สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 292 สหายร่วมเรียนคนใหม่

บทที่ 292 สหายร่วมเรียนคนใหม่

บทที่ 292 สหายร่วมเรียนคนใหม่

วันต่อมา

ณ สำนักบัณฑิตเขาเขียว

ลู่เซวียนพยายามสงบสติอารมณ์ เขาอธิบายเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมดให้ท่านอาจารย์ฟัง

ฉู่หนิงจูยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างเชื่อฟัง เงียบกริบประหนึ่งว่าเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย

“เรื่องนี้ข้าทราบแล้ว” ไป๋เหวยคังเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “แม่นางฉู่ฉู่บอกข้าแล้ว”

“ขอบคุณท่านเจ้าสำนักที่ไม่ตำหนินาง เช่นนั้นข้าจะพานางกลับแล้ว” ลู่เซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก

“ข้ารู้ว่านางเป็นสตรี ทว่านางมีใจใฝ่เล่าเรียนศึกษา ข้าคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยินดียิ่งนัก สตรีแล้วอย่างไร? ตราบใดที่เป็นคนใฝ่เรียนรู้ สำนักบัณฑิตของเราย่อมรับไว้ทั้งหมด”

ลู่เซวียนนิ่งงัน มองไป๋เหวยคังด้วยความประหลาดใจ “แต่สำนักบัณฑิตเราไม่เคยรับสตรี หากผู้อื่นรู้เข้า เกรงว่าจะถูกเล่าลือในแง่ร้าย”

“หากมีคนพบเข้า เช่นนั้นก็บอกว่านางเป็นหลานสาวของข้า เข้าสำนักบัณฑิตเพื่อศึกษาหาความรู้ ข้าจะจัดเตรียมหอพักแยกให้นางต่างหาก เงียบสงบสักหน่อย จะได้ไม่มีคนรบกวนนาง”

“แต่…”

“จัดการตามนี้เถิด เจ้าพานางไปเข้าเรียนซะ” ไป๋เหวยคังยกชาขึ้นมาจิบ

ลู่เซวียนหันมามองฉู่หนิงจู

นางมองเขาด้วยความภาคภูมิใจ เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย สีหน้าของนางราวกับจะบอกว่า ‘ดูสิ ข้าเกาะติดท่านได้สำเร็จอีกครั้งแล้ว’

หลังจากที่ทั้งสองคนออกไป ผู้อาวุโสอวิ๋นจึงเดินออกมาจากข้างใน

“นายท่าน เด็กคนนั้นมาจากตระกูลฉู่ในเมืองหลวงหรือขอรับ?”

“อืม เพิ่งได้รับจดหมาย กล่าวว่านางหนีมาจากเมืองหลวงเพียงเพื่ออาจารย์ที่เขียนบทละครคนหนึ่งในเมืองฮู่เป่ย ให้ข้าช่วยดูแลสักหน่อย ในเมื่อคนผู้นั้นเป็นลู่เซวียน จึงให้นางอยู่ต่อได้ ครอบครัวลู่สามารถไว้ใจได้”

ฉู่หนิงจูได้เข้าเรียนอย่างที่นางต้องการ นางถูกเรียกว่าฉู่หลิง เป็นสหายร่วมเรียนกับลู่เซวียนในที่สุด

ไม่ว่าลู่เซวียนจะไม่ยินดีเพียงใด ก็ทำได้เพียงช่วยเหลือนางทุกเรื่อง

“ห้องของเจ้าดีเกินไปแล้วกระมัง” ลู่เซวียนมองห้องปีกข้างห้องใหม่ของฉู่หนิงจู

“ท่านอยากย้ายเข้ามาอยู่หรือเปล่า ข้าแบ่งกับท่านครึ่งหนึ่งได้นะ” ฉู่หนิงจูกล่าวอย่างไร้เดียงสา “ท่านดูสิข้างในยังมีห้องอีกสองห้อง แบ่งท่านห้องหนึ่งได้ ไม่มีมีปัญหา”

ลู่เซวียนมองไปข้างในก่อนจะปิดประตู จากนั้นมองนางอย่างโมโห “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นเด็กหนุ่มจริง ๆ ไปแล้วหรือ? ชายหญิงมิควรแตะเนื้อต้องตัวกัน เข้าใจหรือไม่?”

“อ้อ” ฉู่หนิงจูเอ่ยตอบ “ในมือของข้าไม่มีเงินเลย ท่านช่วยข้านำจี้หยกชิ้นนี้ไปแลกเงินมาให้ข้าที เช่นนี้ข้าจะได้คืนเงินให้ท่านได้”

จี้หยกชิ้นนี้คุณภาพไม่เลว ทั้งยังมีตัวอักษรอยู่บนนั้น เห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งยืนยันสถานะของนาง

ลู่เซวียนเห็นนางมองจี้หยกชิ้นนั้นอย่างอาลัยอาวรณ์ ก็รู้ว่านางไม่อยากแยกจากมัน

“นี่เป็นเป็นตั๋วเงิน 100 ตำลึงเงิน เจ้าเก็บไว้ใช้เถอะ” ลู่เซวียนคืนจี้หยกให้นาง “จี้หยกนี้เจ้าเก็บไว้ก่อน”

“เหตุใดท่านต้องให้เงินข้า?” ฉู่หนิงจูเอ่ยถาม

“ข้าให้เจ้ายืม เจ้าค่อยคืนข้าทีหลัง” ลู่เซวียนกล่าว “เอาล่ะ เจ้าพักผ่อนก่อน ถึงเวลาชั้นเรียนยามบ่ายแล้วข้าจะมาเรียกเจ้า”

ฉู่หนิงจูยืนพิงกรอบหน้าต่าง ตะโกนไล่หลังลู่เซวียนที่กำลังเดินจากไปว่า “ลู่เซวียน! ท่านเป็นคนดีเหลือเกิน!”

ลู่เซวียนหันกลับมามองนาง สายตาของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ “จะตะโกนเรียกผีสางหรือไร ปิดหน้าต่างเสีย เจ้าตะโกนเช่นนี้รบกวนผู้อื่น พวกเขาไม่ได้พูดจาดีกับข้านักหรอกนะ”

“ข้ารู้ว่าคนที่เขียนเรื่องราวที่ดีเช่นนั้นออกมาได้ย่อมไม่ใช่คนเลวร้าย ในใจของเขาย่อมมีคุณธรรม เปี่ยมไปด้วยความเมตตาปรานี ข้ามองท่านไม่ผิดหรอก” ฉู่หนิงจูเอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง

“นั่นเป็นเพราะเจ้าโชคดี หากเจ้าโชคไม่ดี คงจะถูกจับไปขายในสถานที่เปล่าเปลี่ยวห่างไกลแล้ว” มุมปากของลู่เซวียนเผยรอยหยักยิ้ม ไม่ยอมรับว่าตนจิตใจสั่นคลอนเสียแล้ว

แรกเริ่มเขาเพียงแค่เขียนเรื่องราวเหล่านั้นเพื่อหารายได้ เพื่อให้ผ่านพ้นชีวิตที่ไร้ซึ่งแสงสว่าง ต่อมาเขาสอดแทรกทัศนคติของตนลงไปในเรื่องราว เขียนสิ่งที่อยากจะทำลงไปในชีวิตของตัวละครในเรื่อง ทำให้ตัวละครเหล่านั้นสมจริงยิ่งขึ้น ข้อคิดที่ได้รับก็น่าประทับใจเช่นกัน มิเช่นนั้นคงไม่ทำให้สาวน้อยโง่เขลาคนหนึ่งท่องเที่ยวมาไกลถึงเพียงนี้เพื่อมาพบคนที่นางไม่เคยรู้จักมาก่อน

เป็นสาวน้อยที่โง่เขลาโดยแท้

มู่ซืออวี่ได้ยินว่าฉู่ฉู่เข้าเรียนแล้ว นางพลันประหลาดใจไปชั่วขณะ ทว่าเมื่อนึกถึงความแปลกประหลาดของสาวน้อยคนนั้น เรื่องคาดไม่ถึงก็คงเป็นเรื่องธรรมดา

“ฮูหยิน” จื่อซูมองท่อนไม้หัก ๆ ตรงหน้านางแล้วเอ่ยขึ้น “พวกเราต้องไปเมืองซูโจวจริง ๆ หรือเจ้าคะ? หากท่านไปอยู่ที่เมืองซูโจว แล้วนายท่านที่อยู่ทางนี้จะทำอย่างไร พวกท่านจะไม่ได้พบกันนานเลยนะเจ้าคะ”

“หากความรู้สึกของคนสองคนลึกซึ้งกันจริง ๆ เพียงไม่กี่วันคืนจะพังลงได้อย่างไร?” มู่ซืออวี่ตอบขณะที่เหลาไม้อยู่ในมือ “เราสองสามีภรรยารักใคร่กันจริง ทว่าชีวิตยังอีกยาวไกล หากสตรีต้องคอยจับจ้องบุรุษอยู่ตลอดทั้งวัน เช่นนั้นไม่กลายเป็นหญิงเจ้าคิดเจ้าแค้นหรือ? หากไม่มีสิ่งที่ชอบทำ ก็ไม่เห็นภาพวิวทิวทัศน์ที่งดงามยิ่งกว่า จะยอมให้สายตาหยุดอยู่แค่เรือนหลังนี้หรอกหรือ?”

“หากท่านไปนานเกินไป แล้วนายท่านถูกขโมยไปเล่าเจ้าคะ?”

“ไม่ว่าจะเป็นผู้คนหรือสิ่งของ หากถูกคนฉกชิงไปได้ เช่นนั้นย่อมไม่ใช่ของของเจ้าอย่างแท้จริง หากเขาคิดว่าผู้อื่นเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับเขา เช่นนั้นข้าก็เคารพการตัดสินใจของเขา!”

“เอ่ยเช่นนี้ ได้แล้วทิ้งกันหรือ?” ไม่รู้ว่าลู่อี้ฟังอยู่นานเพียงใดแล้ว เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ออกมา ก็เห็นได้ชัดว่าเขาดูน้อยอกน้อยใจ อีกทั้งยังขุ่นเคืองใจด้วย

จื่อซูและจื่อเยวี่ยนมองหน้ากัน วางของที่ถือไว้มือแล้วรีบจากไป ระหว่างนั้นบ่าวที่อยู่ในลานก็อันตรธานหายไปเช่นเดียวกัน

“นี่ท่านแอบฟังเราพูดคุยกันหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้นอย่างโมโห “พวกเราเพียงแต่พูดจาไปเรื่อยเปื่อย ท่านจะตระหนกตกใจถึงเพียงนี้ไปไย? หรือว่านางพูดถูกจริง ๆ ท่านจะถูกผู้อื่นฉกชิงทันทีที่ข้าไปอย่างนั้นหรือ?”

“หากมีผู้อื่นขโมยไปจริง ๆ เจ้าจะขโมยกลับมาหรือไม่?” ลู่อี้สวมกอดนางจากข้างหลัง

“ไม่” มู่ซืออวี่แค่นเสียงขึ้นจมูก “สามีของข้าต้องปกป้องรักษาตนให้บริสุทธิ์ดั่งหยก หากไม่รู้ว่าต้องปฏิเสธสตรีอื่นอย่างไร เช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องการแล้ว ข้าจะหาใหม่เป็นคนที่ว่านอนสอนง่าย”

“เจ้ากล้ารึ!”

“ท่านลองดูสิว่าข้าจะกล้าหรือไม่กล้า!”

“ดูเหมือนว่าข้าจะไม่ได้ทำให้ฮูหยินรู้ว่าข้าร้ายกาจเพียงใดมานานแล้ว ถึงได้เริ่มไม่พึงพอใจข้า เช่นนั้นข้าคงต้องอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินให้ดีเสียแล้ว” ลู่อี้อุ้มนางเข้ามาแล้วสาวเท้ายาว ๆ ก้าวเข้าไปข้างใน

ทั้งสองถามไถ่กันอย่างอึกทึกครึกโครมอยู่นานสองนาน จนกระทั่งฟ้ามืดถึงได้หยุดลง

นางนอนซบอยู่บนอกเขาแล้วเอ่ยว่า “วันนี้ท่านไม่มีเรื่องอะไรกระมัง?”

นับตั้งแต่มาเป็นนายอำเภอ เขาไม่ได้ผ่อนคลายแม้แต่วันเดียว วันนี้เป็นครั้งแรกที่เขากลับมาเร็วเช่นนี้

“วันนี้มีคดีหนึ่ง เป็นหญิงสาวเยาว์วัยผู้หนึ่ง หน้าตาค่อนข้างสะสวย ครั้นร่างของนางถูกพบ สามีของนางนอนร้องห่มร้องไห้อยู่ข้างนาง”

มู่ซืออวี่กอดเอวของเขาเอาไว้ แล้วเบียดเนื้อตัวเข้ากับเขา “ข้าจะอยู่กับท่านไปจนแก่เฒ่า”

“อืม” ลู่อี้จูบลงบนริมฝีปากนาง “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าจะต้องอยู่เคียงข้างข้า ข้าอนุญาตให้เจ้าจากไปชั่วคราว แต่ไม่อนุญาตให้เจ้าจากไปตลอดกาล มิเช่นนั้นไม่ว่าจะต้องขึ้นสวรรค์หรือลงไปหายมบาล ข้าจะต้องหาเจ้าให้เจอ แล้วลงโทษให้หนัก”

“ได้ยินท่านกล่าวเช่นนี้แล้ว ข้าหวาดกลัวยิ่งนัก เช่นนั้นข้าจะติดตามท่านอย่างใกล้ชิด” มู่ซืออวี่ถูไถใบหน้ากับแขนเขา ราวกับลูกแมวกำลังออดอ้อน “สตรีผู้นั้นตายได้อย่างไร อุบัติเหตุหรือโดนฆ่าตาย?”

“เจ้าหน้าที่ชันสูตรกำลังชันสูตรศพ อีกประเดี๋ยวข้าจะไปดู เจ้าจะไปเมืองซูโจวนานแค่ไหน? ข้าจะจัดคนสองสามคนไปส่งเจ้า” ลู่อี้เกี่ยวผมนางเล่น “ถึงแม้ข้าจะรู้ว่าเจ้าอยากไปทำเรื่องที่เจ้าชอบ แต่บางครั้งข้าก็คิดอยากมัดเจ้าไว้ข้างกายข้า ไม่อนุญาตให้ไปที่ใด”

“เช่นนั้นท่านมัดข้าไว้เถอะ ทางที่ดีเก็บข้าไว้ในถุงติดตัวเสียเลย ขอเพียงท่านไม่รำคาญข้าก็พอ” มู่ซืออวี่เริ่มไม่อยากแยกจากแล้วจริง ๆ

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย
Status: Ongoing
อ่านนิยายสาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายเรื่องย่อ: 'มู่ซืออวี่ทะลุมิติมาเลี้ยงลูกตัวร้ายแบบนี้ เห็นทีจะต้องร้ายตามบทถึงจะมีชีวิตรอด แต่ลูกชายคนโตของนางกลับจับผิดได้ตั้งแต่วันแรก หากไม่อยู่ในบทเดิม เกรงว่าผู้คนจะคิดว่าวิญญาณสิงสู่ ชีวิตน้อยๆ ก็อาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ มู่ซืออวี่จึงต้องเริ่มภารกิจแกล้งร้ายให้ครอบครัวตัวร้ายตายใจ จะว่าไป ลูกน้อยของนางก็ช่างน่ารักเสียนี่กระไร ใครจะไปใจร้ายใส่เด็กสองคนนี้ลง มู่ซืออวี่ตัดสินใจแล้วว่า ใครที่กล้าแกล้งวายร้ายตัวน้อยของนาง จะต้องโดนสั่งสอนเสียให้เข็ด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset