สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 309 เตาซานเหนียง

บทที่ 309 เตาซานเหนียง

บทที่ 309 เตาซานเหนียง

“มีแขกมาแล้ว!” สตรีนางนั้นเดินเข้ามาทักทาย “รีบเข้ามาด้านในเถิดเจ้าค่ะ”

มู่ซืออวี่และคนอื่น ๆ มองท่านหมอจูด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

สตรีนางนั้นต้อนรับแขกเหรื่ออย่างอบอุ่นราวกับนางเป็นเจ้าภาพที่นี่ เห็นได้ชัดว่านางสนใจในตัวท่านหมอจู

“ควรเรียกท่านอาว่าอย่างไรเจ้าคะ?” อันอวี้เอ่ยถามอย่างนิ่มนวล

“ข้าแซ่เตา ผู้อื่นเรียกข้าว่าเตาซานเหนียง” เตาซานเหนียงกล่าว “พวกท่านเรียกข้าว่าอาเตาหรือเตาซานเหนียงก็ได้”

มู่ซืออวี่ถอนหายใจ

เตาซานเหนียงพูดจาฉะฉาน ท่าทางคล่องแคล่วว่องไว ถึงแม้ถงซื่อจะไม่ใช่ซาลาเปา*[1] แล้ว ทว่าหากตามความตรงไปตรงมาของเตาซานเหนียงไม่ทัน และข้ามผ่านกำแพงภายในใจของตนเองยังไม่ได้ เกรงว่า…

ช่วงนี้มู่ซืออวี่ก็ลำบาก ยังต้องมาเป็นห่วงด้ายแดงของท่านแม่ของนางอีก

ท่านหมอจูรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อย เขามองถงซื่อด้วยสายตาระมัดระวัง เมื่อไม่อาจเผยออกมาต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ได้ จึงทำได้เพียงเอ่ยกับเตาซานเหนียงว่า “พี่เตา ท่านไม่ต้องยุ่งยากแล้ว ข้าจะต้อนรับแขกเอง”

“วันนี้เป็นวันเปิดตัว ท่านทำเพียงคนเดียวไม่ไหวหรอก” เตาซานเหนียงกล่าวจบก็หมุนตัวกลับไปเรียกเด็กหนุ่มคนหนึ่ง “ถังจิ้ง ถังจิ้ง รีบเข้ามาช่วยเร็วเข้า”

“มาแล้ว ท่านแม่” เด็กหนุ่มคนนั้นวิ่งเข้ามา “จะให้ข้าทำอะไรหรือ?”

“จื่อซู จื่อเยวี่ยน เอาของให้เขา” มู่ซืออวี่สั่ง

สาวใช้ทั้งสองส่งของกำนัลให้ถังจิ้ง

“ท่านหมอจูมีแขกมากมาย พวกเราอย่าทำให้เขาล่าช้าเลย อย่างไรเสียก็ไม่ใช่คนนอก พวกเราหาที่นั่งสักพักเองเถอะ” ลู่อี้เปิดปากเอ่ยขึ้น

“ได้เลย รีบเข้าไปข้างในเถอะ”

มู่ซืออวี่ดึงตัวถงซื่อเข้าไปใน ‘โรงหมอถงตั๋ว’

สายตาของถงซื่อเหลือบมองท่านหมอจูกับเตาซานเหนียงครั้งแล้วครั้งเล่า

เตาซานเหนียงมีความสามารถโดยแท้จริง นางเข้ากับแขกของท่านหมอจูได้เป็นอย่างดี ท่าทีกระวีกระวาดยังทำให้ได้รับความชอบจากคนมากมาย

หลายปีมานี้ท่านหมอจูช่วยผู้คนเอาไว้มากมายเหนือคณานับ มีคนมากมายที่ได้รับความช่วยเหลือจากเขา แน่นอนว่าเขาย่อมผูกสัมพันธ์กับสหายได้ไม่น้อย ปกติไม่เคยเห็น ทว่าวันนี้เมื่อคนมารวมตัวกัน แม้กระทั่งมู่ซืออวี่ยังต้องชมเชยความมีมนุษยสัมพันธ์ของเขา

“ท่านหมอจูเป็นที่นิยมไม่น้อยเลย!” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้น “เจ้าว่าที่นี่มีท่านอามากมายเพียงใดที่ชมชอบเขา?”

“ท่านอาเตาไม่ต้องเอ่ยถึงแล้ว นับเป็นหนึ่งคนในนั้น” จื่อซูตอบอย่างฉับไว “ท่านอาที่ใส่เสื้อผ้าสีเหลืองนั้นคงนับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งคนด้วย”

“มีมากกว่านั้น” อันอวี้ที่อยู่ข้าง ๆ กล่าวเสริมขึ้นมา “ท่านนั้นที่กำลังยืนคุยกับท่านอาเตาอยู่ก็น่าจะใช่เช่นกัน ท่านดูตอนที่นางพูดคุยกับท่านอาเตาสิ สายตาของนางประหนึ่งคมมีด แม้ใบหน้าจะประดับรอยยิ้ม ทว่ารอยยิ้มกลับเป็นการยิ้มด้วยปาก ถากด้วยตา”

เซี่ยคุนกับลู่อี้มองหน้ากัน

เมื่อสตรีอยู่ด้วยกัน หัวข้อที่เอ่ยถึงนั้นช่าง…

ขออภัยที่พวกเขาไม่อาจเข้าร่วมบทสนทนานี้ได้

ถังจิ้งนำน้ำชามาให้แล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “นายท่านทุกท่าน ฮูหยิน เชิญดื่มชาขอรับ”

มู่ซืออวี่กวาดสายตามองถังจิ้งขึ้น ๆ ลง ๆ แล้วเอ่ยถาม “เจ้ามาจากที่ใดหรือ?”

“ขอตอบฮูหยิน ข้ามาจากหมู่บ้านสือโถวขอรับ” ถังจิ้งตอบ “แต่ข้าไม่ได้กลับไปที่หมู่บ้านนานแล้ว หลายปีมานี้ข้าเป็นเด็กรับใช้ตามโรงเตี๊ยม หรือไม่ก็ภัตตาคารอยู่ในเมืองหลวง ข้าเช่าบ้านอยู่ในเมืองหลวงขอรับ ครอบครัวของพวกเรามีเพียงข้าและท่านแม่ของข้า ท่านพ่อของข้าจากไปตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน ตอนนี้ข้าทำงานเป็นคนงานให้ท่านหมอจู ตั้งใจว่าจะเรียนรู้ฝึกฝนทักษะจากเขา ภายหน้าจะได้กินอิ่มสวมใส่อุ่นขอรับ”

“ช้าก่อน ความหมายของเจ้าคือเจ้าอยากเป็นลูกศิษย์ของท่านหมอจูอย่างนั้นหรือ?” มู่ซืออวี่ขัดคำเขาขึ้นมา

“ขอรับ!” ถังจิ้งลูบหัวของตน “ท่านหมอจูบอกว่าข้าพอมีพรสวรรค์”

มู่ซืออวี่หันไปมองถงซื่อ

สีหน้าของถงซื่อดูไม่ได้ยิ่งกว่าเดิมแล้ว

“ไม่มีอะไรแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ยกับถังจิ้ง

“ขอรับ หากแขกทุกท่านต้องการสิ่งใด เรียกข้าได้เลยนะขอรับ” ถังจิ้งกล่าว จากนั้นจึงไปต้อนรับคนอื่นแล้ว

มู่ซืออวี่เอียงเข้าไปใกล้ ๆ หูของถงซื่อแล้วเอ่ยว่า “ท่านหมอจูมีคนต้องการมากมายจริง ๆ หากยังไม่ลงมือทำอะไรอีก เกรงว่าจะถูกผู้อื่นฉกไปแล้ว”

ลู่อี้ส่ายหน้าเบา ๆ

ฮูหยินของเขาผู้นี้ยังชื่นชอบชมดูความครึกครื้นเช่นเคย

ลู่เซวียนพาฉู่หนิงจูมาถึงอย่างล่าช้า เมื่อฉู่หนิงจูมาถึงแล้ว นางก็เกาะติดมู่ซืออวี่ เล่าเรื่องสำนักให้ฟังไม่หยุด

สตรีหลายคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ส่วนบุรุษทำได้เพียงยืนอยู่ข้าง ๆ

โชคดีที่งานเปิดโรงหมอนั้นเรียบง่ายมาก ความคึกคักดำเนินไปได้พักหนึ่ง หลังจากทานอาหารกลางวันกันแล้วก็แยกย้ายกันไป

ถงซื่อมองเตาซานเหนียงที่เอาแต่สาละวนอยู่กับท่านหมอจู ท่านหมอจูปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าไม่อาจสู้ความกระตือรือร้นของอีกฝ่ายได้ หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง นางก็เอ่ยกับมู่ซืออวี่ว่า “พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าจะรั้งอยู่ช่วยสักเดี๋ยว”

“ได้เลย พวกเราจะกลับเดี๋ยวนี้” มู่ซืออวี่ลากลู่อี้และเรียกคนอื่น ๆ กลับไปด้วยกัน

หลังจากที่ออกมา พวกนางก็หยุดอยู่ไม่ไกลออกไป

มู่ซืออวี่โผล่หัวออกไปมองทางโรงหมอ

ท่านหมอจูนึกไม่ถึงว่าถงซื่อจะอยู่ช่วย เห็นได้ชัดว่าเขาดีใจเป็นอย่างมาก ส่วนเตาซานเหนียงมองถงซื่ออย่างจริงจังเป็นครั้งแรก

ท่านหมอจูกระตือรือร้นต่อถงซื่อเป็นพิเศษ ทำให้เตาซานเหนียงเข้าใจอะไรบางอย่าง ทว่าเรื่องที่สตรีนางนี้ตรงไปตรงมายังเป็นความจริง นางรู้ว่าอะไรควรทำจึงพูดจาปราศรัยกับถงซื่อด้วยดี ราวกับเป็นพี่สาวน้องสาวที่ดีต่อกันอย่างไรอย่างนั้น

“ท่านแม่ของข้าไม่ใช่คู่ต่อกรกับคนผู้นี้เลย” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้น

“ไม่ใช่ว่าจะเข้าสู่สนามรบ เหตุใดต้องตัดสินว่าผู้ใดเหนือกว่าด้วย” ลู่เซวียนไม่เห็นด้วย

“ไพ่ตายของแม่ยายข้าคือความจริงใจของท่านหมอจู ขอแค่เพียงมีไพ่ตายใบนี้ แม้ศัตรูจะเก่งกล้าสามารถเพียงใดนางก็ย่อมเอาชนะได้” ลู่อี้กล่าว “เอาล่ะ ให้พวกเขาพัฒนาความสัมพันธ์กันเอง พวกเรากลับกันเถอะ”

นักการเกาขี่ม้าผ่านมา เมื่อเห็นลู่อี้และคนอื่น ๆ เขาก็หยุดทันที จากนั้นจึงกระโดดลงจากหลังม้าแล้วเดินเข้ามาหาลู่อี้

“คดีมีความคืบหน้าใหม่แล้วขอรับ” นักการเการายงาน

ก่อนที่ลู่อี้จะได้เอ่ยสิ่งใด มู่ซืออวี่ก็สะบัดมือเสียก่อน “ท่านไปทำงานของท่านเถอะ ข้าจะดูแลอันอวี้ให้ดี พี่ใหญ่เซี่ยไม่ต้องเป็นกังวล”

เซี่ยคุนกล่าว ‘ขอบคุณมาก’ กับมู่ซืออวี่

ลู่อี้ลูบหลังมือของมู่ซืออวี่แล้วเอ่ยว่า “ลำบากเจ้าแล้ว”

หลังจากที่พวกเขาจากมาแล้ว ลู่เซวียนก็ถามขึ้น “หมู่นี้พี่ใหญ่กำลังจัดการคดีใหญ่อะไรหรือไม่?”

“เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น?”

“ถึงแม้ข้าจะอยู่ในสำนักบัณฑิต ก็พอได้ยินเรื่องราวบางอย่างมาบ้าง ไม่นานมานี้มีคดีนักต้มตุ๋นนั่น แค่คดีนี้ก็ยุ่งยากแล้ว แต่ได้ยินว่าคดีนี้พี่ใหญ่ไม่ได้จัดการด้วยตัวเอง ข้าจึงคิดว่าเขาจะต้องมีคดีที่สำคัญยิ่งกว่านั้นที่ต้องจัดการเป็นแน่” ลู่เซวียนกล่าว

“พี่ซืออวี่ไม่รู้อะไร หลังจากคดีนักต้มตุ๋นนั้นได้รับการตัดสินแล้ว ท่านเจ้าสำนักเรียกทุกคนมารวมตัวกันเพื่อบรรยายเรื่องนักต้มตุ๋นคนนี้เป็นพิเศษ พวกเรายังต้องเขียนสิ่งที่ได้ตระหนักจากคดีนี้อีกด้วย หากเขียนได้ไม่ดีจะถูกลงโทษ” ฉู่หนิงจูถอนหายใจเบา ๆ

ลู่เซวียนหัวเราะเยาะนาง “มีเพียงเจ้าที่ถูกลงโทษ ไม่ว่าผู้อื่นจะเขียนได้ไม่ดีเพียงใด พวกเขาก็ไม่ถูกลงโทษ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด? เพราะมีเพียงคนบ้าเช่นเจ้าที่จะเขียนว่าอุบายของคนผู้นี้ร้ายกาจยิ่งนัก กล่าวไปแล้วก็นับได้ว่าเป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่ง”

มู่ซืออวี่กับอันอวี้หัวเราะออกมา

แก้มของฉู่หนิงจูแดงเรื่อง “ข้ากล่าวได้ไม่ผิด ท่านพ่อของข้าบอกว่าเจ็ดสิบสองอาชีพ ทุกอาชีพย่อมมีจอหงวน*[2] ถึงแม้การที่คนผู้นี้หลอกลวงผู้อื่นจะไม่ถูกต้อง แต่เขาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้จริง ๆ!”

หลังจากนั้น ลู่เซวียนพาฉู่หนิงจูกลับไปยังสำนักบัณฑิต

ส่วนผู้อื่นล้วนยุ่งกับเรื่องของตน ทำสิ่งที่ต้องทำให้ลุล่วงต่อไป

มู่ซืออวี่เห็นคนผู้หนึ่งเข้าไปในเรือนวสันต์ นางถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง จากนั้นจึงกลับไปยังเรือนกรุ่นฝัน

“หากเหวินอี้กลับมาแล้ว ให้เขามาพบข้า” มู่ซืออวี่กล่าว

เฟิงเจิงเห็นสีหน้าของนางไม่ดีนักจึงถามออกมา “เถ้าแก่เนี้ย เหวินอี้ทำอะไรผิดใช่หรือไม่?”

“ไม่ใช่ ข้าเพียงแค่อยากมอบหมายเรื่องหนึ่งให้เขา” มู่ซืออวี่ยิ้มบาง ๆ “ไม่ต้องถามแล้ว ไปทำงานของเจ้าเถอะ”

[1] ซาลาเปา เป็นคำเปรียบเปรยที่หมายถึง คนอ่อนแอ ไร้ประโยชน์

[2] จอหงวน คือ ชื่อตำแหน่งของผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งในการสอบคัดเลือกข้าราชการของจีนสมัยโบราณ ในที่นี้หมายความว่าอัจฉริยะ

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย
Status: Ongoing
อ่านนิยายสาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายเรื่องย่อ: 'มู่ซืออวี่ทะลุมิติมาเลี้ยงลูกตัวร้ายแบบนี้ เห็นทีจะต้องร้ายตามบทถึงจะมีชีวิตรอด แต่ลูกชายคนโตของนางกลับจับผิดได้ตั้งแต่วันแรก หากไม่อยู่ในบทเดิม เกรงว่าผู้คนจะคิดว่าวิญญาณสิงสู่ ชีวิตน้อยๆ ก็อาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ มู่ซืออวี่จึงต้องเริ่มภารกิจแกล้งร้ายให้ครอบครัวตัวร้ายตายใจ จะว่าไป ลูกน้อยของนางก็ช่างน่ารักเสียนี่กระไร ใครจะไปใจร้ายใส่เด็กสองคนนี้ลง มู่ซืออวี่ตัดสินใจแล้วว่า ใครที่กล้าแกล้งวายร้ายตัวน้อยของนาง จะต้องโดนสั่งสอนเสียให้เข็ด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset