สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 396 ผู้ตรวจการหลู่เหยียน

บทที่ 396 ผู้ตรวจการหลู่เหยียน

บทที่ 396 ผู้ตรวจการหลู่เหยียน

สองวันต่อมา ขบวนยิ่งใหญ่เกรียงไกรขบวนหนึ่งก็เข้ามาในเมืองฮู่เป่ย

ขบวนขนาดใหญ่นี้ดึงดูดความสนใจของเหล่าราษฎรได้อย่างรวดเร็ว

ขบวนนั้นตรงเข้าไปที่ศาลาว่าการ

ตอนที่ลู่อี้ได้รับข่าว เขากำลังสืบเรื่องศพนิรนามอยู่ที่ชนบท เมื่อรู้ว่าผู้ที่มาเป็นใคร เขาจึงพักคดีไว้แล้วรีบรุดกลับไปยังศาลาว่าการพร้อมกับคนของตน

“ได้ยินว่าเป็นขุนนางใหญ่”

“ใครหรือ?”

“ผู้ตรวจการขุนนางท้องที่”

“ผู้ตรวจการขุนนางท้องที่มีอำนาจตรวจสอบขุนนางทุกคน ขุนนางทั่วหล้าล้วนต้องเคารพเขา ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงมาที่เมืองฮู่เป่ยของเรา หรือว่ามาเพราะใต้เท้าลู่?”

“ใต้เท้าลู่รักราษฎรราวกับลูก ใต้เท้าผู้ตรวจการคงตรวจสอบอะไรจากเขาไม่ได้กระมัง?”

“นั่นก็พูดยาก ขุนนางบางคนดูผิวเผินนั้นตัวเป็นมนุษย์แต่นิสัยเป็นสุนัข ผู้ใดจะรู้ว่าลับหลัง…”

“เจ้าเป็นผู้ใด? นึกไม่ถึงว่าจะกล้าใส่ความใต้เท้าของเรา พี่น้องทั้งหลาย ตีเขาซะ!”

เหล่าราษฎรเห็นคนของลู่อี้กลับมาจึงลดเสียงลง

ลู่อี้นำทัพผู้ใต้บังคับบัญชาไปพบผู้ตรวจการหลู่

ผู้ตรวจการหลู่ผู้นี้คือหลู่เหยียนที่ลอบสังเกตการณ์ลู่อี้ ตอนนั้นเขากลับไปโดยไม่บอกกล่าว กลับมาครั้งนี้หลู่เหยียนแตกต่างจากครั้งที่แล้วมาก อีกฝ่ายไม่ได้สวมชุดนอกเครื่องแบบคอยตรวจสอบอย่างลับ ๆ อีกต่อไป แต่กลับปรากฏตัวในชุดขุนนางอย่างสมเกียรติพร้อมกับผู้ใต้บังคับบัญชา

หลู่เหยียนจิบชา ปล่อยให้ลู่อี้ยืนอยู่เบื้องหน้าโดยไม่เปิดปากเอ่ยคำใด

ผ่านไปครู่หนึ่ง หลู่เหยียนมองลู่อี้แล้วลอบพยักหน้าเบา ๆ

อายุน้อยแต่กลับสงบนิ่งได้เพียงนี้เชียว หากพิจารณาจากผลงานที่ผ่านมาของอีกฝ่าย หลู่เหยียนยอมรับเลยว่าลู่อี้เป็นขุนนางชั้นยอด แต่ขุนนางชั้นยอดผู้นี้ดูจะโอ้อวดเกินไปและดึงดูดความเกลียดชังของผู้คนไม่น้อย ไม่รู้ว่าจะไปได้ไกลเพียงใด

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงมาที่นี่?”

“ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ”

“ข้าได้รับหนังสือร้องเรียนยี่สิบฉบับ ทั้งหมดนั้นเป็นคำร้องเรียนเรื่องเจ้า ข้าในฐานะข้าหลวงผู้ตรวจราชการ เมื่อเกิดเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ขึ้นย่อมต้องมาตรวจสอบให้กระจ่าง” หลู่เหยียนแค่นเสียงกล่าว

“ไม่ทราบว่าผู้ใดร้องเรียนหรือขอรับ?” ลู่อี้เอ่ยถาม

“ดูเหมือนใต้เท้าลู่จะสร้างศัตรูไว้ไม่น้อย ไม่เช่นนั้นคงไม่ถึงกับคาดเดาไม่ออกว่าเป็นฝีมือใคร” หลู่เหยียนกล่าว “จนกว่าข้าจะตรวจสอบเรียบร้อย ตามกฎแล้วเจ้าไม่อาจออกจากจวนได้ ดังนั้นเจ้าอยู่นิ่ง ๆ ที่นี่รอข้าเรียกตัวเถอะ”

เวินเหวินซงอยากจะกล่าวบางอย่าง ทว่าเมื่อเห็นลู่อี้ส่ายหัว จึงทำได้เพียงกลืนคำพูดลงไป

หลู่เหยียนจำเป็นต้องพักที่ศาลาว่าการชั่วคราว การที่มู่ซืออวี่และคนอื่น ๆ จะอยู่อาศัยที่นี่จึงไม่เหมาะ ดังนั้นทั้งครอบครัวจึงย้ายกลับไปยังเรือนตระกูลลู่

ระหว่างนี้ลู่อี้ไม่อาจออกไปข้างนอกได้ มู่ซืออวี่กังวลว่าเขาอยู่เพียงลำพังแล้วจะคิดฟุ้งซ่าน นางจึงพักงานทั้งหมดมาคอยอยู่เป็นเพื่อน หากมีเรื่องอะไรที่นางต้องจัดการก็ให้ส่งมาที่เรือน นางจะจัดการงานต่าง ๆ อยู่ที่นี่

“ต้องการให้ช่วยหรือไม่?” ลู่อี้เห็นนางกัดปลายพู่กัน ท่าทีราวกับกำลังขบคิดอย่างหนัก

เขาไม่ได้อยู่กับนางนานเพียงใดแล้ว?

นับตั้งแต่มาเป็นนายอำเภอ เรื่องราวน้อยใหญ่ทั้งหลายล้วนประเดประดังเข้ามา เขาไม่อาจหยุดพักได้ เพราะทันทีที่หยุดพักก็จะมีผู้คนไม่น้อยเผชิญกับความลำบาก

เขาไร้ความละอายใจต่อชาวประชาแต่กลับละอายใจต่อนาง

“คนอื่นล้วนไม่เป็นไร ทว่าสองคนนี้ ตอนนี้ข้าไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดี”

มู่ซืออวี่บอกลู่อี้เรื่องที่จะเลื่อนตำแหน่งให้คนที่ทำผลงานโดดเด่นในระยะนี้

“พวกเขาทั้งสองคนล้วนขยันหมั่นเพียร คนผู้นี้ชื่อหลี่ซวง เขาคล่องแคล่วว่องไวมีอัธยาศัยดีเยี่ยมทว่ามีเล่ห์เหลี่ยมมากมาย ควบคุมยาก นอกจากนี้ยังมีจูหลี เขาไม่เก่งในการพูดจาพาที ทว่าทุ่มเทแรงกายแรงใจให้ลานหรรษาเป็นอย่างมาก ข้าอยากเลื่อนตำแหน่งหนึ่งในสองคนนี้ให้เป็นผู้ดูแล”

“ผู้ดูแลมีได้เพียงคนเดียวหรือ?”

“ท่านหมายความว่าจะให้ผู้ดูแลสองคนคอยตรวจสอบและคานอำนาจกันงั้นหรือ?”

“คนหนึ่งเป็นผู้ดูแลใหญ่ คนหนึ่งเป็นผู้ดูแลรอง เหมือนนายอำเภอและปลัดอำเภอ” ลู่อี้กล่าว “พวกเขาทั้งสองล้วนสร้างความชอบไว้มากมาย และอุปนิสัยของพวกเขาแต่ละคนก็ส่งเสริมกันเป็นอย่างดี หากพวกเขาทำงานเข้าขากันได้ ภายหน้าพวกเขาก็จะช่วยเจ้าแก้ไขปัญหามากมาย ลานหรรษายังอยู่ในระหว่างก่อสร้าง ยังมีคนอีกมากที่ต้องคอยดูแลจัดการเมื่อลานหรรษาสร้างเสร็จ หากเจ้าพอใจพวกเขา ระหว่างนี้ก็ค่อย ๆ สังเกตไป หากไม่มีปัญหาใด ๆ ก็เก็บพวกเขาไว้”

“สามีกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ก่อนหน้านี้เป็นข้าเองที่เจาะเข้าไปในโพรงเขาควาย โครงการใหญ่ถึงเพียงนี้ หากมีผู้ดูแลขึ้นมาอีกคนย่อมง่ายกว่า”

ขณะที่มู่ซืออวี่กล่าว นางก็เขียนข้อสรุปลงไป

เมื่อเขียนเสร็จแล้ว มู่ซืออวี่จึงเอ่ยว่า “ท่านอยากออกไปเดินเล่นที่สวนหรือไม่? กว่าท่านจะได้พักผ่อนสักครั้งไม่ง่ายเลย ไม่ต้องเอาแต่อ่านตำราแล้ว”

ลู่อี้จูงมู่ซืออวี่เดินออกไป

“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้าแล้ว ข้าไม่เป็นไร” ลู่อี้เอ่ย “ผู้ตรวจการหลู่เป็นขุนนางที่ยุติธรรม เขาไม่เคยจับคนผิด เกรงว่าคนที่เขียนหนังสือร้องเรียนให้ผู้ตรวจการหลู่จะต้องผิดหวังแล้ว”

ทันใดนั้นเซี่ยคุนได้กระโดดเข้ามาทางกำแพง

เขาอยู่ในสวนซึ่งไม่ไกลจากมู่ซืออวี่และลู่อี้มากนัก

ลู่อี้เลิกคิ้วถาม “ผู้ตรวจการหลู่ไม่ให้ข้าออกไปข้างนอก แต่ไม่ได้บอกว่าพวกท่านเข้ามาไม่ได้ ท่านทำอะไรน่ะ?”

“พวกเราไปคุยกันในห้องตำราเถอะ!” เซี่ยคุนเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ลู่อี้คาดเดาบางอย่างได้จึงเอ่ยว่า “ได้”

จากนั้นจึงหันกลับไปบอกกับมู่ซืออวี่ “อีกเดี๋ยวข้าจะมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”

มู่ซืออวี่มองร่างของพวกเขาจากไป

“ฉานอี”

ฉานอีเป็นหัวหน้าของผู้คุ้มกันหญิงทั้งสิบสองคน

“ฮูหยิน” ฉานอีเดินเข้ามา

“เจ้าไปตรวจสอบมาว่าเกิดอะไรขึ้น”

“เจ้าค่ะ”

สีหน้าของเซี่ยคุนเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก จะต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน บางทีอาจจะเป็นเรื่องร้ายแรง

ในห้องตำรา เซี่ยคุนเคาะโต๊ะแล้วกล่าวต่อ “นายกองโอวหยางผู้นี้นิสัยเหี้ยมโหด ไม่ว่าเขาจะนำกองทหารไปที่ใดก็เลวร้ายเสียยิ่งกว่าโจรป่า บัดนี้จู่ ๆ มาปรากฏตัวที่เมืองฮู่เป่ย ทั้งยังต้องการตรวจสอบท่านร่วมกับผู้ตรวจการหลู่ ข้าเกรงว่าเขาจะเป็นผู้ไม่หวังดี จริงสิ ผู้บัญชาการเจี่ยงที่ตายอยู่ในมือท่านตอนนั้นก็เป็นคนของเขา”

“ข้าพอจะคาดเดาได้แล้ว” ลู่อี้กล่าว “ข้ารู้ว่าเรื่องครั้งนี้ต้องเกี่ยวข้องกับฟางโจวอวี่”

“หากมีเพียงผู้ตรวจการหลู่รับผิดชอบการตรวจสอบครั้งนี้ พวกเรายังพอมั่นใจได้ถึงเก้าส่วน แต่ถ้าเรื่องออกมาเป็นเช่นนี้ พวกเราคงไม่มีโอกาสชนะแล้ว”

“ไม่ต้องรีบร้อน” ลู่อี้กล่าว “ท่านลืมไปแล้วหรือว่าที่นี่ยังมีเจียงเหล่าอยู่อีกคน?”

“เขา? จิ้งจอกเฒ่าผู้นั้นจะปกป้องท่านหรือ? ท่านก็เห็นว่าช่วงนี้เขาไม่ขยับราวกับกำลังจำศีล ไม่โผล่หน้าออกมาแม้แต่น้อย หากท่านเดิมพันกับเขาแล้วเกิดผิดพลาดขึ้นมา นั่นหมายถึงชีวิตเชียวนะ”

“ในมือข้ามีสิ่งที่เขาต้องการ เขาไม่มีทางปล่อยให้ข้าตายและหลุดจากตำแหน่งเด็ดขาด อย่างไรเสียก็ไม่มีผู้ใดเป็นต้นไม้เงิน*[1] ให้เขากอบโกยได้มากเท่าข้าอีกแล้ว” ลู่อี้กล่าว

เซี่ยคุนนึกถึงเจียงเก๋อเหล่าผู้นั้นขึ้นมาเมื่อใดก็นึกแค้นใจเมื่อนั้น

ตาเฒ่านั่นอยู่ที่เมืองฮู่เป่ยนานถึงเพียงนี้ นอกจากดูดเลือดดูดเนื้อผู้อื่นแล้วก็ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรอีก ทว่าหากอีกฝ่ายช่วยให้ลู่อี้พ้นจากมหันตภัยครั้งนี้ไปได้ เงินที่ให้ไปก็ไม่นับว่าเสียเปล่าแล้ว

“ท่านต้องการให้ข้าส่งคนไปจัดการฟางโจวอวี่…” เซี่ยคุนทำท่าปาดคอตนเอง

“ฟางโจวอวี่มีเล่ห์เหลี่ยมมากมาย ท่านคิดว่าเขาจะอยู่ที่บ้านรอให้ท่านไปฆ่าหรือ? ข้าเกรงว่าเขาจะหลบหนีไปอยู่กับนายกองโอวหยางผู้นั้นแล้ว” ลู่อี้เย้ยหยัน

ฉานอีนำข่าวที่สืบได้มาบอกมู่ซืออวี่

เมื่อมู่ซืออวี่ได้ยินว่ามีนายกองตัวปัญหาโผล่ขึ้นมาอีกคน ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังดูเป็นพวกหัวแข็ง จึงเอ่ยถามว่า “จากที่นี่ไปยังเมืองหลวงต้องใช้เวลาเท่าใด?”

“ครึ่งเดือนกระมังเจ้าคะ” ฉานอีตอบ

“ครึ่งเดือนเชียวหรือ! น้ำไกลไม่อาจดับไฟใกล้*[2]” มู่ซืออวี่พึมพำ

[1] ต้นไม้เงิน ตำนานจีนกล่าวว่า ต้นไม้เงิน เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ประเภทหนึ่งที่สามารถนำเงินและโชคลาภมาสู่ผู้คนได้

[2] น้ำไกลไม่อาจดับไฟใกล้ หมายถึง แม้จะมีความพร้อมที่จะช่วยเหลือ แต่ถ้าคนช่วยอยู่ไกลก็ไม่มีประโยชน์ เพราะอย่างไรก็มาช่วยไม่ทัน

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย
Status: Ongoing
อ่านนิยายสาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายเรื่องย่อ: 'มู่ซืออวี่ทะลุมิติมาเลี้ยงลูกตัวร้ายแบบนี้ เห็นทีจะต้องร้ายตามบทถึงจะมีชีวิตรอด แต่ลูกชายคนโตของนางกลับจับผิดได้ตั้งแต่วันแรก หากไม่อยู่ในบทเดิม เกรงว่าผู้คนจะคิดว่าวิญญาณสิงสู่ ชีวิตน้อยๆ ก็อาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ มู่ซืออวี่จึงต้องเริ่มภารกิจแกล้งร้ายให้ครอบครัวตัวร้ายตายใจ จะว่าไป ลูกน้อยของนางก็ช่างน่ารักเสียนี่กระไร ใครจะไปใจร้ายใส่เด็กสองคนนี้ลง มู่ซืออวี่ตัดสินใจแล้วว่า ใครที่กล้าแกล้งวายร้ายตัวน้อยของนาง จะต้องโดนสั่งสอนเสียให้เข็ด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset