สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 308 นักต้มตุ๋นชั้นปรมาจารย์

บทที่ 308 นักต้มตุ๋นชั้นปรมาจารย์

บทที่ 308 นักต้มตุ๋นชั้นปรมาจารย์

วันถัดมาก เมื่อเซี่ยคุนตื่นขึ้นมาก็พบว่าที่นอนข้างเขาเย็นเยียบ ไม่รู้ว่าอันอวี้ลุกออกไปนานเพียงใดแล้ว

เขาสวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย เตรียมจะออกไปหาอันอวี้ ทว่ากลับพบนางเข้ามาพร้อมกับอาหารเช้า

“ข้าเรียนวิธีทำข้าวเกรียบทอดมาจากพี่ซืออวี่ และยังมีต้มโจ๊กหมูไข่เยี่ยวม้ามาด้วย ท่านลองชิมดูว่าเป็นอย่างไร”

อันอวี้ลุกขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อที่จะได้ไม่รบกวนการพักผ่อนของเซี่ยคุน นางไม่แม้แต่จะหวีผมของตนเอง ตอนนี้นางจึงปล่อยผมยาวสยาย เดินกลับเข้ามาในห้องในชุดโปร่งบาง

เซี่ยคุนรับถาดที่นางถือมาแล้วจับมือนางมาตรวจสอบดู เขาพบว่ามือนางเย็นอย่างที่คาดไว้จริง ๆ

“ข้าตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ทุกวัน อาหารเช้าล้วนไปจัดการข้างนอก เจ้าไม่จำเป็นต้องเตรียมให้ข้า”

“แต่…” อันอวี้บีบนิ้วตนเอง “หากอะไรท่านก็ล้วนไม่ต้องการข้า เช่นนั้นข้านับว่าเป็นฮูหยินเซี่ยประสาอะไร”

“เจ้าเพียงแค่เป็นตัวของตัวเองก็ดีแล้ว” เซี่ยคุนวางถาดนั้นลงบนโต๊ะ และจัดการอาหารเหล่านั้น “มากินด้วยกันเถอะ”

“พี่ใหญ่เซี่ย…” อันอวี้เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขา “ท่าน… ท่านมีคนที่ท่านชอบอยู่แล้วใช่หรือไม่?”

เซี่ยคุน “…”

“ข้ารู้แล้ว ตอนนั้นท่านแต่งงานกับข้าเพราะท่านสงสารข้าใช่หรือไม่?” สีหน้าของอันอวี้หม่นหมองลง

เซี่ยคุนสูดลมหายใจเข้าลึก “ไม่มี”

“อะไรนะ” อันอวี้มองเขา

“ข้าไม่มีคนที่ข้าชอบ” เซี่ยคุนกล่าวอีกครั้ง

อันอวี้ได้ยินเช่นนี้ หัวใจของนางพลันเบิกบานขึ้นมาเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม ไม่นานนางก็ยิ้มไม่ออกแล้ว

ไม่มีคนที่ชอบ ดังนั้นก็ไม่ได้ชอบนางเช่นกัน ความหมายคงเป็นเช่นนี้กระมัง?

เซี่ยคุนพบว่าบรรยากาศไม่ถูกต้องเล็กน้อย เพียงแต่เขานึกไม่ออกว่ามีที่ใดไม่ถูกต้อง

ทั้งสองทานอาหารเช้าอย่างเงียบเชียบ

“ข้าวเกรียบทอดไหม้หรือไม่?” อันอวี้เอ่ยถาม

เซี่ยคุนกินเข้าไปคำใหญ่แล้วเอ่ยเบา ๆ “ไม่ไหม้”

“อ้อ” อันอวี้คนโจ๊กไปมา รู้สึกผิดหวังมากกว่าเดิม

“อีกเดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบนักต้มตุ๋นคนนั้น เจ้ากลับไปบอกแม่ของเจ้าว่าไม่ต้องกังวล” เซี่ยคุนกล่าว “หากนางรังแกเจ้าอีก เจ้าเพียงแค่ไม่ต้องไปสนใจนาง ข้าจะจัดการเอง”

อันอวี้หันมองใบหน้าของเซี่ยคุน ราวกับมองแล้วนางจะสบายใจขึ้นมา

ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้เขาก็ดีต่อนางมาก ไม่มีผู้ใดดียิ่งกว่าเขาแล้ว เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ส่วนเรื่องอื่น เหตุใดนางต้องไปบังคับฝืนใจเล่า?

ลู่อี้มองสมุดบัญชีภาษีที่เวินเหวินซงส่งให้

ในฐานะนายอำเภอ เขาไม่เพียงต้องผดุงความยุติธรรมให้ราษฎร รับผิดชอบตัดสินคดีความเท่านั้น ยังต้องจัดการเรื่องเศรษฐกิจ การศึกษาเล่าเรียน การรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ทั้งการจัดเก็บภาษี และอื่น ๆ อีกมากมายของเมืองฮู่เป่ย

โชคยังดีที่เขาส่งมอบงานเหล่านี้ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไว้ใจได้ ไม่เช่นนั้น ยุ่งถึงเพียงนี้เขาคงเหนื่อยล้าจนหมดเรี่ยวแรงไปแล้ว

นักการเกาเดินเข้ามาจากข้างนอก รายงานลู่อี้ว่า “ใต้เท้าลู่ มีเบาะแสใหม่ของคดีหญิงสาวที่หายตัวไปขอรับ ทว่ายิ่งข้าตรวจสอบลงไปลึกเพียงใด ข้ายิ่งรู้สึกไม่วางใจเท่านั้น ใต้เท้าจะต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้ได้จริง ๆ หรือ?”

เซี่ยคุนเข้ามาพอดี เขาส่งสารในมือให้ลู่อี้ “นี่เป็นข่าวคราวที่ข้าได้รับมา”

ลู่อี้ยังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใด นักการเกาก็คว้าไปดู ยิ่งเขาดูมากเท่าไหร่ก็ยิ่งหวาดกลัวและกระวนกระวายใจ

“ข่าวนี้ของท่านสาวลึกลงไปยิ่งกว่าข่าวของข้าเสียอีก อีกทั้งยังหาหลักฐานออกมาได้แล้ว แต่พวกท่านก็เห็นแล้ว คนผู้นี้ไม่อาจไปล่วงเกินได้!”

เซี่ยคุนหันมองลู่อี้ “เจ้าคิดเห็นอย่างไร? หากเข้าไปยุ่ง นี่ไม่ได้อยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของพวกเรา ไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างเอิกเกริกได้ ยิ่งไปกว่านั้น คนผู้นั้นไม่ใช่คนที่พวกเราล่วงเกินได้ แต่หากไม่เข้าไปยุ่ง ก็จะมีหญิงสาวหายตัวไปเรื่อย ๆ คนเหล่านั้นล้วนเป็นคนที่มีชีวิตมีเลือดเนื้อ แม่นางที่ชื่อหวังซิ่วเยว่ผู้นั้นยอมเปิดปากแล้ว นางบอกว่าพวกนางถูกขังไว้ในที่แห่งหนึ่ง ใช้ชีวิตอย่างอยู่ไม่สู้ตาย พวกนางล้วนมาจากครอบครัวดี ๆ”

“ข้าได้ยินท่านพูดมากถึงเพียงนี้เป็นครั้งแรก” นักการเกาพึมพำ

เซี่ยคุนมองลู่อี้ไม่วางตา ราวกับพยายามมองทะลุดวงตาของอีกฝ่ายไปยังก้นบึ้งหัวใจ

ลู่อี้ฉลาดปราดเปรื่องเป็นอย่างมาก เขาใช้ระยะเวลาเพียงสั้น ๆ ก็สามารถนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ แสดงให้เห็นแล้วว่าเขามีฝีมือ

ก่อนหน้านี้ลู่อี้ยังไม่ได้เป็นขุนนาง ตอนนี้ได้เป็นขุนนางแล้ว เขาจะยังกล้าแบกรับความเสี่ยงนี้หรือไม่?

“ไปตรวจสอบ” ลู่อี้เอ่ยเสียงเรียบ

“อยากตรวจสอบจริงหรือ?” นักการเกาถาม “หากจัดการได้ไม่เรียบร้อย ไม่เพียงหมวกบนศีรษะจะหาย ไม่แน่ว่าอาจกระทบไปถึงครอบครัวได้นะขอรับ”

“ความมั่งคั่งย่อมได้มาเพราะรับความเสี่ยง หากไม่ลองเสี่ยงแล้วจะได้มาได้อย่างไร” ลู่อี้เอ่ยนิ่ง ๆ “ไม่ใช่เพราะทุกการผจญภัยมีโอกาสรออยู่หรือ? โอกาสและการผจญภัยมาพร้อม ๆ กัน ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะจัดการอย่างไรแล้ว”

“ได้ อย่างไรเสียข้าก็ยอมรับใต้เท้าแล้ว ใต้เท้าบอกว่าจะทำอย่างไรข้าก็จะทำเช่นนั้น” นักการเกากล่าว

“ยังมีอีกเรื่อง” เซี่ยคุนนำข้อมูลอีกเรื่องหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ “ไม่นานมานี้มีนักต้มตุ๋นปรากฏตัวขึ้น คนผู้นี้เจ้าเล่ห์เพทุบายเป็นอย่างมาก ตามที่ข้าได้ตรวจสอบมา มีคนไม่ต่ำกว่าสิบคนถูกเขาหลอกลวง ล้วนเป็นสตรีหลากหลายช่วงอายุ”

“เรื่องนี้ให้ท่านไปจัดการ” ลู่อี้เอ่ยขึ้น “ต้องการกำลังคนมากน้อยเพียงใดก็ไปจัดเตรียม”

ทักษะฝีมือของเซี่ยคุนไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง หากให้จัดการกับนักต้มตุ๋นเพียงคนเดียว ความสามารถของเขาย่อมเหลือเฟือ

ลู่อี้คิดเช่นนี้ เพราะตอนนี้เขาทุ่มความสนใจให้กับคดีหญิงสาวที่หายตัวไปมากกว่า

อย่างที่เซี่ยคุนและนักการเกาเอ่ยมา การที่เขาตัดสินใจรับคดีนี้มามีความเสี่ยงอยู่บ้าง ทว่าในเมื่อตัดสินใจไปแล้วย่อมไม่อาจถอยหลังได้ เขาจะต้องจัดการโดยไม่ให้เกิดความผิดพลาดใด ๆ

มู่ซืออวี่เร่งรีบออกไปตั้งแต่เช้า นางจึงลืมนำภาพแบบที่นางวาดเมื่อคืนนี้ไปด้วย โชคไม่ดีที่นางเป็นคนเก็บภาพแบบนั้นไว้ เด็กสองคนนั้นไม่รู้ว่านางเก็บไว้ที่ใด จึงได้แต่ต้องกลับไปเอาด้วยตนเอง

“คุณหนูหลี่” เมื่อมู่ซืออวี่เห็นหลี่หงซูอยู่ในที่ว่าการอำเภอ ความประหลาดใจก็แวบผ่านแววตาของนาง

หลี่หงซูดูเหนื่อยล้า นางดูโทรมลงไปมาก ราวกับแก่ขึ้นมาหลายปีในระยะเวลาอันสั้น ประกายในแววตาของนางเหือดหายไปราวกับไร้ชีวิตไปเสียแล้ว

“ฮูหยินลู่” หลี่หงซูพยักหน้าให้แล้วเดินออกไปข้างนอก

มู่ซืออวี่มองอีกฝ่ายเดินออกไป แล้วถามนักการที่เดินมาส่งหลี่หงซูว่า “นางมาทำอะไรที่นี่?”

มีความแค้นระหว่างตระกูลหลี่และตระกูลลู่ ตระกูลหลี่ย่อมไม่อยากก้าวเข้ามาในอาณาเขตของตระกูลลู่ไปชั่วชีวิต การที่หลี่หงซูมาปรากฏตัวที่นี่ต้องไม่ใช่ความสมัครใจ คงมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นเป็นแน่

“ระยะนี้มีนักต้มตุ๋นหลอกลวงเอาเงินของสตรีไปหลายคน คุณหนูหลี่ผู้นี้เป็นหนึ่งในนั้นที่โดนหลอกขอรับ”

“กำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

“นั่นน่ะสิขอรับ”

บางทีอาจเป็นเพราะหลี่หงซู หรือบางทีอาจเป็นเพราะมู่ซืออวี่อยากรู้บทสรุปของนักต้มตุ๋นคนนั้นจริง ๆ สองสามวันต่อมามู่ซืออวี่จึงสอบถามสิ่งที่จะเกิดกับนักต้มตุ๋นคนนั้น

นักต้มตุ๋นคนนั้นเฉลียวฉลาดมาก ทั้งยังเชี่ยวชาญในการแปลงโฉม ใบหน้าของคนที่สตรีสิบกว่าคนถูกอีกฝ่ายหลอกนั้นล้วนเป็นใบหน้าที่แตกต่างกัน นี่จึงเป็นเหตุให้เขาไม่เกรงกลัวอะไร

ทว่าต่อให้นักต้มตุ๋นผู้นั้นคิดคำนวณเป็นพันเป็นหมื่นครั้งก็ประเมินความสามารถของเซี่ยคุนต่ำเกินไป

เซี่ยคุณใช้เวลาเพียงหนึ่งวันก็สามารถมองทะลุทักษะการแปลงโฉมของนักตุ้มตุ๋นได้ ชายหนุ่มจับอีกฝ่ายได้แม้ยังแปลงโฉมอยู่ เขานำตัวนักต้มตุ๋นผู้นั้นเข้าสู่กระบวนการตัดสินคดีต่อไปในที่สุด

โรงหมอของท่านหมอจูเปิดแล้ว ทุกคนในครอบครัวลู่รวมถึงลู่อี้ไปให้กำลังใจเขา เมื่อมู่ซืออวี่ชักชวนถงซื่อไปก็เห็นข้างกายท่านหมอจูมีสตรีนางหนึ่งเสียแล้ว สตรีนางนั้นเอาอกเอาใจท่านหมอจูเป็นพิเศษ

“พวกเจ้ามาแล้ว” ท่านหมอจูเห็นทุกคนในครอบครัวลู่มาถึง สายตาของเขาก็เลื่อนไปหยุดอยู่ที่ถงซื่อ

สีหน้าของถงซื่อไม่สู้ดีนัก นางเอ่ยกับท่านหมอจูว่า “ยินดีกับท่านด้วย”

ท่านหมอจูเอ่ยยิ้ม ๆ “ขอบคุณ”

มู่ซืออวี่มองสตรีผู้นั้นแล้วเอ่ยว่า “ท่านหมอจู ท่านนั้นคือ…”

ท่านหมอจูหันกลับไปมองแวบหนึ่ง เมื่อรู้ว่ามู่ซืออวี่ถามถึงใคร เขาก็เอ่ยขึ้นมาด้วยความปวดหัว “คนไข้ที่รักษาเมื่อไม่นานมานี้น่ะ พอได้ยินว่าข้าเปิดโรงหมอในเมืองก็ยืนกรานที่จะมาช่วยให้ได้”

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย
Status: Ongoing
อ่านนิยายสาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายเรื่องย่อ: 'มู่ซืออวี่ทะลุมิติมาเลี้ยงลูกตัวร้ายแบบนี้ เห็นทีจะต้องร้ายตามบทถึงจะมีชีวิตรอด แต่ลูกชายคนโตของนางกลับจับผิดได้ตั้งแต่วันแรก หากไม่อยู่ในบทเดิม เกรงว่าผู้คนจะคิดว่าวิญญาณสิงสู่ ชีวิตน้อยๆ ก็อาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ มู่ซืออวี่จึงต้องเริ่มภารกิจแกล้งร้ายให้ครอบครัวตัวร้ายตายใจ จะว่าไป ลูกน้อยของนางก็ช่างน่ารักเสียนี่กระไร ใครจะไปใจร้ายใส่เด็กสองคนนี้ลง มู่ซืออวี่ตัดสินใจแล้วว่า ใครที่กล้าแกล้งวายร้ายตัวน้อยของนาง จะต้องโดนสั่งสอนเสียให้เข็ด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset