สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 356 หาเรื่องให้กลับมา

บทที่ 356 หาเรื่องให้กลับมา

บทที่ 356 หาเรื่องให้กลับมา

ลู่จื่ออวิ๋นโผเข้าหาลู่ฉาวอวี่ น้ำเสียงใสแจ๋วเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “ท่านว่าข้าโง่หรือ? ข้าโกรธแล้วนะ”

ลู่ฉาวอวี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน เขาลูบหัวของลู่จื่ออวิ๋นเบา ๆ “เอาล่ะ ไม่โง่ ๆ น้องสาวของข้าไม่โง่แม้แต่น้อย”

“ท่านยังลูบหัวของข้าอยู่เลย”

“พี่ชอบเจ้าถึงได้ลูบหัวเจ้าอย่างไรเล่า!”

“ท่านก็ลูบหัวเสี่ยวเฮยเช่นนี้ ข้าไม่ใช่เสี่ยวเฮยนะ”

ลู่ฉาวอวี่ดึงลู่จื่ออวิ๋นกลับห้องนอน

ค่ำคืนราตรีนี้เต็มไปด้วยความสุข สองพี่น้องหยอกล้อหัวเราะเฮฮาตามปกติ แต่ที่แตกต่างออกไปคือวันนี้ผ่อนคลายสบายใจยิ่งกว่าเดิม ราวกับชิ้นส่วนที่ขาดหายไปได้รับการเติมเต็มแล้ว

สองสามวันถัดมา มู่ซืออวี่ยุ่งเสียจนไม่ได้หยุดนิ่ง

นางเพิ่งกลับมา แต่ร้านสาขาหลักของนางก็มีเรื่องมากมายที่ต้องให้นางจัดการ

ณ ร้านสาวทอผ้า ฟ่านอวี๋กำลังคุยกับสตรีนางหนึ่งอยู่ที่ประตู หลังจากได้ยินสิ่งที่สตรีนางนั้นเอ่ย นางพลันหันไปคุยกับศิษย์ที่อยู่ข้าง ๆ “ไปเรียกอันอวี้มา บอกนางว่ามีคนมาหานาง”

อันอวี้เดินออกมาจากลานด้านหลัง เมื่อเห็นสตรีที่อยู่ตรงหน้าประตู จึงรู้ว่าเป็นเพื่อนบ้านของมารดา

“ท่านอาเฝิง ท่านมาหาข้าหรือ?”

“อันอวี้เอ๋ย แม่เจ้าป่วยแล้ว” เฝิงซื่อกล่าว “ป่วยได้หลายวันแล้ว แต่กลับไม่ได้เชิญท่านหมอไปตรวจ เจ้ากลับไปดูหน่อยเถอะ!”

“ได้” อันอวี้รับคำ “ขอบคุณท่านอาเฝิง”

“ไม่ต้องเกรงใจ” เฝิงซื่อมองเข้าไปในร้านสาวทอผ้า คิดอยู่ในใจว่าลูกสาวของอวี้ซื่อมีความสามารถเพียงนี้ เหตุใดอวี้ซื่อถึงได้อยู่ในสถานที่โกโรโกโสเช่นนั้น

ฟ่านอวี๋ได้ยินบทสนทนาของพวกนาง ไม่รอให้อันอวี้เอ่ยปาก นางก็เอ่ยขึ้นเสียก่อน “เจ้ากลับไปเถอะ! สองสามวันนี้ก็ยังไม่ต้องมา รอให้แม่เจ้าหายดีแล้วค่อยมา”

“อาจารย์ ข้าขออภัยจริง ๆ” อันอวี้กล่าว “หากข้านำ ‘ภาพอักษรอายุยืนนับร้อย*[1]’ กลับไปปัก จะต้องไม่กระทบกับกำหนดการแน่นอนเจ้าค่ะ”

“เนื้อผ้าชนิดนั้นหาได้ยากยิ่ง หากเกิดความเสียหาย ก็ไม่อาจหาชิ้นที่สองได้อีก” ฟ่านอวี๋เอ่ย “ตอนนี้พักไว้ก่อนเถอะ ข้าจะทำภายหลัง”

“อาจารย์ไม่ได้ปักภาพภูเขาแม่น้ำภาพอื่นอยู่หรือเจ้าคะ? งานชิ้นนั้นทั้งใหญ่กว่าและปักยากกว่า จะมีเวลาทำอย่างอื่นได้อย่างไรเจ้าคะ?” อันอวี้เอ่ยถาม

“ในร้านยังมีคนอีกมาก อาจจะมีสักคนมีเวลาว่างทำ เอาล่ะ เจ้าไปเถอะ!” ฟ่านอวี๋เร่งเร้า “พี่ชายของเจ้าอยู่ที่สำนักบัณฑิต ผละออกมาไม่ได้ เกรงว่าเขาจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแม่ของเจ้าป่วย หากเจ้ายังไม่กลับไปแล้วเกิดอะไรขึ้นกับนางที่บ้าน เช่นนั้นจะอันตรายมาก”

อันอวี้ไม่ปฏิเสธอีก นางตัดสินใจที่จะให้อวี้ซื่อรักษาอาการป่วยทันที เช่นนี้นางจะได้กลับมาเร็วขึ้น

อันอวี้นั่งรถม้ามาถึงบ้านครอบครัวอัน พบว่าประตูบ้านของมารดาเปิดค้างไว้กึ่งหนึ่ง นางจึงผลักประตูเข้าไปทันที

คนขับรถม้าเองก็ตามมาพร้อมกับห่อสัมภาระขนาดใหญ่

“ท่านแม่!…”

อันอวี้ตะโกนเข้าไปด้านใน

ทว่าไม่มีเสียงขานรับกลับมา

อันอวี้รีบรุดเข้าไปในห้องนอน

“ท่านแม่”

อวี้ซื่อนั่งอยู่บนเตียง มือของนางกำลังปักผ้า สีหน้าซีดเซียวเป็นอย่างมาก

“เหตุใดท่านไม่ตอบข้าเล่า?” อันอวี้กล่าวจบก็เดินกลับไปยังประตูแล้วเอ่ยกับคนขับว่า “วางของไว้เถอะจ้ะ รบกวนท่านแล้ว”

“ขอรับ” คนขับวางของไว้แล้วจากไป

อวี้ซื่อเหน็บแนมว่า “บัดนี้เป็นฮูหยินแล้ว อยู่ดีมีสุข แม้กระทั่งบ้านแม่ก็ไม่กลับมาแล้ว”

อันอวี้ “…”

นางเดินไปยังข้างเตียง หาเก้าอี้มาตัวหนึ่งแล้วนั่งลง “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง? อาเฝิงบอกว่าท่านป่วย ข้าจะไปเชิญท่านหมอเสียก่อน ดูว่าท่านต้องทานยาอะไรบ้าง”

“ไม่จำเป็น ไม่ตายหรอก” อวี้ซื่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าต้องไปแล้ว” อันอวี้ลุกขึ้น “ที่ร้านยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ ข้าจะกลับไปทำงานก่อน”

“หยุดนะ” อวี้ซื่อเบิกตากว้าง จ้องมองบุตรสาวอย่างฉุนเฉียว “แม่ของเจ้าป่วยแล้ว เจ้าจะไปเช่นนี้หรือ เหตุใดข้าจึงได้คลอดคนอกตัญญูเช่นเจ้าออกมานะ”

“ท่านป่วย ข้าก็จะไปเชิญท่านหมอมาดูท่าน จัดยาให้ท่าน แต่ท่านบอกว่าไม่จำเป็นไม่ใช่หรือ? ในเมื่อไม่จำเป็นก็ย่อมไม่มีอะไรร้ายแรง ข้าจะกลับไปทำงาน มีอะไรผิดเล่า” อันอวี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

อวี้ซื่อเงียบไป

ฮูหยินเซี่ยบัดนี้ไม่ใช่แม่นางน้อยตาบอดอีกต่อไปแล้ว พอมีบุรุษหนุนหลังนาง บรรยากาศรอบกายล้วนไม่เหมือนเดิมแล้ว

“หากท่านแม่ไม่มีอะไรจะกล่าว เช่นนั้นข้าต้องขอตัวก่อนแล้ว”

“โอ๊ย” อวี้ซื่อล้มตัวลง “ปวดหัวเหลือเกิน”

อันอวี้หยุดฝีเท้า หันกลับไปมองมารดา

“เจ้าไม่ได้กลับมานานถึงเพียงนี้ ข้าบ่นเจ้าเพียงไม่กี่คำก็ไม่ได้เลยหรือ?” อวี้ซื่อมองหน้าอันอวี้ “รินน้ำให้ข้าสักจอกซิ หัวของข้าปวดเหลือเกิน”

“ข้าจะไปเชิญท่านหมอ” อันอวี้รินน้ำแล้วส่งให้ ก่อนจะเอ่ยเรื่องไปเชิญท่านหมอขึ้นมาอีกรอบ

“นี่เป็นโรคเก่าของข้า เจ้าก็ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลายปีมานี้ข้าใช้ชีวิตอย่างไร โรคเก่าของข้าจะกำเริบขึ้นมาเป็นพัก ๆ” อวี้ซื่อกล่าว

“ท่านรออยู่ที่นี่” อันอวี้เดินออกไป

ไม่นานนัก นางก็เชิญท่านหมอมา

ท่านหมอคลำชีพจรของอวี้ซื่อแล้วกล่าวว่า “ร่างกายของฮูหยินอ่อนแอเล็กน้อย เพียงแค่ทานของบำรุงกำลังดี ๆ ให้มาก อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรร้ายแรง”

“ต้องทานโสมคนและรังนกบำรุงกำลังใช่หรือไม่เจ้าคะ?” อวี้ซื่อเอ่ยถาม

ท่านหมอมองอวี้ซื่อด้วยสายตาแปลก ๆ “นั่นไม่จำเป็น เพียงแค่ทานอาหารธรรมดาทั่วไปให้มากก็ใช้ได้แล้ว”

“ขอบคุณท่านหมอเจ้าค่ะ” อันอวี้ส่งท่านหมอกลับไป

หลังจากท่านหมอกลับไปแล้ว อันอวี้ก็เอ่ยถามเสียงขรึม “ว่ามาเถอะ ครั้งนี้ท่านหลอกข้ากลับมาด้วยเหตุใด ท่านทำเช่นนี้รู้หรือไม่ว่าจะอันตรายต่อตัวท่านเอง หากวันหนึ่งท่านป่วยจริง ๆ แต่ข้าไม่เชื่อท่าน ท่านจะเป็นอย่างไร”

“ข้าก็ป่วยแล้วจริง ๆ” อวี้ซื่อเอ่ย “ข้าโกหกเจ้าที่ใดกัน”

“ได้ เช่นนั้นก็มารักษาอาการป่วยของท่าน” อันอวี้กล่าว “ท่านหมอบอกว่าท่านควรกินของดี ๆ เพื่อบำรุงกำลัง ข้าจะให้ค่าใช้จ่ายท่านหนึ่งตำลึงเงินทุกเดือน นี่คงพอให้ท่านได้ทานอาหารดี ๆ ทุกวันแล้วกระมัง”

“เงินเล็กน้อยเท่านั้นจะซื้ออะไรได้ ข้าไม่ต้องการเงินเล็กน้อยนั่นของเจ้า ข้าอยากหาเงินด้วยตนเอง เจ้าเป็นลูกศิษย์ร้านสาวทอผ้าไม่ใช่หรือ ไม่สู้เจ้าสอนข้าจะดีกว่า งานเย็บปักของข้าจะได้ดีขึ้น เช่นนี้ก็ไม่ต้องการเงินเล็กน้อยนั่นของเจ้าแล้ว” อวี้ซื่อยื่นผ้าที่กำลังปักให้บุตรสาว

อันอวี้ชำเลืองมองแวบหนึ่ง

นางรู้ว่าฝีมือเย็บปักของอวี้ซื่อไม่เลว ตอนที่นางยังไม่ตาบอด นางก็ได้เรียนรู้การเย็บปักกับอวี้ซื่อสักพัก ด้วยเหตุนี้อาจารย์ฟ่านจึงชอบงานที่นางทำ

ถึงแม้นางและอวี้ซื่อไม่เหมือนแม่กับลูกสาวแม้แต่น้อย แต่ในเรื่องงานด้านการเย็บปักนี้ ทั้งสองคนมีความคล้ายคลึงกันอย่างหาได้ยาก

“ท่านอยากเรียนเย็บปักก็ไปหาอาจารย์ฟ่านได้โดยตรง หากนางยินดีรับท่าน ท่านก็เรียนได้แล้ว ข้ารับปากอาจารย์ฟ่านแล้วว่าจะไม่นำวิชาไปเผยแพร่ภายนอก จึงไม่สามารถสอนท่านได้”

“ข้าอายุปูนนี้แล้ว ยังไปเรียนเย็บปักกับแม่นางน้อย หากเล่าลือออกไปจะไม่น่าขายหน้าหรอกหรือ” อวี้ซื่อหัวเราะเยาะ “เจ้าเป็นลูกสาวของข้า สอนข้าเล็ก ๆ น้อย ๆ จะเป็นไรไป”

“ไม่ได้ พวกเราไม่อาจเปิดเผยวิชาให้ผู้อื่น”

“ข้าเป็นผู้อื่นหรือ?”

“ท่านแม่ หากท่านไม่มีเรื่องอื่น ข้ายุ่งมากจริง ๆ ต้องกลับไปทำงานต่อแล้ว” ท้ายที่สุดอันอวี้จึงเข้าใจว่าครั้งนี้อวี้ซื่อเรียกนางมาไม่ใช่เพราะเงินดังแต่ก่อน แต่อยากได้วิชาของนาง

“โอ๊ย หัวของข้าปวดนัก ลูกสาวอกกตัญญูคนนี้ นี่เจ้าจะทำให้ข้าโมโหตายหรือไร โอ๊ยยย” อวี้ซื่อเอ่ยด้วยท่าทีเจ็บปวดพลางนวดขมับไปด้วย

อันอวี้ลุกขึ้น “ท่านดูแลตนเองให้ดี ๆ”

“อย่าเพิ่งไป” อวี้ซื่อคว้าอันอวี้ไว้ “ข้าไม่ให้เจ้าไป หากเจ้ากล้าไปก็ลองดู!”

อันอวี้สลัดอวี้ซื่อออก

ทั้งสองยื้อยุดกันอยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ อวี้ซื่อก็ปล่อยมือ อันอวี้พลันล้มลงไปข้างหลัง

ทว่าเพียงแค่อันอวี้กำลังจะล้มลงนั้นเอง มือคู่หนึ่งก็เอื้อมมาคว้าไหล่นางเอาไว้

“ไม่เป็นไรกระมัง” อันอี้หางเอ่ยถาม

อันอวี้ส่ายหัวเล็กน้อย “ไม่เป็นไร”

เมื่อเห็นอันอี้หาง อวี้ซื่อพลันรู้สึกผิดขึ้นมา

“หางเอ๋อร์ เจ้ากลับมาได้อย่างไร?”

[1] ภาพอักษรอายุยืนนับร้อย คือ ภาพที่ประกอบด้วยตัวอักษรอายุยืนนับร้อยรูปที่แตกต่างกันออกไป

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย
Status: Ongoing
อ่านนิยายสาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายเรื่องย่อ: 'มู่ซืออวี่ทะลุมิติมาเลี้ยงลูกตัวร้ายแบบนี้ เห็นทีจะต้องร้ายตามบทถึงจะมีชีวิตรอด แต่ลูกชายคนโตของนางกลับจับผิดได้ตั้งแต่วันแรก หากไม่อยู่ในบทเดิม เกรงว่าผู้คนจะคิดว่าวิญญาณสิงสู่ ชีวิตน้อยๆ ก็อาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ มู่ซืออวี่จึงต้องเริ่มภารกิจแกล้งร้ายให้ครอบครัวตัวร้ายตายใจ จะว่าไป ลูกน้อยของนางก็ช่างน่ารักเสียนี่กระไร ใครจะไปใจร้ายใส่เด็กสองคนนี้ลง มู่ซืออวี่ตัดสินใจแล้วว่า ใครที่กล้าแกล้งวายร้ายตัวน้อยของนาง จะต้องโดนสั่งสอนเสียให้เข็ด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset