บทที่ 34 ตัวละห้าพันหยวน[รีไรท์]
เมื่อได้ฟังคำของผู้อาวุโสจางที่พูดออกมาอย่างภาคภูมิใจ ฉู่เหินก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ ตอนนี้เขาเริ่มคิดใคร่ครวญอยู่ในใจว่าที่แท้พี่ใหญ่จางคนนี้เป็นใครกันแน่ ทำไมเขาถึงสามารถใช้คำพูดเพียงประโยคเดียวกำหนดบทสรุปของเรื่องใหญ่ขนาดนี้ได้ แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้เขาก็ได้แต่คิดในใจเท่านั้น
“พี่ใหญ่จางให้คุณเป็นตัวแทนในการร่วมมือกับทางกองทัพย่อมไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้บ่อปลาของครอบครัวผมนั้นเล็กเกินไป และปลาชนิดนี้ไม่เหมาะที่จะนำไปเลี้ยงที่บ่อปลาอื่น ดังนั้นหากในอนาคตผมให้ความร่วมมือกับทางกองทัพเพาะเลี้ยงปลาเกล็ดขาวเป็นจำนวนมาก คุณจะสามารถยกภูเขาหวงด้านตะวันออกให้ผมเพื่อทำเป็นบ่อปลาได้ไหมครับ?”
ฉู่เหินลังเลอยู่หลายครั้งกว่าจะกล้ายื่นข้อเสนอนี้ออกมา บ่อปลาของบ้านเขามีตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่แปลกมาก ทางด้านซ้ายขวาของบ่อปลาล้วน แต่เป็นพื้นที่เพาะปลูกของชาวบ้าน ต้องรู้ว่าถึงแม้ราคาที่ดินของหมู่บ้านชาวประมงไหก่างจะไม่ได้มีราคาราวกับทอง แต่มันก็ยังมีราคาแพงมาก!
ในหมู่บ้านของพวกเขาส่วนใหญ่แล้วแล้วแต่ปลูกข้าว อีกทั้งที่ดินเหล่านั้นก็ให้ผลผลิตสูงมาก หนึ่งงานสามารถผลิตได้ถึง สองพันหกร้อยถึงสามพันกิโลกรัม หากเป็นเพราะความต้องการขยายบ่อปลาของเขาทำให้ต้องทำลายที่ทำมาหากินของคนอื่น ฉู่เหินย่อมรู้สึกไม่สบายใจนัก! ถึงแม้ว่าเขาจะจ่ายเงินชดเชยให้กับชาวบ้านเหล่านั้นแต่เขาก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี
ดังนั้นการขยายบ่อปลาไปที่ภูเขาหวงด้านทิศตะวันออกน่าจะเป็นการดีกว่า ถ้าพูดถึงภูเขาหวงลูกนี้ มันมีตำนานที่เล่าขานต่อกันมา เดิมทีแล้วหมู่บ้านชาวประมงไหก่างแห่งนี้เป็นหมู่บ้านที่อยู่ทางเหนือสุดของมณฑลเหลียวโค่ว หากเลยไปทางเหนืออีกก็จะเข้าเขตมณฑลเหลียวตง ด้วยเหตุนี้เขตไก้เซี่ยนในมณฑลเหลียวตงจึงอยู่ติดกับเขตฝูหยวนในมณฑลเหลียวโค่ว
ตามตำนานเล่าว่าเมื่อหลายปีก่อน แต่เดิมหมู่บ้านชาวประมงไหก่างแห่งนี้มีตระกูลใหญ่อยู่แปดตระกูล หลังจากทั้งแปดตระกูลมาตั้งรกรากที่นี่ก็ได้เริ่มสร้างหมู่บ้านขึ้น อาจกล่าวได้ว่าหมู่บ้านชาวประมงไห่กางมีเริ่มต้นแบนนี้นี่เอง! อย่างไร
ก็ตามเขาไม่รู้ว่าทำไมภายหลังทั้งแปดตระกูลถึงเกิดความขัดแย้งกันขึ้นมา จนทำให้เกิดการต่อสู้กันขึ้น
กล่าวกันว่ามีสี่ตระกูลที่พ่ายแพ้ไป ทั้งตระกูลใหญ่ทั้งสี่ ที่พ่ายแพ้ พวกเขาต่างก็พาย้ายไปอยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขาหวง และก่อตั้งหมู่บ้านสี่ตระกูลขึ้นมา ตั้งแต่นั้นมาหมู่บ้านชาวประมงไหก่างและหมู่บ้านสี่ตระกูลก็กลายเป็นศัตรูกัน ตามตำนานแล้วดูเหมือนว่าแปดตระกูลใหญ่ล้วนแต่ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งกฎขึ้นมาและมีการแข่งขันกันปีละครั้ง
ฝ่ายที่ชนะก็จะได้รับภูเขาหวงไปเป็นกรรมสิทธิ์ แต่ในความเป็นจริงแล้วภูเขาหวงนั้นไม่ได้มีอะไรพิเศษ เหตุผลในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงภูเขาหวง แท้จริงนั้นน่าจะเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี และกฎที่ว่านั่นก็ถูกสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้!
เพียงแต่ทุกวันนี้มีคนไม่มากที่รู้จักศิลปะการต่อสู้ ดังนั้นวิธีการแข่งขันจึงแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง จากการตกลงกันระหว่างหัวหน้าหมู่บ้านทั้งสอง วันที่สิบห้า สิงหาคมของทุกปีจะเป็นวันแข่งขันเพื่อแย่งสิทธิ์ในภูเขาหวงซานแห่งนี้ วิธีการแข่งขันของพวกเขาคือ ชักเย่อ, วิ่งมาราธอน, มวยปล้ำ และที่สำคัญที่สุดคือการแข่งเรือมังกร
วันที่สิบห้า สิงหาคมของทุกปีจะเป็นเวลาที่ทั้งสองหมู่บ้านคึกคักที่สุด ความจริงแล้วการที่ฉู่เหินคิดจะเข้าไปครอบครอง
ภูเขาหวงซานแต่เพียงผู้เดียว เขาเองก็ไม่ค่อยสบายใจเช่นกัน เขาไม่รู้ว่าถ้าภูเขาแห่งนี้ไม่มีอยู่แล้ว ประเพณีที่ปฏิบัติกันมานานนับไม่ถ้วนจะยังคงมีอยู่หรือเปล่า? ประเพณีนี้สืบทอดกันมานานนับร้อยปีจนสามารถเรียกได้ว่าเป็นสิ่งล้ำค่าไปแล้ว ถ้าหากเป็นเพราะการเข้ามาของเขาทำให้ประเพณีนี้ต้องจบสิ้นไปฉู่เหินคงรู้สึกผิดบาปมากแน่ ๆ!
หลังจากฉู่เหินพูดข้อเสนอออกมาพี่ใหญ่จางก็เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “น้องชายมั่นใจได้เลย ฉันรับประกันได้ว่าเธอจะได้ทางออกที่สมบูรณ์แบบสำหรับเรื่องนี้ ไม่เพียงแต่เปลี่ยนภูเขาหวงเป็นบ่อปลา แต่มันยังจะไม่ส่งผลกระทบต่อประเพณีที่มีอายุหลายศตวรรษนี้อีกด้วย!” เมื่อได้ยินประโยคนี้ฉู่เหินก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง ต่อมาทั้งสองคนจึงเริ่มพูดคุยกันเรื่องรายละเอียดการซื้อขายปลา เช่น ควรขายปลาตัวละเท่าไหร่ เดิมทีฉู่เหินคิดว่าจะขายปลาตัวละสามพันหยวน แต่เขาไม่คิดว่าพี่ใหญ่จางจะโบกมือและบอกเขาว่า สามพันหยวนนั้นถูกเกินไป ดังนั้นราคาซื้อขายจึงตั้งไว้ที่ ห้าพันหยวนต่อปลาหนึ่งตัว!
เสี่ยวชิงที่ได้ฟังทั้งสองคนคุยกันเรื่องราคาก็ได้แต่ประหลาดใจ ตามปกติเวลาคนอื่นคิดทำธุรกิจกัน ผู้ขายจะพยายามปรับราคาขึ้นไป ในขณะที่ผู้ซื้อก็จะพยายามต่อรองราคาลง แต่สถานการณ์ของฉู่เหินตอนนี้กลับตรงกันข้าม ผู้ซื้อกลับพยายามอย่างหนักเพื่อเพิ่มราคาขึ้น สถานการณ์ในตอนนี้มันทำให้เสี่ยวชิงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
หลังจากที่ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสจางก็จัดห้องให้ทั้งคู่พักผ่อน อย่างไรก็ตามฉู่เหินต้องการที่จะฝึกวิชาในตอนกลางคืน ดังนั้นเขาจึงบอกกับผู้อาวุโสจางว่าเขาต้องการจะออกไปฝึกข้างนอกในตอนกลางคืน เพื่อป้องกันไม่ให้คนที่มาเห็นรู้สึกตกใจ ที่สำคัญคือเขาไม่ต้องการส่งเสียงดังรบกวนคนที่กำลังพักผ่อน
เมื่อผู้อาวุโสจางได้ยินคำพูดของฉู่เหินดวงตาของเขาก็เป็นประกายด้วยความยินดี จากนั้นเขาก็พิจารณาฉู่เหินอย่างจริงจังและพบว่าชายหนุ่มนั้นแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป เจ้าหนุ่มคนนี้ต้องเป็นหนึ่งในผู้ที่ฝึกฝนกังฟูแน่นอน และดูเหมือนว่าวิชาที่เขาฝึกฝนจะไม่ใช่วิชากังฟูธรรมดา ด้วยความอยากรู้อยากเห็นผู้อาวุโสจางจึงชวนให้ฉู่เหินมาซ้อมมือด้วยกัน
คนที่เข้ามาต่อสู้กับฉู่เหินกลายเป็นพี่จางที่เป็นคนขับรถในวันนี้ ทั้งสองไปที่ลานบ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในบ้านของผู้อาวุโสจาง พวกเขายืนอยู่ในตำแหน่งของตัวเอง จ้องมองกันและกันด้วยสายตาประเมินคู่ต่อสู้ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉู่เหินต้องต่อสู้กับยอดฝีมือ ตัวเขายังไม่มั่นใจว่าฝีมือของตัวเองอยู่ในขั้นไหนแล้ว ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะแสดงฝีมือทั้งหมดออกไป!
เสี่ยวชิงเองเธอก็ความสนใจด้วยเช่นกัน เธอถูมือไปมา พร้อมกับนั่งดูอยู่ทางด้านหลัง ฝีมือของฉู่เหินนั้นเธอเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นเธอจึงค่อนข้างมั่นใจในตัวฉู่เหิน
“น้องชาย ระวังให้ดีล่ะ!” หลังจากที่พี่จางยืนนิ่งอยู่สักครู่ เขาก็พร้อมที่จะเริ่มการโจมตี
“พี่จาง เชิญตามสบาย ผมเองก็ต้องการเห็นพลังที่แท้จริงของคุณ” ฉู่เหินจ้องมองพี่จางอย่างระมัดระวัง
แม้ว่าพี่จางจะยืนอยู่ตรงนั้นแต่ฉู่เหินกลับรู้สึกคล้ายมีคล้ายไม่มีไร้จุดอ่อนโดยสิ้นเชิง ดังนั้นฉู่เหินสามารถตัดสินได้ทันทีว่าพี่จางน่าจะเป็นยอดฝีมือผู้หนึ่ง
หลังจากที่ทั้งสองคนพูดกันจบ พี่จางก็เริ่มเคลื่อนไหวทันที เมื่อดูลักษณะการเคลื่อนไหว ฝีเท้าที่ไม่สามารถคาดคะเนได้ อีกทั้งความเร็วของเขาก็รวดเร็วมาก เพียงแค่พริบตาเดียวเขาก็มาถึงด้านหน้าของฉู่เหินแล้ว
ตั้งแต่ฉู่เหินเริ่มฝึกฝนวิชาเหล่านั้น ตอนนี้เขาก็มีความสามารถในการผ่านตาไม่ลืมเลือน ความเคลื่อนไหวของพี่จางตอนนี้ถูกจดจำอยู่ในใจของเขาอย่างสมบูรณ์ เมื่อเขาเห็นพี่จางเดินมาถึงด้านหน้าของเขา เขาก็ใช้ท่าเท้าของพี่จางออกมาจากจิตใต้สำนึกไปทันที ท่าเท้าที่เหมือนกันนั้นถูกใช้ออกโดยฉู่เหินอีกทั้งความเร็วนั้นยังเร็วกว่าอีกฝ่ายไม่น้อย
พี่จางไม่นึกไม่ฝันว่าฉู่เหินจะเชี่ยวชาญในท่าเท้าของเขา และยังดูเหมือนจะเหนือกว่าเขาด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ยิ่งกระตุ้นจิตวิญญาณในการแข่งขันของพี่จางให้มากยิ่งขึ้น ว่าแล้วเขาเร่งฝีเท้าของตัวเองเพื่อไล่ตามฉู่เหินอย่างรวดเร็ว
เมื่อฉู่เหินเห็นคนตามมาด้านหลัง เขาก็ยิ่งก้าวไปด้านหน้าเรื่อย ๆ ระหว่างคนสองคนนึงก้าวไปข้างหน้าและอีกคนตามอยู่ข้างหลัง จนกระทั่งผ่านไปได้สองสามนาที ในช่วงเวลานี้พี่จางไม่เคยแม้แต่จะแตะตัวของฉู่เหินได้
“นี่ฉู่เหิน นายจะหนีแบบนี้ตลอดไม่ได้นะ! ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเราจะพิสูจน์แพ้ชนะได้ยังไง?” หลังจากที่พี่ชายจางไล่ตามฉู่เหินอยู่พักหนึ่ง เขาก็หยุดหอบหายใจอย่างเหนื่อยล้าและอดบ่นออกมาไม่ได้
“โอเค ในเมื่อพี่จางพูดออกมาแล้ว ผมก็จะทำตามที่คุณต้องการ!” หลังจากพูดจบฉู่เหินก็ก้าวไปตามจังหวะที่เขาเพิ่งเรียนรู้ พริบตาเดียวเขาก็ไปถึงตัวของพี่จาง และเมื่อเขาเห็นว่าจนถึงเวลานี้พี่จางก็ยังไม่มีปฏิกิริยาสนอง เขาจึงใช้ไหล่กระแทกเข้าใส่พี่จางอย่างรุนแรง
จากนั้นฉู่เหินก็ขยับถอยออกมายืนดูอยู่ข้าง ๆ การกระทำของฉู่เหินนั้นเร็วเกินไปเร็วจนพี่จางต้านไม่ไหว พลังมหาศาลส่งให้เขากระเด็นขึ้นไปในอากาศ จากนั้นเขาก็ตกลงบนพื้นที่ห่างออกไป สองถึงสามเมตร
เนื่องจากฉู่เหินเพียงแค่พุ่งเข้าชนไหล่ของพี่จางเท่านั้น เขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บภายใน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกวิงเวียนอยู่ไม่น้อย อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสจางซึ่งนั่งดูอยู่ตั้งแต่แรก และมองเห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด เขาก็ได้แต่ถอนหายใจก่อนจะพูดออกมาอย่างอดไม่ได้ว่า “หลาย ๆ คนต่างก็พูดกันว่าวิชากังฟูไม่มีวันที่จะสูญหายไป เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ได้พิสูจน์คำนั้นแล้ว”