สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 422 เรือนกระจก

บทที่ 422 เรือนกระจก

บทที่ 422 เรือนกระจก

ลู่อี้ตื่นขึ้นมาก็เห็นว่ามู่ซืออวี่ยังหลับลึก

ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่าโลกใบนี้เงียบสงบ เหลือเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น

เขาเอื้อมมือออกไปลูบคิ้วนาง

ระยะนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่รบกวนจิตใจของนาง กระทั่งหลับลึกนางยังคงขมวดคิ้ว

“ข้าไม่ใช่สามีที่ดีจริง ๆ”

ไม่เพียงแต่เขาไม่ได้ดูแลนาง แต่ยังทำให้นางเป็นห่วงเรื่องของทางการเมืองฮู่เป่ยไปด้วย

“หืม” มู่ซืออวี่พึมพำ “กี่ยามแล้ว?”

“ยามโหย่ว*[1]” ลู่อี้ตอบ “หากเจ้าอยากนอนต่อก็นอนเถิด ข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”

“ข้านอนไปสองชั่วยาม นอนต่อไม่ได้แล้ว ไม่เช่นนั้นคืนนี้ข้าคงนอนไม่หลับ” มู่ซืออวี่บังคับตนเองให้ลืมตาตื่นขึ้นมา “ท่านดูง่วงงุน นึกไม่ถึงว่าจะตื่นก่อนข้าเสียอีก”

“ข้าชินแล้ว” ลู่อี้เอ่ย “วันนี้ข้าคุยเรื่องความเป็นอยู่ของชาวบ้านกับเวินเหวินซง มีบางเรื่องที่ทำให้พวกเราลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าฮูหยินมีความคิดดี ๆ หรือไม่”

“ไหนลองบอกให้ข้าฟัง”

ลู่อี้คาดเดาว่าหลังจากฤดูหนาวผ่านพ้นไปแล้ว ผู้คนย่อมเผชิญความลำบากอีกระลอกหนึ่ง พืชผลอาจไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้

“ฤดูหนาวปีนี้แปลกจริง ๆ เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น พืชผลปีถัดไปอาจไม่เหลือรอด” มู่ซืออวี่เอ่ย “วิธีที่พวกท่านเอ่ยถึงนั้นเป็นไปได้ ทว่าวัสดุที่ใช้มีความพิเศษสักหน่อย อีกทั้งต้องใช้เงินจำนวนมาก มีวิธีที่ง่ายดายและถูกกว่า ทว่าผลลัพธ์ที่ได้ไม่ดีเพียงนั้น”

“หากฮูหยินมีวิธี นั่นย่อมดีกว่า ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร อย่างน้อยก็ยังดีกว่ารอคอยความตาย” ลู่อี้กล่าว “ฮูหยินต้องการสิ่งใด ข้าจะไปหาวิธี”

“รอให้หิมะหยุดตกแล้วค่อยว่ากันเถอะ!” มู่ซืออวี่หาว “เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง ท่านทำเรื่องอื่นไปเถิด”

สิ่งที่เอ่ยถึงคือเรือนกระจกในยุคปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขในยุคโบราณค่อนข้างจำกัด ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะทำสิ่งนั้น จำต้องทดแทนด้วยสิ่งอื่น ส่วนผลลัพธ์นั้น ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น อย่างที่ลู่อี้กล่าวว่าหากต่อสู้ยังมีโอกาสที่จะรอด หากไม่ต่อสู้ ปีหน้าราษฎรจะไม่สามารถเก็บเกี่ยวพืชผลได้ นั่นย่อมเป็นมหันตภัยของผู้คน

ชื่อเสียงของมู่ซืออวี่ในใจของราษฎรนับวันยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ไม่เพียงแต่พวกเขาฟังสิ่งที่ลู่อี้กล่าว ทว่ายังรวมไปถึงคำพูดของมู่ซืออวี่ด้วย ในความคิดของพวกเขา ฮูหยินนายอำเภอฉลาดเทียบเท่าคนบนสวรรค์แล้ว ไม่เช่นนั้นนางคงไม่สามารถออกแบบลานหรรษาที่มีชื่อเสียงโด่งดัง หรือสร้างสะพานขนาดใหญ่ของเมืองฮู่เป่ยเช่นนี้ออกมาได้ สะพานแห่งนี้เป็นสะพานที่ใหญ่ที่สุดของชาติก็ว่าได้

เพียงไม่นานเรือนกระจกก็เผยโฉมออกมา ชาวบ้านจำนวนมากรุดไปที่นั่นเพื่อลองปลูกพืช

มู่ซืออวี่ไม่รีบร้อนที่จะประสบความสำเร็จ แต่เลือกหมู่บ้านจำนวนหนึ่งเพื่อทดสอบสถานที่ แล้วรอคอยผลลัพธ์ที่ได้

“ฮูหยิน อากาศหนาวเย็นแล้ว มือท่านเย็นเฉียบไปหมดแล้วนะเจ้าคะ” จื่อซูเอ่ย “รีบกลับไปพักเถอะเจ้าค่ะ!”

มู่ซืออวี่มองโรงเรือนข้างหน้านาง ก่อนจะส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “มาก็มาแล้ว จะละทิ้งกลางคันได้อย่างไร ข้าจะไปดูสถานการณ์ หากได้ผล จะได้ให้คนอื่น ๆ ทำเช่นกัน”

จื่อซูรีบตามหลังนางไป มู่ซืออวี่ร่างกายโงนเงนเกือบจะล้มลงไป จื่อซูที่อยู่ด้านหลังจึงรีบมาพยุงนาง

“ฮูหยิน เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ?”

“ไม่เป็นไร” มู่ซืออวี่ตอบ “หลังจากดูที่ผืนนี้แล้ว ข้าจะกลับไปพักผ่อน”

หัวหน้าหมู่บ้านสกุลลู่พามู่ซืออวี่ไปตรวจดูแปลงทดลอง

ทั้งสองเป็นคนรู้จักกัน ย่อมไม่ต้องเอ่ยอะไรให้มากความ หัวหน้าหมู่บ้านบอกนางทุกสิ่ง อีกทั้งยังกล่าวถึงปัญหาที่ประสบในระยะนี้

“นำขี้เถ้าไม้มาโปรยหลาย ๆ ชั้นบนดินก็พอ…” มู่ซืออวี่กล่าว “ขี้เถ้าไม้ ทุกคนล้วนหาได้ง่าย ๆ ในส่วนนี้ไม่ได้เป็นปัญหามากนัก”

“ได้ ข้าจะฟังท่าน” หัวหน้าหมู่บ้านกล่าว “ลำบากฮูหยินแล้ว”

“หัวหน้าหมู่บ้าน ท่านยังต้องเกรงใจอะไรข้าอีก” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้น “ไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็เป็นบ้านเรา บ้านเรายังอยู่ที่นี่นะ จริงสิ เอ่ยถึงบ้านแล้ว ข้าขายบ้านของข้าให้ท่านป้าแล้ว ภายหน้าพวกเราไม่ได้อยู่เมืองฮู่เป่ย ครอบครัวท่านป้าของข้านั้น ถือว่าต้องรบกวนท่านช่วยดูแลแล้ว”

“วางใจเถอะ อยู่ด้วยกันมานานถึงเพียงนี้แล้ว ข้าย่อมมองออกว่าป้าและลุงเขยของท่านเป็นคนซื่อสัตย์จริงใจ ท่านกังวลใช่หรือไม่ว่าญาติ ๆ ของพวกนางจะมาวุ่นวายขอเงิน บ้านหลังนี้ท่านขายให้ป้า ทั้งยังบอกชาวบ้านว่าให้พวกเขาเช่าอยู่ ยังจะมีคนกล้ามาฉกฉวยไปอีกหรือ?”

มู่ซืออวี่นั่งอยู่ในรถม้าออกมาจากหมู่บ้านสกุลลู่ นางรู้สึกง่วงงุนขึ้นมา

จื่อซูบ่นอุบอิบออกมาว่า “ฮูหยิน นับวันยิ่งไม่ดูแลร่างกายตนเองเสียแล้ว ใต้เท้าก็เช่นกัน ยุ่งวุ่นวายทั้งวันจนไม่เห็นหน้า ไม่สนใจท่านแม้แต่น้อย”

“ใต้เท้าไม่ได้ไม่สนใจ เพียงแต่กลับมาทีไร ใต้เท้าถูกฮูหยินดึงความสนใจไปทุกครั้ง นอกจากนี้ใต้เท้าเองก็มีเรื่องที่ต้องทำมากมาย ทุกครั้งฮูหยินก็ปิดบังเขาอยู่ร่ำไป เขาจะรู้ได้อย่างไรว่านางปล่อยปละละเลยตนเองเช่นนี้” จื่อเยวี่ยนเอ่ย “วันนี้หากเจอใต้เท้า ถึงแม้ฮูหยินจะตำหนิบ่าว อย่างไรบ่าวก็จะบอกเรื่องที่ท่านทำกับใต้เท้า”

“เอาล่ะ ๆ พวกเจ้าสองคนนับวันยิ่งพูดมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว” มู่ซืออวี่ที่เอนตัวพิงอยู่ตรงนั้นเอ่ยขึ้น

“ฮูหยิน รอบเดือนของท่านเคลื่อนมาสองเดือนแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ?” จู่ ๆ จื่อเยวี่ยนก็เอ่ยถามขึ้นมา

มู่ซืออวี่ลืมตาขึ้นมาทันที

จื่อเยวี่ยนถึงกับผงะตกใจเพราะการตอบสนองของนาง

“มีอะไรหรือเจ้าคะ? บ่าวกล่าวอะไรผิดหรือเจ้าคะ?”

“ไปโรงหมอถงตั๋วก่อน” มู่ซืออวี่เอ่ยพลางกดลงบนอกที่กำลังสั่นไหวของนาง

ณ โรงหมอถงตั๋ว ท่านหมอจูลูบเคราของตน ขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าเคร่งเครียด

ถงซื่อมองเขาอย่างร้อนใจ “เหตุใดท่านจึงมีสีหน้าเช่นนั้น ร่างกายของลูกสาวข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

“นางตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว” ท่านหมอจูกล่าว “ทว่านางเหนื่อยล้า ร่างกายอ่อนแอ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าเด็กคนนี้จะไม่ได้ออกมาเห็นโลกแล้ว”

“เจ้าเด็กทึ่มคนนี้” ถงซื่อเขกหน้าผากของมู่ซืออวี่ “เจ้าก็ไม่ใช่ไม่เคยเป็นแม่คนมาก่อน ร่างกายตนเองแตกต่างออกไปยังไม่รู้อีกหรือ สามเดือนเชียวนะ นั่นก็คือเจ้ายังไม่ได้กลับมาเมืองฮู่เป่ยก็มีแล้ว หลายเดือนมานี้เจ้าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเพียงใด แม้กระทั่งบุรุษก็ไม่อาจทนได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าในท้องของเจ้ายังมีเด็กอีกคน เจ้าอยากจะให้ข้าโมโหตายหรืออย่างไร”

มู่ซืออวี่ลูบท้องของนาง แววตาของนางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก “ท่านอาจู เด็กคนนี้…”

“นั่นต้องดูว่าเจ้าเชื่อฟังคำสั่งหมอหรือไม่” ท่านหมอจูเอ่ย “หากเจ้าเชื่อฟังอย่างว่าง่ายแล้วใช้ชีวิตให้ระวัง ย่อมไม่มีปัญหาอะไร แต่หากเจ้าไม่ดูแลรักษาตนเองดี ๆ เช่นนั้น…”

“ฮูหยินของพวกเราจะต้องดูแลตนเองดี ๆ แน่นอนเจ้าค่ะ หากนางไม่เชื่อฟัง บ่าวจะมัดนางไว้กับเตียงเองเจ้าค่ะ” จื่อซูเอ่ยด้วยความตื่นเต้น

“ดีนัก จื่อซู เจ้าเก่งกล้าถึงเพียงนี้แล้ว” มู่ซืออวี่จ้องจื่อซู

ดวงตาของจื่อซูแดงก่ำ “ฮูหยิน ท่านอย่าได้เห็นว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญนะเจ้าคะ หมู่บ้านของพวกเรามีสตรีคนหนึ่งตายเพราะแท้งลูก ร่างกายของสตรีนั้นบอบบาง ท่านจะต้องหวงแหนชีวิตตนนะเจ้าคะ”

“ข้าไม่ได้ไม่หวงแหน” มู่ซืออวี่เอ่ย “เพียงแค่คิดว่าระยะนี้เหน็ดเหนื่อยเกินไป ไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งใด หากข้ารู้เสียแต่เนิ่น ๆ ข้าจะต้องพักผ่อนให้มากแน่นอน”

“ท่านหมอจู เช่นนั้นฮูหยินของพวกเราต้องทานอะไรหรือไม่เจ้าคะ” จื่อเยวี่ยนเอ่ยถาม “ต้องบำรุงให้มากเข้าไว้หรือไม่เจ้าคะ?”

“นางเพียงต้องทานตามปกติ นอนพักผ่อนตามปกติ ปรับลมหายใจให้ดี ไม่จำเป็นต้องทำสิ่งอื่นใด ยาเป็นพิษถึงสามส่วน ปกติไม่ได้ทานยาก็ไม่จำเป็นต้องทานยา ตั้งครรภ์ลูกคนหนึ่งแบบนี้ยิ่งไม่ต้องทาน”

[1] ยามโหย่ว คือ เวลาประมาณ 17.00 – 19.00 น.

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย
Status: Ongoing
อ่านนิยายสาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายเรื่องย่อ: 'มู่ซืออวี่ทะลุมิติมาเลี้ยงลูกตัวร้ายแบบนี้ เห็นทีจะต้องร้ายตามบทถึงจะมีชีวิตรอด แต่ลูกชายคนโตของนางกลับจับผิดได้ตั้งแต่วันแรก หากไม่อยู่ในบทเดิม เกรงว่าผู้คนจะคิดว่าวิญญาณสิงสู่ ชีวิตน้อยๆ ก็อาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ มู่ซืออวี่จึงต้องเริ่มภารกิจแกล้งร้ายให้ครอบครัวตัวร้ายตายใจ จะว่าไป ลูกน้อยของนางก็ช่างน่ารักเสียนี่กระไร ใครจะไปใจร้ายใส่เด็กสองคนนี้ลง มู่ซืออวี่ตัดสินใจแล้วว่า ใครที่กล้าแกล้งวายร้ายตัวน้อยของนาง จะต้องโดนสั่งสอนเสียให้เข็ด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset