิชอบ”

หลังจากได้ยินคำตอบของลู่อี้แล้ว มู่ซืออวี่จึงวางใจ

นางไม่ใช่คนดีอะไร ทั้งยังไม่มีอุดมการณ์สูงส่ง เพียงแต่ไม่อยากดึงลู่อี้เข้ามาล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกินจนทำให้ตนเองเดือดร้อน

ชะตากรรมของลู่อี้ในโลกนี้คงไม่เหมือนแต่เดิมใช่หรือไม่? เขาคงไม่กลายเป็นขุนนางกังฉิน*[1] ที่เหี้ยมโหดใช่หรือไม่?

ลู่อี้ล้มตัวลงนอน พาดแขนลงบนเอวนาง ร่างกายมู่ซืออวี่พลันแข็งทื่อไปชั่วขณะ

ตอนเช้าตรู่ ลู่อี้เข้าไปในห้องโถงใหญ่ของนายอำเภอฉิน หลังจากเขารายงานความคืบของงานล่าสุดและกำลังจะออกไป นายอำเภอฉินก็รั้งเขาไว้

“คุณชายสกุลหลี่ผู้นั้น ข้าสั่งให้คนปล่อยตัวแล้ว”

สีหน้าของลู่อี้เรียบนิ่งดังเดิม “ใต้เท้าคิดว่าความผิดของเขาไม่พอให้ลงโทษหรือขอรับ?”

“ข้าดูรายละเอียดของคดีแล้ว คนผู้นี้ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ถึงแม้จะมีความผิดแต่ก็สามารถให้อภัยได้ ปรับนิดหน่อยก็พอแล้ว” นายอำเภอฉินกระแอมเบา ๆ ด้วยท่าทีประดักประเดิดชอบกล

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยก็เข้าใจแล้วขอรับ”

เขาออกไปจากห้องของนายอำเภอฉิน ก็เจอนักการเกาเดินออกไปอยู่ไม่ไกล ชายหนุ่มจึงเดินตามออกไป

“ผู้อาวุโสสกุลหลี่ผู้นั้นมาแล้ว” นักการเกาเอ่ย “ระหว่างการสอบสวนเมื่อคืนนี้ หญิงที่ร้องทุกข์ผู้นั้นกลับคำให้การ คุณชายหลี่ผู้นั้นถูกปรับ 1,000 ตำลึงเงินแล้วจึงถูกปล่อยตัว”

“1,000 ตำลึง?”

“ใช่สิ ศาลาว่าการของเรายากจน! ใต้เท้าก็เป็นปุถุชนคนธรรมดาเช่นกัน ย่อมมีคนที่ไม่อาจล่วงเกิน ท่านอย่าเห็นว่าผู้อาวุโสหลี่เกษียณแล้ว อย่างไรเสียเขาก็เป็นขุนนางมาหลายสิบปี หากคิดจะเล่นงานเจ้าหน้าที่เล็ก ๆ ผู้หนึ่งไม่ใช่เรื่องกล้วย ๆ หรอกหรือ?”

ลู่อี้กล่าวเสียงเรียบ “ลำบากพี่เกาแล้ว”

“มีอะไรให้ลำบากกัน ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดสักนิด” นักการเกาลูบหัวตนเองเล็กน้อย “ท่านคิดจะทำอย่างไรกับคนแซ่หลี่คนนั้นหรือ?”

“ในเมื่อใต้เท้ากล่าวว่าความผิดของเขาไม่เพียงพอให้ลงโทษ เช่นนั้นก็แล้วไปเถอะ พวกเราไปทำภารกิจของเราต่อ ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องพวกนั้น” ท่าทีของลู่อี้ยังคงนิ่งสงบ “คืนนี้ข้าจะเชิญท่านไปดื่ม ท่านอย่ารีบกลับเร็วเกินไป”

“ได้เลย ดื่มเหล้าเมาสุราน่ะข้าเก่งกาจมาก เจ้าเชิญทั้งทีย่อมไม่อาจปฏิเสธ”

หลี่จวิ้นหานถูกปล่อยตัวแล้ว

คนสกุลหลี่เชิญท่านหมอมาดูอาการ ทำราวกับว่าเขาเป็นวีรบุรุษกลับมาหลังจากได้รับชัยชนะ ดูแลเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าเป็นอย่างดี

หลี่หงซูนั่งอยู่ตรงหน้าต่าง ได้ยินเสียงความวุ่นวายมาจากเรือนข้าง ๆ จึงเอ่ยกับชิงไต้ที่อยู่ข้าง ๆ ว่า “พรุ่งนี้เจ้าไปที่เรือนกรุ่นฝัน จ่ายค่าจ้างของสองสามวันก่อน แล้วหาคนอื่นมาทำที่เหลือเถอะ”

“ทุกสิ่งยังจัดการไม่เรียบร้อย เหตุใดยังต้องจ่ายล่ะเจ้าคะ?” ชิงไต้ไม่ยินยอม

“พวกเราเป็นฝ่ายที่ผิดก่อน จะโทษที่คนอื่นเขาล้มเลิกสัญญาไม่ได้” หลี่หงซูกล่าวอย่างจนใจ “ข้ากับเถ้าแก่เนี้ยผู้นี้ไม่มีวาสนาต่อกันจริง ๆ เห็น ๆ อยู่ว่าข้าชื่นชอบนางมาก แต่กลับมีคนมาทำลายความสัมพันธ์อันดีงามของเราอยู่ร่ำไป”

สองสามวันต่อมา มู่ซืออวี่ก็หายดี ทันทีที่เรี่ยวแรงของนางกลับคืนมา นางก็มาที่เรือนกรุ่นฝัน จึงได้รู้ว่าตระกูลหลี่ส่งเงิน 20 ตำลึงเงินมาให้

“เจ้านาย เราไม่รู้ว่าควรรับไว้ดีหรือไม่ ได้แต่รอให้ท่านกลับมา” เฟิงเจิงกล่าว

“นี่เป็นคนละเรื่องกัน หากงานไม่เสร็จ เงินนี่ก็รับไว้ไม่ได้ เฟิงเจิง อีกเดี๋ยวเจ้าไปที่จวนตระกูลหลี่ แล้วนำเงินไปคืนให้คุณหนูหลี่ หากไม่เห็นนาง ก็เอาให้สาวใช้ของนางแทน”

“ขอรับ”

“เงินนี้ควรแบ่งให้พวกเจ้าเมื่องานเสร็จสิ้น ทว่าข้าทำไม่เสร็จ จึงไม่ได้รับเงิน ข้าผิดคำพูดแล้ว แต่กิจการร้านของเรากำลังไปได้ดี ถึงตอนนั้นจะแจกจ่ายส่วนแบ่งตามที่แต่ละคนขายได้แล้วกัน”

“เถ้าแก่เนี้ย ตอนนี้พวกเราก็อยู่ดีมีสุขแล้ว” ต้าหนิวเอ่ยขึ้น “ดูทั่วทั้งเมืองนี้สิ เราจะหาคนดี ๆ อย่างท่านได้ที่ไหน”

“รบกวนขอถามสักหน่อย ที่นี่คือร้านฮูหยินลู่ใช่หรือไม่?” สตรีในชุดสาวใช้คนหนึ่งเดินเข้ามา

มู่ซืออวี่จึงเดินไปต้อนรับอีกฝ่าย “สามีบ้านข้าแซ่ลู่ แม่นางมาหาข้าหรือ?”

“ฮูหยินลู่ ฮูหยินของเราอยากเชิญท่านไปรับงานเจ้าค่ะ” สาวใช้ผู้นั้นกล่าวด้วยท่าทีสุภาพ “สะดวกไปที่จวนของเราเพื่อหารือหรือไม่?”

มู่ซืออวี่เหลือบมองเซี่ยคุนที่อยู่ไม่ไกลออกไป ความรู้สึกปลอดภัยแล่นเข้ามาในใจ นางจึงพยักหน้าตกลง

ครึ่งชั่วยามต่อมา มู่ซืออวี่ออกมาจากรถม้าพร้อมสาวใช้คนนั้น จากนั้นจึงมองป้าย ‘จวนตระกูลโหยว’ ตรงหน้า

“จวนโหยวหรือ?” มู่ซืออวี่งุนงง

“เจ้าค่ะ”

“โหยวจิ้นจงเป็น…”

“เขาเป็นนายน้อยสกุลเราเจ้าค่ะ”

มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว รู้สึกหวาดระแวงขึ้นมา

หรือว่าคนสกุลโหยวจะรู้แล้วว่านางส่งคนไปทุบตีโหยวจิ้นจง จึงอยากสร้างความยุ่งยากให้นาง?

[1] ขุนนางกังฉิน เปรียบเปรยถึงขุนนางที่หน้าอย่างหลังอย่าง แก่งแย่งชิงดี ริษยาให้ร้ายผู้อื่น

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย
Status: Ongoing
อ่านนิยายสาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายเรื่องย่อ: 'มู่ซืออวี่ทะลุมิติมาเลี้ยงลูกตัวร้ายแบบนี้ เห็นทีจะต้องร้ายตามบทถึงจะมีชีวิตรอด แต่ลูกชายคนโตของนางกลับจับผิดได้ตั้งแต่วันแรก หากไม่อยู่ในบทเดิม เกรงว่าผู้คนจะคิดว่าวิญญาณสิงสู่ ชีวิตน้อยๆ ก็อาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ มู่ซืออวี่จึงต้องเริ่มภารกิจแกล้งร้ายให้ครอบครัวตัวร้ายตายใจ จะว่าไป ลูกน้อยของนางก็ช่างน่ารักเสียนี่กระไร ใครจะไปใจร้ายใส่เด็กสองคนนี้ลง มู่ซืออวี่ตัดสินใจแล้วว่า ใครที่กล้าแกล้งวายร้ายตัวน้อยของนาง จะต้องโดนสั่งสอนเสียให้เข็ด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset