สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 218 จับเด็กเกเรกลืนลงท้อง

บทที่ 218 จับเด็กเกเรกลืนลงท้อง

“ท่านมาได้อย่างไร?” มู่ซืออวี่ยังรู้สึกขัดเขินอยู่บ้าง

ความสัมพันธ์ระหว่างนางและลู่อี้นับวันยิ่งกำกวมมากขึ้น คงเปรียบเหมือนหน้าต่างกระดาษบาง ๆ ที่ไม่ได้ถูกเจาะกระมัง

“ข้ามาหาฮูหยินอย่างไรเล่า” ลู่อี้กล่าว “ไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็เลยมาทานข้าวเย็นด้วยน่ะ”

ปกติแล้วหากนางไม่ยุ่ง มู่ซืออวี่จะทำอาหารให้คนงานทาน คนงานของร้านล้วนอุทิศตนให้นาง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะค่าแรงที่สูงมาก อีกส่วนเป็นเพราะอาหารที่เจ้านายทำรสชาติเยี่ยมยอดจริง ๆ

“เช่นนั้นข้าต้องขอตัวก่อนแล้ว” อันอี้หางเก็บกระดาษวาดรูปแผ่นนั้นขึ้นมา

“ได้ เช่นนั้นข้าไม่ไปส่งนะ” มู่ซืออวี่กล่าว

หลังจากอันอี้หางไปแล้ว ลู่อี้ก็เดินเข้ามากดตัวนางลงบนโต๊ะ “เจ้าชื่นชมอันอี้หางเพียงนั้นเชียวหรือ?”

มู่ซืออวี่ผงะ ถอยหลังจนล้มลง แต่ลู่อี้ก็ยังจะเอื้อมไปโอบเอวนาง ดึงนางเข้ามาแนบชิดอยู่ในอ้อมกอดของเขา

“คุณชายอันทำงานร่วมกับพวกเรา เขาไม่ใช่คนไม่ดี ข้าคิดว่าหากรักษาการร่วมมือกับเขาต่อไปเช่นนี้ก็ดูเข้าท่าดี”

“แค่ร่วมงานกันเท่านั้นหรือ?” ลู่อี้ยังไม่ลืมสายตาเมื่อครู่นี้ของอันอี้หาง

สายตานั้นเป็นสัญญาณของการถูกดึงดูดใจ

“แน่นอน ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกหรือ?” มู่ซืออวี่รู้สึกงงงวย “ท่านคงไม่ได้หึงหวงข้ากระมัง?”

ลู่อี้เห็นนางอมยิ้มน้อย ๆ จึงโน้มหน้าลงไปจูบริมฝีปากอิ่ม

“อื้อ…” นางพยายามผลักเขาออก “เราอยู่ที่ร้านนะ หากมีคนโผล่เข้ามา…”

ลู่อี้อุ้มมู่ซืออวี่ขึ้นมา เขาเดินตรงไปที่ประตู ปิดมันแล้วลงกลอนเรียบร้อย ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ปล่อยให้ริมฝีปากของนางว่าง จูบเอาแต่ใจแทบจะหลอมละลายนางอย่างไม่อาจต้านทานได้แต่อย่างใด

“ลู่อี้ อย่า… อาจมีคนมา…”

ลู่อี้จูบนางไม่ยอมปล่อย เสาเพลิงแทบจะระเบิดออกมา แต่เขาไม่กล้าก้าวข้ามไปอีกขั้นได้

“ช่วยทำให้ข้าเหมือนตอนเช้าได้หรือไม่” ลู่อี้กระซิบข้างหูนาง “ข้าเพิ่งทราบข่าว สองสามวันนี้ข้าจะต้องเดินทางไปข้างนอก อาจจะไม่ได้กลับมาเป็นเวลาหลายวัน”

มู่ซืออวี่คิดจะปฏิเสธ แต่หลังจากได้ยินคำพูดของลู่อี้ นางก็ใจอ่อน ได้แต่ตอบรับเขาด้วยใบหน้าแดงก่ำ

อันอี้หางเดินอยู่บนถนนเพียงลำพัง เมื่อคิดถึงฉากเมื่อครู่นี้ ชายหนุ่มก็พลันรู้สึกมึนงงขึ้นมา

นี่เขาเป็นอะไรไปแล้ว?

หรือว่าเขาจะคิดกับฮูหยินลู่…

ไม่ ๆ นั่นคือฮูหยินลู่ เขาจะมีความคิดเช่นนั้นได้อย่างไร?

ฮูหยินลู่แตกต่างจากสตรีทั่วไปก็จริง นางเปล่งประกาย ใจกว้าง ความคิดไม่ด้อยไปกว่าบุรุษ แต่นางแต่งงานแล้ว ทั้งยังเป็นมารดาและภรรยาของผู้อื่น เขาไม่อาจเกิดความคิดเช่นนั้นเด็ดขาด น่าละอายใจเหลือเกิน

“สหายอัน อีกไม่นานก็จะสอบแล้ว เหตุใดยังไม่เตรียมพร้อมอีก?” สหายร่วมเรียนเดินมาจากฝั่งตรงข้าม พลางถามอันอี้หางที่กำลังเหม่อลอย

“ข้าออกมาซื้อตำราสองเล่มน่ะ” อันอี้หางตอบ

“ตำราเล่า?”

“ยังไม่ได้ซื้อ กำลังจะไป อยากมาด้วยกันหรือไม่?”

“ได้เลย ข้าก็ต้องเตรียมพร้อมด้วยพอดี”

อีกไม่นานก็จะถึงการสอบระดับฝู่ซื่อ*[1] ทว่าอันอี้หางยังมาคิดถึงเรื่องเหล่านี้อีก หากเขาจะใช้ชีวิตให้สมความคาดหวังของท่านแม่และน้องสาว เขาต้องอุทิศตนทุ่มแรงกายแรงใจทั้งหมดให้กับการสอบขุนนางครั้งนี้

ลู่อี้เข้าไปในรถม้าด้วยสีหน้าพึงพอใจ เขามองมู่ซืออวี่ที่อยู่นอกรถม้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่ยินยอม

“ไม่ต้องมองแล้ว รีบไปเถอะ” มู่ซืออวี่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบสายตาที่จ้องมองมา

ลู่อี้หัวเราะ “ข้าจะไปแล้วจะรีบกลับมา เจ้าดูแลตัวเองให้ดี”

“อืม”

รถม้าเคลื่อนตัวจากไปแล้ว มู่ซืออวี่ถึงได้เงยหน้าขึ้นมามองเงารถม้าที่ค่อย ๆ เคลื่อนหายไป

“เถ้าแก่เนี้ย ไม่ต้องมองแล้ว ไม่นานพี่อี้ก็กลับมาแล้ว” เฟิงเจิงที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยล้อ

มู่ซืออวี่หงุดหงิด “ระยะนี้ข้าดีกับเจ้าเกินไปใช่หรือไม่? ค่าแรงเดือนนี้หักออกครึ่งหนึ่ง”

“อย่า อย่าเลยจ้ะ ข้าจะไปทำงานเดี๋ยวนี้ ไม่ล้อแล้ว” เฟิงเจิงวิ่งไปหัวเราะไป

อันอี้หางต้องเตรียมตัวสอบ จึงไม่ได้กลับมาที่หมู่บ้านหลายวันแล้ว

อันอวี้ใช้ไม้นำทางเดินไปเรื่อย ๆ ทันใดนั้นเท้าของนางก็พลิก ล้มลงไปบนพื้นทั้งตัว

“แม่นางตาบอด น่าอายจริง ๆ เลย สุนัขกินขี้ตัวหนึ่งล้มแล้ว น่าสงสาร น่าสงสาร ไม่มีแม่ น่าสงสาร”

เด็กเกเรสองสามคนร้องเพลงที่พวกเขาแต่งขึ้นมาพลางวิ่งล้อมอันอวี้และหัวเราะเยาะไม่หยุด ไม่คิดจะช่วยนางขึ้นมาแม้แต่น้อย

อันอวี้คลำไปทั่วพื้นเพื่อควานหาไม้นำทาง

หนึ่งในเด็กพวกนั้นเตะไม้นำทางออกไป

“พวกเจ้าทำอะไร?” เสียงใสกังวานของลู่จื่ออวิ๋นดังขึ้น

เมื่อเห็นลู่จื่ออวิ๋น เด็กเหล่านั้นก็หยุดทำท่าอวดดีทันที

ลู่จื่ออวิ๋นทั้งงดงามทั้งอ่อนโยน การแต่งกายของนางแตกต่างจากเด็กคนอื่น ๆ ราวกับเทพธิดาตัวน้อย ๆ ข้างกายพระโพธิสัตว์

ถึงแม้ในยามที่นางโกรธจะน่ารักมาก แต่เด็กคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านรู้ว่านางยุ่งด้วยไม่ได้ง่าย ๆ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงพ่อแม่ของนาง แม้แต่พี่ชายและน้าชายของนางก็ยังยุ่งด้วยไม่ได้

“อวิ๋นเอ๋อร์ พวกเราไม่ได้ไปรังแกเจ้า เจ้าเกี่ยวอะไรด้วย?” จินตั้นพูดขึ้นมา

“พวกเจ้าเป็นเช่นนี้น่ารังเกียจจริง ๆ” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยด้วยความโมโห “รู้หรือไม่ว่านี่เรียกว่าอะไร? รังแกคนอ่อนแอ หวาดกลัวคนแข็งแกร่ง ถ้าพวกเจ้าเก่งนัก เหตุใดไม่ไปรังแกท่านอาต้าหนิวกับท่านอาเอ้อร์หนิว? เหตุใดไม่ไปรังแกพ่อข้า? รู้จักรังแกแต่สตรีที่อ่อนแอกว่า หน้าไม่อาย!”

“อวิ๋นเอ๋อร์ เรื่องของพวกเราไม่ต้องให้เจ้ามายุ่ง”

“เจ้าว่าอะไรนะ?” ลู่จื่ออวิ๋นจ้องมองพวกเขา

“ข้าบอกว่าเรื่องของพวกเราไม่ต้องให้เจ้ามายุ่ง เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร?” จินตั้นเอ่ยด้วยท่าทีดื้อดึง

ลู่จื่ออวิ๋นมองพวกเขาอย่างโมโห “พวกเจ้าอย่าเสียใจก็แล้วกัน”

ถึงแม้พวกเด็กน้อยเหล่านี้จะกลัวนาง แต่พวกเขาก็ดึงดันไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ละคนเชิดคอเพื่อเป็นการบอกว่า ‘ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก’

“ฮืออออ!!!” เสียงร้องไห้ดังขึ้นมา

สิ่งที่ลู่จื่ออวิ๋นกำลังจะทำต่อไปทำให้เด็กเหล่านี้ต้องเปลี่ยนความคิด

ลู่จื่ออวิ๋นคุกเข่าลง นำฝุ่นเต็มกำมือมาป้ายหน้าและตัวของนาง จากนั้นนั่งลงกับพื้นแล้วร้องไห้ออกมาเสียงดัง

“เกิดอะไรขึ้น? มีเรื่องอะไรกัน?” เหยาซื่อผ่านมาพอดิบพอดี เมื่อได้ยินเสียงร้องจึงปรี่เข้ามา “เจ้าเด็กเกเรพวกนี้ พวกเจ้ารังแกอวิ๋นเอ๋อร์รึ?”

“พวกเราไม่ได้ทำ!” เด็ก ๆ พูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน

“ถ้าไม่ได้ทำ แล้วนางจะร้องไห้เช่นนี้ได้อย่างไร? อวิ๋นเอ๋อร์เป็นเด็กดีเพียงนี้ ใครจะไม่รู้ว่านางอ่อนหวานแค่ไหน ปกติไม่เคยร้องไห้ด้วยซ้ำ” เหยาซื่อกล่าวอย่างฉุนเฉียว “พวกเจ้าอยากลองดีรึ ข้าจะไปบอกพ่อของอวิ๋นเอ๋อร์ ให้เขาจับพวกเจ้าทั้งหมดไปเป็นอาหารหนู ดีหรือไม่?”

“อ๊าา! ข้าไม่อยาก ข้าไม่อยาก”

เด็กเหล่านี้เริ่มหวาดกลัวแล้ว

“ท่านป้า พวกเขารังแกน้าอวี้” ลู่จื่ออวิ๋นชี้ไปที่อันอวี้ที่อยู่ไม่ไกลแล้วปาดน้ำตา “ฮือ ฮือ พวกเขาเป็นเด็กไม่ดี”

เหยาซื่อเจ็บปวดใจมาก นางกอดลู่จื่ออวิ๋นผู้ว่านอนสอนง่ายเอาไว้ในอ้อมแขน มองดูเด็กอันธพาลเหล่านั้นแล้วเอ่ยขึ้น “พวกเจ้ายังกล้ารังแกอันอวี้ ข้าว่าข้าต้องจัดการพวกเจ้าหน่อยแล้ว”

“พวกเราแค่หยอกล้อเฉย ๆ”

“พวกเขายังเตะไม้เท้านำทางของน้าอวี้ไปไกล ๆ ด้วย” ลู่จื่ออวิ๋นฟ้องต่อ

“ยังไม่รีบไปพยุงน้าอวี้ขึ้นมาอีก เอาไม้เท้าคืนให้นางด้วย” เหยาซื่อพูดอย่างเกรี้ยวกราด “อายุน้อยเท่านี้ยังนิสัยไม่ดีขนาดนี้ ข้าว่าสมควรโดนตีจริง ๆ”

เด็กเหล่านั้นกลัวแล้ว ถึงแม้จะรู้สึกว่าตนไม่ผิดก็ไม่พูดต่อไปแล้ว บางคนช่วยอันอวี้ลุกขึ้น บางคนไปเก็บไม้เท้ามาใส่มือนาง

ลู่จื่ออวิ๋นเดินไปหาอันอวี้ “น้าอวี้ ท่านมีแผลหรือไม่?”

อันอวี้ส่ายหัวเบา ๆ “ไม่มี ขอบคุณเจ้ามาก”

เหยาซื่อมองอันอวี้ด้วยความสงสารแล้วเอ่ยว่า “เสื้อผ้าเจ้าเปื้อนหมดแล้ว กลับไปเปลี่ยนเถอะ”

อันอวี้มีเสื้อผ้ามากมาย ล้วนแล้วแต่เป็นอันอี้หางที่ซื้อมาให้ เรื่องซื้อของมาให้นี้อวี้ซื่อไม่กล้าทำอะไร เพราะกลัวว่าอันอี้หางกลับมาจะสังเกตเห็นความผิดปกติ

“ขอบคุณ” อันอวี้เอ่ยขอบคุณเหยาซื่อ จากนั้นจึงเอ่ยกับลู่จื่ออวิ๋น “อวิ๋นเอ๋อร์น้อย ไม่ต้องร้องไห้แล้ว ข้าไม่เป็นไร เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน”

[1] การสอบระดับฝู่ซื่อ คือ การสอบขุนนางระดับจังหวัดในสมัยจีนโบราณ

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย
Status: Ongoing
อ่านนิยายสาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายเรื่องย่อ: 'มู่ซืออวี่ทะลุมิติมาเลี้ยงลูกตัวร้ายแบบนี้ เห็นทีจะต้องร้ายตามบทถึงจะมีชีวิตรอด แต่ลูกชายคนโตของนางกลับจับผิดได้ตั้งแต่วันแรก หากไม่อยู่ในบทเดิม เกรงว่าผู้คนจะคิดว่าวิญญาณสิงสู่ ชีวิตน้อยๆ ก็อาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ มู่ซืออวี่จึงต้องเริ่มภารกิจแกล้งร้ายให้ครอบครัวตัวร้ายตายใจ จะว่าไป ลูกน้อยของนางก็ช่างน่ารักเสียนี่กระไร ใครจะไปใจร้ายใส่เด็กสองคนนี้ลง มู่ซืออวี่ตัดสินใจแล้วว่า ใครที่กล้าแกล้งวายร้ายตัวน้อยของนาง จะต้องโดนสั่งสอนเสียให้เข็ด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset