สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 14 ลงนามใบหย่า

บทที่ 14 ลงนามใบหย่า

บทที่ 14 ลงนามใบหย่า

ลู่อี้ถือฟืนไว้ในมือ เดินลงมาจากภูเขาอย่างใจเย็น ฟืนทั้งสองมีไก่ป่าและกระต่ายป่าห้อยอยู่อย่างละตัว

นอกจากนี้เพื่อไม่ให้เสื้อผ้าขาดเสียหาย เขาจึงพับแขนเสื้อของตนขึ้นมาแล้วผูกไว้รอบเอว สะใภ้ตัวน้อยที่แอบชำเลืองมองอยู่ถึงกับแก้มแดงระเรื่อ

แต่เมื่อเห็นใบหน้านั้นนางก็หลีกเลี่ยงทันที ไม่กล้ามองอีกรอบ

ในขณะที่อวี๋ซื่อถือตะกร้าผักออกมาจากสวนผัก และเมื่อเห็นของที่ลู่อี้ถือมาด้วย สายตาของนางก็ลุกเป็นไฟ

นางทุบที่เอวของตนเองแล้วตะโกนเสียงดัง “ลู่อี้ มาช่วยข้ายกที จู่ ๆ เอวของข้าเจ็บก็แปลบขึ้นมา”

ลู่อี้หยุดฝีเท้าแล้วหันกลับไปมองอวี๋ซื่อ สายตาของเขาปราศจากความรู้สึกใด ๆ ราวกับว่าในแววตาของเขาเป็นเพียงถ้ำอันมืดมิด

คนที่อยู่ด้านหลังไม่กล้าที่จะเอื้อนเอ่ยเรียกอีกต่อไป เพียงแค่เอ่ยปากพูดว่า “มองอะไร ขอให้ช่วยจะเป็นไรไป ข้าเป็นป้าของเจ้านะ”

ใช่แล้ว สตรีผู้นี้คือพี่สาวของท่านแม่ผู้ล่วงลับไปแล้วของลู่อี้

ลู่อี้ยื่นมือออกไปหานาง อวี๋ซื่อจึงส่งตะกร้าผักไปให้เขาด้วยความภาคภูมิใจไม่หยุด

ชายหนุ่มเดินตรงไปด้านหน้า โดยมีอวี๋ซื่อเดินตามหลัง

จากนั้นนางก็เริ่มพูดพล่ามขึ้นมา “ลู่อี้ ไม่ใช่ข้าเคยบอกหรือว่า เหตุใดเจ้าถึงแต่งงานกับสะใภ้เช่นนี้ สะใภ้ของเจ้าจิตใจชั่วร้าย ไม่มีอะไรดี เจ้าไม่รู้หรอกว่าลูกทั้งสองของเจ้าลำบากแค่ไหน มีพอกินหรือไม่ก็ไม่พูดไม่กล่าว หญิงคนนั้นชอบสั่งให้พวกเขาไปสร้างเรื่อง เด็กตัวเล็กเช่นนั้น ไม่ได้ต่างจากลูกหมาบ้านพวกข้าเลย ลูกหมาของข้ายังต้องได้กินข้าว แต่เด็ก ๆ ต้องออกไปเคี้ยวเปลือกไม้ข้างนอก”

สีหน้าของเขาครึ้มทะมึนลงเรื่อย ๆ ใบหน้าที่มองไปทางอวี๋ซื่อยังคงทำให้ผู้คนหวาดกลัว ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ราวกับว่ามันจองจำวิญญาณชั่วร้ายเอาไว้ อวี๋ซื่อหวาดกลัวอย่างมากจนต้องร้องออกมาว่า “หวา!”

“เคี้ยวเปลือกไม้รึ” ลู่อี้ถามขึ้น

“ใช่สิ ลูก ๆ ของเจ้าไม่ได้เล่าให้ฟังรึ เด็กสองคนนั้นโง่หรือเปล่า นางรังแกเด็ก ๆเช่นนี้ พวกเขายังไม่ฟ้องเจ้าอีกรึ”

อวี๋ซื่อถอยหลังไปสองก้าว แต่เมื่อเห็นกระต่ายป่าและไก่ป่าที่แขวนอยู่ก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ

ลู่อี้ยัดตะกร้าผักกลับเข้าไปในอ้อมแขนของอวี๋ซื่อ “ข้ายังมีเรื่องต้องทำ ขอตัวก่อน”

“ไอ้หยา รอข้าก่อน” อวี๋ซื่อเข้ามาขวางลู่อี้ก่อนจะยิ้มเยาะ “ลู่อี้ ดูเจ้าสิ เข้าป่าครั้งเดียวล่าสัตว์ได้ตั้งมากมาย บ้านข้าไม่ได้กินเนื้อสัตว์นานแล้ว หากเจ้าจะแบ่งให้ข้าชิมบ้างสักหน่อย…”

มุมปากลู่อี้ถึงกับกระตุก “ท่านป้าอยากชิมรึ?”

“ก็ใช่น่ะสิ” อวี๋ซื่อยิ้มร่า ดูผิวเผินนางเป็นคนที่น่ารักใคร่ แต่ก็เป็นเพียงแค่ภายนอกเท่านั้น

ลู่อี้ไม่เคยลืมว่าหลังจากที่ท่านพ่อและท่านแม่เสียชีวิต ญาติพี่น้องเหล่านี้ต่างมาย้ายสิ่งของจากบ้านของพวกเขา ถ้าเขาไม่ใช้กำลังห้ามปราม คนเหล่านั้นคงเอาสิ่งที่เหลืออยู่ออกไปหมดแล้ว และในบรรดาคนเหล่านั้น คนที่ส่งเสียงดังที่สุดคือป้าของเขาคนนี้

“เมื่อครู่นี้ท่านป้าพูดว่าอวี่เอ๋อร์กับอวิ๋นเอ๋อร์เคี้ยวกินเปลือกไม้รึ?” ลู่อี้เอ่ยถาม

“ใช่สิ ช่างน่าสงสารจริง ๆ สายตาของพวกเขาช่างดูหิวโหย หลังจากนั้นก็ไปถอนต้นกล้าผักจากบ้านของแม่นางหวังมา แม่นางหวังตามไปโวยวายอยู่พักใหญ่ นางเตะอวิ๋นเอ๋อร์ของเจ้าด้วยนะ พวกเขาไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้เจ้าฟังรึ เป็นเพราะถูกผู้หญิงคนนั้นข่มขู่สิท่า”

“ท่านป้า”

เสียงของลู่อี้ทุ้มต่ำลง เดิมทีเสียงของเขาก็เหมือนกับกำลังข่มขู่อยู่แล้ว แต่ตอนนี้มันยิ่งทวีความเย็นเยือกและน่ากลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ท่ามกลางสถานที่ว่างเปล่าแห่งนี้

“ท่านเคยให้พวกเขากินสักคำหรือไม่?”

อวี๋ซื่อหวั่นกลัวขึ้นมา สีหน้าของนางยามตอบนั้นฉาบไปด้วยความอับอาย “ลู่อี้ ไม่ใช่ว่าข้าขี้เหนียว เจ้าดูครอบครัวของพวกข้าสิ และยังมีเด็ก ๆ อีก เจ้าก็รู้ว่าครอบครัวของข้าก็ไม่ได้มีกินมีใช้ จะมีอาหารเหลือเฟือจากที่ไหนมาแบ่งให้ผู้อื่นได้อีก”

“บ้านของท่านป้าไม่ได้มีกินมีใช้ เรื่องนั้นข้าเข้าใจ แต่ก็อย่างที่ท่านป้าบอก เด็กทั้งสองคนของข้าหิวจนสามารถเคี้ยวกินเปลือกไม้ได้ นี่ย่อมเห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังเผชิญกับความลำบาก ในเมื่อข้ากลับมาแล้ว ข้าก็ต้องเติมเต็มพวกเขาอย่างดี ข้าพาน้องชายข้าไปพบหมอ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเอาเงินเก็บออกมาใช้หรอก ข้ายังต้องไปหยิบยืมเงินอีกหลายสิบตำลึงจากสหายข้าอีก หรือท่านป้าจะให้ข้ายืมเงิน หลังจากที่พวกข้าผ่านความยากลำบากครั้งนี้ไปได้แล้ว ข้าจะคืนให้ท่าน อย่างนี้ดีหรือไม่?”

สีหน้าของอวี๋ซื่อแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาเมื่อลู่อี้เอ่ยคำพูดยาวเหยียดเหล่านี้ นางเอ่ยอย่างกระวนกระวายใจว่า “ถ้าจะไม่ให้ก็ไม่ต้องให้ เจ้าจะพูดให้มากเรื่องไปเพื่ออะไร น้องชายของเจ้าก็ไร้ประโยชน์มานานแล้ว แต่เจ้ายังโง่เอาเงินไปรักษาเขา เจ้าควรทิ้งเขาได้แล้ว”

“ท่านป้าก็อาวุโสแล้ว ข้าเคารพท่าน แต่ถ้าหากท่านพูดแบบนี้อีก เช่นนั้นก็โปรดยกโทษให้ข้าด้วย” ลู่อี้มองไปที่อวี๋ซื่ออย่างเย็นชา

อวี๋ซื่อก้าวถอยกลับพร้อมกับตะกร้าในมือ “เอาล่ะ ไม่พูดก็ไม่พูด ในบ้านของเจ้ามีทั้งคนป่วย มีทั้งเด็กเล็ก ทั้งยังมีนางตัวร้ายกินจุจอมเกียจคร้านอีก พึ่งพาแค่เจ้าคนเดียว จะมีกินมีใช้ตอนไหนกัน แล้วสักวันเจ้าจะรู้ตัวว่าตัวเองคิดผิด”

ลู่อี้คว้าสิ่งของของเขาแล้วเดินไปที่บ้าน แม้ว่าอวี๋ซื่อจะไม่ใช่คนดี แต่เขาเชื่อว่านางจะไม่หลอกลวงเขาด้วยเรื่องแบบนี้ เมื่อนึกถึงเด็กสองคนที่กำลังผอมลงทุกวัน อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บ ลู่อี้ก็รู้สึกถึงความโกรธที่ปะทุขึ้นในใจ

เบื้องหน้าสายตาคือกระท่อมหลังเล็กของพวกเขาที่เคยถูกไฟไหม้จนไม่เหลืออะไร เดิมทีเป็นบ้านอิฐสีเขียวหลังใหญ่ แต่กระเบื้องมุงหลังคาอยู่ในสภาพปรักหักพังไปแล้ว พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสร้างกระท่อมมุงจากด้วยตัวเอง

ใบหน้าของลู่อี้เหลือเพียงความครึ้มทะมึน เขาตัดสินใจที่จะกำจัดผู้หญิงคนนั้นในวันนี้ และจะให้นางออกจากบ้านไปทันที นางจะอยากไปอยู่ที่ไหนนั้นไม่เกี่ยวกับเขาอีกแล้ว หลังลงนามใบหย่า พวกเขาก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีกต่อไป

ลู่อี้ไม่คิดจะแตะต้องตัวมู่ซืออวี่ หากแตะต้องนาง เขาก็จะต้องรับผิดชอบ ตราบใดที่นางทำตัวดี พวกเขาก็จะมีชีวิตที่มั่นคง ทว่าหลังนางให้กำเนิดลูกทั้งสองคน นางก็คิดว่าเขาไม่มีชีวิตที่มั่นคงให้ นางจึงดูถูกเขา หลายปีมานี้เขาอดทนกับนางมามากก็เพื่อลูก ครั้งนี้นางข้ามเส้นเกินไปแล้ว ถึงเวลาที่จะได้รับผลของมันแล้ว

ทันทีที่เขาก้าวผ่านประตูลานบ้าน เสียงหัวเราะจากข้างในก็ทำให้ต้องหยุดแล้วเงยหน้าขึ้นมอง

ลู่จื่ออวิ๋นนั่งอยู่ด้านใน ผมยาวถูกปล่อยออกมา มีมู่ซืออวี่ยืนอยู่ด้านหลัง นางกำลังใช้ชามตักน้ำร้อนเทลงบนผมของลู่จื่ออวิ๋น จากนั้นจึงสระผมให้

ลู่จื่ออวิ๋นควรจะกลัวมากกว่านี้ แต่นางกลับกำลังหัวเราะฮ่า ๆ ออกมา

แต่ไหนแต่ไรไม่เคยได้ยินนางหัวเราะเช่นนี้มาก่อน เสียงหัวเราะดังชัดเจนราวกับเสียงนกกระจอกบนภูเขา ราวกับเสียงเพลงที่ไพเราะที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา ประหนึ่งว่าไม่เคยมีความเศร้าเกิดขึ้นเลยสักนิด

ลู่เซวียนออกมาจากด้านใน ครั้นเห็นภาพตรงหน้า สีหน้าก็เริ่มฉายความอบอุ่นละมุนละไม แต่เขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ดีนี่”

ลู่อี้แบกฟืนขึ้นมาแล้วเข้าไปด้านใน

ลู่เซวียนเห็นผู้เป็นพี่ชายเดินเข้ามาพร้อมกับสัตว์ป่าสองตัวก็กล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังวางแผนอะไร วันนี้นางไม่ได้รังแกเสี่ยวอวิ๋น แต่เสี่ยวอวิ๋นก็ยังเป็นเด็ก จำไม่ได้หรอกว่าก่อนหน้านี้เคยถูกตีอย่างไร ตอนนั้นจึงยอมรับนาง”

“แล้วอวี่เอ๋อร์ล่ะ?” ลู่อี้ถามพลางวางฟืนลง

“ไปขุดผักป่า ในบ้านยังมีข้าวสารกับมันเทศเหลืออยู่ กินได้ไม่นานหรอก จริงสิ จะทำอย่างไรกับไก่สามตัว แม่นางหวังคนนี้ใจร้ายเกินไป ไม่รู้ว่าอวิ๋นเอ๋อร์ต้องทนทุกข์ทรมานมากเพียงใด มู่ซืออวี่บังคับให้อีกฝ่ายจ่ายค่าไก่สามตัว ดูเหมือนว่าปากร้ายจะยังมีประโยชน์อยู่ มีเพียงคนปากร้ายเท่านั้นแหละที่สามารถจัดการกับคนปากร้ายได้”

ลู่อี้มองสองแม่ลูกจากลานบ้าน

ลู่จื่ออวิ๋นเคยบอกว่าถูกแม่นางหวังขุ่นเคือง แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเพราะมู่ซืออวี่ไม่ได้ให้อาหารพวกเขา สองพี่น้องจึงต้องไปถอนต้นกล้าผักของแม่นางหวัง เช่นนั้นลูกสาวเขายังเกลียดมู่ซืออวี่อยู่จริงหรือ?

เวลานี้เขาควรลงนามใบหย่าดีหรือไม่?

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย
Status: Ongoing
อ่านนิยายสาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายเรื่องย่อ: 'มู่ซืออวี่ทะลุมิติมาเลี้ยงลูกตัวร้ายแบบนี้ เห็นทีจะต้องร้ายตามบทถึงจะมีชีวิตรอด แต่ลูกชายคนโตของนางกลับจับผิดได้ตั้งแต่วันแรก หากไม่อยู่ในบทเดิม เกรงว่าผู้คนจะคิดว่าวิญญาณสิงสู่ ชีวิตน้อยๆ ก็อาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ มู่ซืออวี่จึงต้องเริ่มภารกิจแกล้งร้ายให้ครอบครัวตัวร้ายตายใจ จะว่าไป ลูกน้อยของนางก็ช่างน่ารักเสียนี่กระไร ใครจะไปใจร้ายใส่เด็กสองคนนี้ลง มู่ซืออวี่ตัดสินใจแล้วว่า ใครที่กล้าแกล้งวายร้ายตัวน้อยของนาง จะต้องโดนสั่งสอนเสียให้เข็ด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset