สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 371 ไม่เพียงพุ่งเป้าไปที่ตระกูลโหยว

บทที่ 371 ไม่เพียงพุ่งเป้าไปที่ตระกูลโหยว

บทที่ 371 ไม่เพียงพุ่งเป้าไปที่ตระกูลโหยว

สองสามวันผ่านไป ท้ายที่สุดอาการของโหยวหรงอวี้จึงค่อย ๆ คงที่ขึ้น

ท่านหมอจูออกมาจากห้อง เขาถอนหายใจหนึ่งครั้งแล้วเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ดีขึ้นแล้ว อีกไม่กี่วันก็ตกสะเก็ด ตอนนี้สิ่งที่ควรทำคืออย่าให้นางเกาไปทั่ว หากนางทำให้แผลเปิดจะเป็นการทำลายรูปโฉมตนเอง”

“ขอบคุณท่านหมอ” เย่อิงเกอกล่าวด้วยความซาบซึ้ง

“พวกเจ้าพบที่มาของโรคฝีดาษหรือยัง?” ท่านหมอจูเอ่ยถาม

“ผลการตรวจสอบออกมาแล้วเจ้าค่ะ” เย่อิงเกอฉุนเฉียว “แม่นมเป็นพวกกินในคายนอก*[1] นางเอาเสื้อผ้าของเด็กที่เป็นโรคฝีดาษให้หรงอวี้ใส่ เป็นเหตุให้เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้น”

“แม่นมคนนั้นไม่มีอาการกระมัง?”

“ข้าส่งคนไปเฝ้านางแล้ว นางยังไม่มีอาการ ในเมื่อนางจงใจทำ เช่นนั้นย่อมระมัดระวังตนเป็นแน่ นางจะยอมติดโรคไปด้วยได้อย่างไร?”

ลู่เซวียนมองไปทางห้องคนป่วย “เหตุใดสหายฉู่ยังไม่ออกมา?”

“เขาเหนื่อยเกินไป…” ท่านหมอจูเอ่ย “สหายร่วมชั้นเรียนของท่านคอยระมัดระวัง อีกทั้งยังดูแลเด็กคนนี้ดีมาก ต้องขอบคุณเขา ข้าถึงได้มีเวลาว่างตระเตรียมยา”

“ท่านหมอจู” พ่อบ้านจวนโหยวเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน “ท่าไม่ดีแล้วขอรับ ในเมืองมีคนอื่นเป็นโรคฝีดาษแล้ว”

“ผู้ใดบอก?” ลู่เซวียนเอ่ยถาม

“เมื่อครู่นักการที่อยู่ด้านนอกคุยกัน ตอนนี้จะทำอย่างไรดีขอรับ?” พ่อบ้านเอ่ยขึ้น “นักการกล่าวว่าพวกเขาจะส่งคนที่มีอาการของโรคฝีดาษมาที่จวนโหยวเพื่อให้ท่านรักษา”

ท่านหมอจูมองเย่อิงเกอ “ฮูหยินโหยว หากท่านยินยอม ข้าจะให้พวกเขาส่งมา แต่หากท่านไม่ยินยอม เช่นนั้นข้าจะให้พวกเขาจัดหาสถานที่อื่น”

“ด้านหลังมีเรือนถูกทิ้งร้างไม่ได้ใช้งานหลังหนึ่ง ข้าเห็นว่าเรือนหลังนั้นยังอยู่ในสภาพดี ปัดกวาดเล็กน้อยก็คงพอใช้ได้ หากท่านยินยอม เช่นนั้นก็เปิดเรือนหลังนั้นรับรองผู้ป่วยเถอะ”

เย่อิงเกอรู้ว่าทั่วทั้งเมืองฮู่เป่ยมีท่านหมอมากมาย แต่นอกจากท่านหมอจูแล้ว ไม่มีท่านหมอคนอื่น ๆ ที่ยินดีตรากตรำกับโรคนี้ หากนางไม่ยอม ท่านหมอจูย่อมไม่อาจรั้งอยู่ที่ตระกูลโหยวเพื่อรักษาลูกสาวของนางเพียงคนเดียวได้

“ข้ายินยอม”

หลังจากเย่อิงเกอตอบตกลง เหล่านักการก็ส่งคนไข้ที่มีอาการของโรคฝีดาษเข้ามาทางประตูหลัง

ลู่เซวียนสวมใส่ผ้าปิดหน้าตา คอยช่วยดูแลผู้ป่วยอีกแรง

“สหายลู่ เจ้าอย่าเอามือไปแตะ หากเจ้าติดขึ้นมาคงไม่ดีแน่” ฉู่หลิงพยายามไล่ลู่เซวียนออกไป

“ท่านอาจูบอกวิธีป้องกันข้าแล้ว ข้าจะระมัดระวังเป็นอย่างดี” ลู่เซวียนกล่าว “นอกจากนี้พี่สะใภ้ยังนำยาป้องกันโรคมาให้ข้าแล้วด้วย นางกล่าวว่ามันสามารถป้องกันโรคฝีดาษได้ หลังทานเข้าไปย่อมไม่มีอะไรต้องห่วง”

“สิ่งนี้ข้าก็ได้ยินมาเช่นกัน” ฉู่หลิงกล่าว “มียาป้องกันโรคฝีดาษอยู่จริง ๆ”

“ดังนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องห่วงข้าแล้ว” ลู่เซวียนมองคนทั้งห้าที่เพิ่งถูกส่งตัวเข้ามา “เพียงแต่จู่ ๆ ก็มีคนไข้เพิ่มขึ้นมาห้าคน นี่บังเอิญจริงหรือ? หากควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ เมืองฮู่เป่ยทั้งเมืองคงตกอยู่ในอันตราย”

เมื่อมีคนไข้โรคฝีดาษรายอื่นเพิ่มเข้ามา ลานหรรษาจำต้องหยุดการก่อสร้างเอาไว้เสียก่อน

สิ่งที่ราษฎรหวาดกลัวที่สุดคือภัยพิบัติธรรมชาติและภัยพิบัติจากมนุษย์ ภัยพิบัติจากมนุษย์หลบเลี่ยงได้ ทว่าภัยธรรมชาตินั้นไม่อาจหลีกพ้น นั่นล้วนขึ้นอยู่กับว่าฟ้าจะไว้ชีวิตหรือไม่

ในเมืองฮู่เป่ยเกิดการทะเลาะเบาะแว้งทุกวัน เหล่านักการต่างก็ยุ่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทว่าตอนนี้พวกเขากลับยุ่งมากกว่าเดิมเสียอีก

“เกิดเรื่องแล้วขอรับ” ต้าหนิวพุ่งเข้ามาในห้องที่ลู่อี้กำลังทำงาน “ใต้เท้า มีคนเทน้ำมันใส่จวนโหยวอีกทั้งยังจุดไฟแล้ว หากไม่ได้พบทันท่วงที เกรงว่าไฟคงไหม้ไปแล้วขอรับ”

“จับตัวผู้ก่อเหตุได้หรือยัง?”

“หนีไปแล้วขอรับ”

“ไปจับมา” ลู่อี้ยิ้มเยือกเย็น

“ขอรับ”

ต้าหนิวยังไม่ไป เขากล่าวต่อไปว่า “ใต้เท้า มีคนกำลังแพร่ข่าวลือไปทุกหนทุกแห่งเพื่อโจมตีชื่อเสียงของท่านขอรับ”

“จับมาก่อนแล้วค่อยไต่สวน” ลู่อี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

ต้าหนิวจากไปเพียงครู่เดียว เวินเหวินซงก็เข้ามาอีกครั้ง

เวินเหวินซงเอ่ยว่า “นี่ไม่ดีเลย สหายลู่”

“มีคนกำลังพุ่งเป้ามาที่ข้า” ลู่อี้มั่นใจแล้ว

“รู้ได้อย่างไรว่ามีคนพุ่งเป้ามาที่ท่าน?” เซี่ยคุนเอ่ยถาม

“แรกเริ่มอาจเป็นการแย่งชิงทรัพย์สมบัติของตระกูลโหยว ทว่ามีคนเล็งเห็นว่าโรคฝีดาษที่ปรากฏขึ้นเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาพอดี ดังนั้นพวกเขาจึงสร้างเรื่องให้ใหญ่โตกว่าเดิม หากในเมืองฮู่เป่ยมีคนติดโรคฝีดาษเป็นจำนวนมากและล้มตาย เช่นนั้นก็จะเป็นประวัติด่างพร้อยที่สุดในเส้นทางขุนนางของข้า บางทีข้าอาจจะรักษาตำแหน่งขุนนางไว้ไม่ได้ด้วยซ้ำ” ลู่อี้เอ่ยเสียงเรียบ

“ท่านระมัดระวังตัวจริง ๆ ก่อนหน้านี้ข้าตรวจสอบพบว่าฮ่องเต้ได้จัดเตรียมกองตรวจตรานอกเครื่องแบบออกตรวจการ พวกเขาตรวจสอบขุนนางไปทั่วทุกหนแห่ง หากดูจากเส้นทางออกตรวจสอบคงใกล้ถึงเมืองฮู่เป่ยแล้ว หากครานี้มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเมืองฮู่เป่ย นับประสาอะไรกับหมวกขุนนางของท่าน เกรงว่าแม้แต่ชีวิตคงรักษาไว้ไม่ได้!” เซี่ยคุนกล่าว “มีคนคิดจะลงโทษท่าน แม้ว่าใต้เท้าลู่ของเราจะเป็นขุนนางได้ไม่นาน แต่ดูเหมือนว่าจะมีหลายคนอยากให้ท่านตายเสียแล้ว”

“ตอนนี้จะทำอย่างไร?” เวินเหวินซงเอ่ยถาม

“ทหารมาใช้ขุนพลต้าน น้ำมาใช้ดินต้าน*[2] จะร้อนใจไปไย?” ลู่อี้เอ่ยขึ้น “จัดการเรื่องโรคฝีดาษเสียก่อน”

ท่านหมอจากร้านขายสมุนไพรทั่วทั้งเมืองฮู่เป่ยถูกเรียกตัวมาศาลาว่าการ พร้อมทำข้อตกลงว่าจะไม่เก็บภาษีพวกเขาภายในสามปี นอกจากนี้ยังจะตบรางวัลอย่างการมอบป้ายสรรเสริญคุณความดีให้ด้วย หากพวกเขาออกตรวจคนไข้นอกสถานที่

ขณะเดียวกัน มู่ซืออวี่ก็ออกมาให้สัญญากับคนป่วยว่า พวกเขาสามารถนำใบสั่งยาไปยังโรงหมอถงตั๋วเพื่อรับยาได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นโรคฝีดาษหรือไม่ ตราบใดที่พวกเขานำใบสั่งยาที่ได้รับไปก็สามารถรับยาได้โดยไม่ต้องชำระเงิน

แน่นอนว่านางไม่ได้อยากให้ท่านหมอจูแบกรับค่าใช้จ่ายส่วนนี้ เพียงแต่อยากลดความเสียหายจากโรคฝีดาษให้ได้มากที่สุดเท่านั้น ไม่มีผู้ใดรู้ว่าในฝูงชนมากมายมีผู้ใดบ้างเป็นโรคฝีดาษ คนทั่วไปล้วนคิดถึงผลประโยชน์ส่วนตนเป็นหลัก เหตุใดจะไม่ไปตรวจหาโรคหากไม่ต้องเสียเงินเล่า? ไม่เพียงแต่การตรวจอาการเท่านั้นที่ไม่มีค่าใช้จ่าย ตัวยาก็ยังให้มาเปล่า ๆ สำหรับคนยากจนข้นแค้น นี่ถือเป็นเรื่องดี ๆ ที่หล่นลงมาจากฟากฟ้า

มู่ซืออวี่ทำเช่นนี้ หนึ่ง เพราะนางอยากแบ่งเบาความกดดันของลู่อี้ สอง เพราะนางอยากกระจายชื่อเสียงของโรงหมอถงตั๋วออกไป สาม นางอยากให้คนทั่วไปเกิดความประทับใจและให้พวกเขารู้ว่า ‘เรือนกรุ่นฝัน’ ดีเพียงใด

ภายในรถม้า หลี่หงซูมองมู่ซืออวี่ในกลุ่มคนด้วยสายตาซับซ้อน

ชิงไต้เอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินลู่ผู้นี้ช่างใจกว้างจริง ๆ ในเมืองมีผู้คนมากเพียงนี้ นั่นเป็นเงินมากน้อยเพียงใดที่นางเสียไป?”

“เจ้าคิดว่านางจะยอมเสียเปรียบหรือ?” หลี่หงซูเอ่ย “แผนการลานหรรษาเป็นพวกเขาสามีภรรยาที่สร้างขึ้นมา เมื่อเรื่องโรคฝีดาษจบลง และลานหรรษาสร้างเสร็จ นางก็จะมีชื่อเสียงที่ดีงามจากหมู่ราษฎร ถึงตอนนั้นยังจะขาดลูกค้าอีกหรือ?”

“แม้จะเป็นเช่นนั้น ความเสียหายครั้งนี้ก็เป็นเงินจำนวนมหาศาล นั่นไม่สามารถหากลับมาได้ชั่วข้ามคืนนะเจ้าคะ”

“ผู้ใดเป็นนายอำเภอเมืองฮู่เป่ย?” หลี่หงซูเอ่ยถาม

“ใต้เท้าลู่เจ้าค่ะ”

“ใต้เท้าลู่เกี่ยวข้องอะไรกับนาง?”

“สามีนางเจ้าค่ะ”

“โรคฝีดาษระบาดทั้งเมืองฮู่เป่ย เป็นภัยธรรมชาติ มนุษย์ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ทว่านางใจกว้างเพียงนี้ ไม่เพียงแต่สร้างความมั่นใจให้ราษฎรเมืองฮู่เป่ยเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้อื่นเห็นความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของเมืองฮู่เป่ยและความสำเร็จในเส้นทางขุนนางของใต้เท้าลู่อีกด้วย ความสำเร็จครั้งนี้ของใต้เท้าลู่จะปูทางเขาเข้าสู่แวดวงขุนนาง หากลานหรรษาสร้างเสร็จสิ้น เมืองฮู่เป่ยก็จะมีชื่อเสียง เมื่อมองจากแง่มุมทางการค้า นี่ก็ถือเป็นความสำเร็จอีกประการหนึ่ง”

“เจ้าคิดว่านางเสียประโยชน์ แต่อันที่จริงแล้วนางกำลังปูทางให้สามีของตนเอง เพียงแต่เรื่องเหล่านี้ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น มีเพียงผู้ที่รู้จักนางดีเท่านั้นที่จะเข้าใจ”

สายตาของหลี่หงซูเลื่อนลอย

“ข้ามักจะถูกเปรียบเทียบกับเจิ้งซูอวี้ แต่ครั้งนี้ข้าจำต้องยอมรับว่า นางได้พบกับพันธมิตรที่ดีจริง ๆ ท้ายที่สุดแล้วข้าเทียบกับเจิ้งซูอวี้ไม่ได้แม้แต่น้อย”

[1] กินในคายนอก หมายถึง รับผลประโยชน์จากทางหนึ่ง แต่ไปทุ่มเทให้กับอีกทางหนึ่ง

[2] ทหารมาใช้ขุนพลต้าน น้ำมาใช้ดินต้าน หมายถึง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ให้พลิกแพลงรับมือไปตามสถานการณ์

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย
Status: Ongoing
อ่านนิยายสาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายเรื่องย่อ: 'มู่ซืออวี่ทะลุมิติมาเลี้ยงลูกตัวร้ายแบบนี้ เห็นทีจะต้องร้ายตามบทถึงจะมีชีวิตรอด แต่ลูกชายคนโตของนางกลับจับผิดได้ตั้งแต่วันแรก หากไม่อยู่ในบทเดิม เกรงว่าผู้คนจะคิดว่าวิญญาณสิงสู่ ชีวิตน้อยๆ ก็อาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ มู่ซืออวี่จึงต้องเริ่มภารกิจแกล้งร้ายให้ครอบครัวตัวร้ายตายใจ จะว่าไป ลูกน้อยของนางก็ช่างน่ารักเสียนี่กระไร ใครจะไปใจร้ายใส่เด็กสองคนนี้ลง มู่ซืออวี่ตัดสินใจแล้วว่า ใครที่กล้าแกล้งวายร้ายตัวน้อยของนาง จะต้องโดนสั่งสอนเสียให้เข็ด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset