สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 42 ไม่มีคำใดจะเอ่ย

บทที่ 42 ไม่มีคำใดจะเอ่ย

บทที่ 42 ไม่มีคำใดจะเอ่ย

มู่ซืออวี่เล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก

“ข้ามองผิดไปน่ะ”

แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่นางจะยอมรับว่าตนเองจงใจหลอกลวง

หัวหน้าหมู่บ้านจ้องมองกงซื่อ “เจ้าคงได้ยินแล้ว”

“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ลูกสาวของข้าเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น นางอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงเท่านี้หรือ? ข้าไม่อาจยอมได้! แล้วลูกสาวของข้าเล่า? นางต้องจ่ายค่าทำขวัญให้กับลูกสาวข้า” แววตาของนางเต็มไปด้วยความโลภ

เดิมทีกงซื่อเป็นคนนิสัยร้ายกาจอยู่แล้ว ยิ่งคิดยิ่งวางแผน แววตาของนางก็ยิ่งดูน่าเกลียดน่ากลัว

หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยถามอย่างร้อนรน “เจ้าต้องการเท่าไหร่?”

“ยี่สิบตำลึง” กงซื่อเอ่ย

นางไร้ซึ่งความลังเล เห็นได้ชัดว่าวางแผนเรื่องนี้มานานแล้ว

“ยี่สิบตำลึง? ปล้นกันชัด ๆ!”

ก่อนที่คนในตระกูลลู่จะทันได้เอ่ย หัวหน้าหมู่บ้านก็โพล่งขึ้นด้วยความโกรธ

กงซื่อนั่งลงบนพื้น ตบต้นขาของตนพลางโอดครวญ

“ข้าอยู่ไม่ได้แล้ว! ลูกสาวของข้ากำลังจะตายเพราะโรคร้าย แต่กลับไม่มีผู้ใดสนใจเรื่องนี้! ลู่เฉิงเฉวียน เจ้าไร้ประโยชน์จริง ๆ โชคร้ายเสียจริงที่ลูกสาวของข้าได้แต่งงานกับเจ้า นับจากนี้อีกแปดชั่วอายุคน ข้าก็จะไม่…”

เสียงโวยวายดังสนั่นราวกับเสียงที่เปิดด้วยโทรโข่ง

เสียงโวยวายของนางดึงดูดชาวบ้านจำนวนมากเข้ามาดูสิ่งที่เกิดขึ้นในทันที

เดิมทีพวกเขากำลังเจรจากันอยู่หน้าประตู แต่เมื่อชาวบ้านเข้ามามุงดูก็พลันพบว่ากงซื่อกำลังต่อว่าลูกเขยของตน

หลังจากต่อว่าลูกเขยของตนแล้ว นางก็เริ่มด่าทอครอบครัวของลู่อี้อีกครั้ง เรื่องของการสบถและใช้คำหยาบคาย นางเชี่ยวชาญในระดับปรมาจารย์ คำด่าทอที่ถูกเปล่งออกมาไม่ซ้ำกันแม้แต่คำเดียว

“นี้คือบุคคลผู้รู้หนังสือ แต่กลับทำให้เสียชื่อเสียงของบุคคลผู้รู้หนังสือ นางทำให้ลูกสาวของข้าป่วยหนักจนเกือบสิ้นชีวิต เหตุใดจึงไม่ตัดสินอ้างอย่างยุติธรรม ส่งนางไปสู่ความตาย…”

สีหน้าของลู่อี้พลันหม่นลง “หยุดส่งเสียงดังได้แล้ว!”

หลังจากการออกล่าตลอดทั้งปี ลู่อี้ก็ไม่ใช่ผู้รู้หนังสือที่อ่อนโยนอีกต่อไป เขามีจิตวิญญาณอำมหิตแผ่ซ่านอยู่ในตัว

เขาตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดจนกงซื่อต้องหยุดลง

“หากไม่อยากให้ค่าส่งเสียงดัง ก็จ่ายเงินค่าทำขวัญมา!”

พูดถึงเรื่องเงินแล้ว กงซื่อก็บังคับตัวเองให้จ้องมองไปยังลู่อี้

อย่างไรก็ตาม การจ้องมองของลู่อี้น่ากลัวยิ่งกว่า หลังจากเหลือบมองเพียงครู่เดียว กงซื่อก็ต้องหลบตาไปมองมู่ซืออวี่แทน

“นังมู่ อย่ามัวเล่นลิ้นตลกขบขันกับข้า หากเจ้าไม่อธิบาย ข้าจะแขวนคอตายหน้าบ้านเจ้า ต่อให้ต้องกลายเป็นผี ข้าก็จะตามแก้แค้นเจ้าให้จงได้”

คนในหมู่บ้านต่างพูดคุยกันเรื่องนี้

สิ่งที่เกิดขึ้นริมแม่น้ำในวันนั้นไม่เป็นความลับอีกต่อไป เรื่องราวนี้ถูกเผยแพร่ออกไปไกลแล้ว ยิ่งเมื่อเป็นเรื่องเล่าปากต่อปาก ข่าวลือก็แปรเปลี่ยนไป ทุกคนต่างกล่าวขานกันว่ามู่ซืออวี่จงใจผลักหวังซื่อให้ตกลงไปในน้ำ

ในเวลานี้ทุกคนต่างจ้องมองมู่ซืออวี่ด้วยความไม่พอใจ

“แม่ของฉาวอวี่ หากเจ้าทำผิดก็จงยอมรับความผิดเสีย เจ้าควรชดเชยให้กับผู้ที่สมควรได้รับการชดเชย ครอบครัวของหวังซื่อเล่า เจ้าขอไก่สามตัวเป็นค่าทำขวัญ ตอนนี้เจ้ายังทำร้ายนางจนป่วยหนักอีก ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจะรอดชีวิตหรือไม่ เหตุใดเจ้าจึงเพิกเฉยเช่นนี้?”

“ถูกต้องแล้ว แม้นั่นจะเป็นคนละเรื่อง แต่เจ้าจะเพิกเฉยและใจร้ายต่อนางไม่ได้”

เมื่อเห็นผู้คนมากมายเริ่มพูดจาเข้าข้างนาง แววตาของกงซื่อก็เปล่งประกายความภาคภูมิใจ

มู่ซืออวี่จ้องมองด้วยความเกลียดชัง

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมาเพื่อก่อปัญหาโดยเจตนา นางจึงไม่เชื่อว่าหวังซื่อจะป่วยจริง

แต่ถึงแม้จะป่วยจริงก็สมควรไปพบหมอ การขอเงินยี่สิบตำลึงจะทำให้หายดีได้อย่างไร?

“ท่านพ่อ ป้าหวังไม่สบาย เราไปเยี่ยมนางดีหรือไม่?” เสียงของลู่ฉาวอวี่ดังมาจากด้านหลัง

“ใช่แล้ว! ในเมื่อนางป่วยหนัก เราควรไปเยี่ยมเยียนสักหน่อย” มู่ซืออวี่กล่าวเสริม

“หัวหน้าหมู่บ้าน พวกเราไปเยี่ยมหวังซื่อกันก่อนเถิด” ลู่อี้เห็นด้วย

“อืม” หัวหน้าหมู่บ้านจ้องมองไปยังกงซื่อ “หากนางป่วยจริง เราจะเรียกหมอทันที”

ความลังเลพลันบังเกิดในแววตาของกงซื่อ

ความลังเลที่ปรากฏชัดเจนนี้เองทำให้หัวใจของมู่ซืออวี่สงบลง ช่วยไม่ได้ กงซื่อมาที่นี่เพื่อจงใจจะทำให้นางเสียชื่อเสียงเอง

“ลูกสาวผู้น่าสงสารของข้า เจ้าคงไม่สบายหนักมาก!”

เมื่อมาถึงบ้านของหวังซื่อ เสียงของกงซื่อก็ดังขึ้นหน้าบ้าน

เมื่อประตูเปิดออก ลู่เฉิงเฉวียนผู้สัตย์ซื่อก็เดินออกมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ เขาไม่กล้าสบตาลู่อี้ ทำได้เพียงหันไปหาหัวหน้าหมู่บ้านแล้วทักทาย “ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน”

“ภรรยาของเจ้าไม่สบายใช่หรือไม่?” หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยถาม

ลู่เฉิงเฉวียนก้มศีรษะลงพลางพึมพำ

หัวหน้าหมู่บ้านค่อนข้างเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น

ลู่เฉิงเฉวียนเป็นชายสัตย์ซื่อและมีชื่อเสียงประจำหมู่บ้าน จากอากัปกิริยาของเขาแล้ว ดูเหมือนว่าอาการป่วยของหวังซื่อจะเป็นเรื่องจริง

มู่ซืออวี่เห็นความผิดชอบชั่วดีของลู่เฉิงเฉวียนได้ชัด

“ข้าจะเข้าไปดูนาง” นางกล่าวพลางเดินเข้าไปข้างใน

กงซื่อรีบตามมู่ซืออวี่ไปทันที

“ลูกสาว!” กงซื่อตะโกนเสียงดังราวกับจะป่าวประกาศให้ทั้งโลกได้รู้

กลิ่นแปลกประหลาดลอยโชยทั่วห้อง เมื่อมู่ซืออวี่เดินเข้ามาก็แทบลมจับเพราะกลิ่นเหม็นเน่า

มีถังขยะในมุมหนึ่งของห้องซึ่งส่งกลิ่นเหม็นมากกว่าทุกที มู่ซืออวี่ปิดจมูกของนางไว้แน่น พยายามบังคับศีรษะไม่ให้หันไปยังทิศทางนั้น

สตรีคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าของนางซีดเผือด ดวงตาปิดสนิท ราวกับคนกำลังจะสิ้นลมหายใจ

“นางป่วยจริงหรือนี่!” หัวหน้าหมู่บ้านยืนอยู่หน้าประตู

“หัวหน้าหมู่บ้าน ท่านก็เห็นแล้วว่าลูกสาวของข้ากำลังถูกทรมาน!” กงซื่อกล่าวพลางน้ำตาไหลริน

หัวหน้าหมู่บ้านจ้องมองไปยังลู่อี้ด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ “ลูกชายตระกูลลู่ เจ้าคงได้เห็นแล้วว่าหวังซื่อป่วยจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องเรียกหมอให้นาง”

เขากล่าวพลางจ้องมองไปยังมู่ซืออวี่ด้วยสายตาไม่พอใจ

หัวหน้าหมู่บ้านชื่นชมลู่อี้มาโดยตลอด เขาสงสารชายผู้นี้เป็นอย่างมาก ช่วงนี้มู่ซืออวี่นั้นทำตัวดีมาโดยตลอด เขาจึงไม่คาดคิดว่านางจะสร้างปัญหาใหญ่ให้กับครอบครัวนี้

ลู่อี้หันไปกล่าวต่อมู่ซืออวี่ว่า “พี่สะใภ้หวังมีฝุ่นติดหน้าอยู่ นำผ้ามาเช็ดให้นางเถิด”

“เช็ดสิ่งใด?” กงซื่อที่ยืนอยู่ข้างเตียงกล่าว “อย่าแตะต้องลูกสาวของข้า ลูกสาวของข้าถูกเจ้าทำร้ายจนป่วยหนัก ยังต้องการจะทำสิ่งใดต่อนางอีก?”

“เราเพียงเป็นห่วงพี่สะใภ้หวัง ปรารถนาจะดูแลนางก็เท่านั้น” มู่ซืออวี่หยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเดินไปยังเตียง

ผ้าเช็ดตัวในมือนางสกปรก กลิ่นก็เหม็นราวกับเป็นผ้าเช็ดเท้าหรือผ้าขี้ริ้ว

นางหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วยื่นมือออกไปไกลด้วยความขยะแขยง ก่อนจะละเลงผ้าลงบนใบหน้าของหวังซื่อ

กงซื่อพลันเข้าคว้าไว้ “ไม่ต้องเช็ด อย่าทำตัวเป็นคนดีที่นี่เลย หากเจ้าปรารถนาจะรับผิดชอบจริงก็จ่ายมายี่สิบตำลึง เราจะเข้าเมืองไปหาหมอที่ดีที่สุดมารักษาลูกสาวของข้า”

ชาวบ้านมากมายยังคงมุงดูสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ด้านนอก

“ยี่สิบตำลึง! ป้ากงช่างกล้าขอเสียจริง!”

“หญิงชราผู้นี้น่ารังเกียจที่สุดในหมู่บ้านของเรา โชคไม่ดีที่ตระกูลลู่เข้าไปยั่วยุนาง”

“โชคร้ายของลู่อี้ที่แต่งงานกับมู่ซืออวี่ หากเขาไม่แต่งงาน เรื่องราวนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น”

“เจ้าพูดแบบนั้นก็ไม่ถูกต้อง หากเขาไม่แต่งงานกับภรรยาผู้นี้ เขาก็จะไม่มีลูกที่แสนน่ารัก ไม่ว่ามู่ซืออวี่จะโง่เขลาและสร้างปัญหาเพียงใด ก็ไม่มีใครสามารถลบล้างความน่าชื่นชมของนางที่สามารถมีลูกที่แสนน่ารักได้ถึงสองคน”

ลู่อี้กล่าวอย่างแผ่วเบา “ข้าจะขอให้ท่านหมอจูมารักษานาง”

“ไม่จำเป็น” กงซื่อปฏิเสธ “หมอเท้าเปล่าในชนบทผู้นั้นจะมีประโยชน์อะไร? เราต้องนำเงินไปจ้างหมอที่ดีที่สุดในเมืองเพื่อรักษา รีบมอบเงินยี่สิบตำลึงให้ข้า! หากข้าไปพบหมอช้าแล้วมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับลูกสาวของข้า ข้าจะต่อสู้กับตระกูลของเจ้าสุดกำลัง”

“นี่คือเงินยี่สิบตำลึง ข้านำมาให้แล้ว” ลู่ฉาวอวี่พุ่งเข้ามาจากด้านนอก

เมื่อได้เห็นลู่ฉาวอวี่นำเงินมา ลู่อี้ก็ขมวดคิ้ว

ที่บ้านจะมีเงินยี่สิบตำลึงได้อย่างไร? เด็กคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่?

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย
Status: Ongoing
อ่านนิยายสาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายเรื่องย่อ: 'มู่ซืออวี่ทะลุมิติมาเลี้ยงลูกตัวร้ายแบบนี้ เห็นทีจะต้องร้ายตามบทถึงจะมีชีวิตรอด แต่ลูกชายคนโตของนางกลับจับผิดได้ตั้งแต่วันแรก หากไม่อยู่ในบทเดิม เกรงว่าผู้คนจะคิดว่าวิญญาณสิงสู่ ชีวิตน้อยๆ ก็อาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ มู่ซืออวี่จึงต้องเริ่มภารกิจแกล้งร้ายให้ครอบครัวตัวร้ายตายใจ จะว่าไป ลูกน้อยของนางก็ช่างน่ารักเสียนี่กระไร ใครจะไปใจร้ายใส่เด็กสองคนนี้ลง มู่ซืออวี่ตัดสินใจแล้วว่า ใครที่กล้าแกล้งวายร้ายตัวน้อยของนาง จะต้องโดนสั่งสอนเสียให้เข็ด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset