บทที่ 81 การล้างแค้น
ฉู่เหินได้เดินทางออกจากเมืองไป๋ตี้ในยามเช้าตรู่ ภายในวันเดียวเขาก็กลับไปถึงยังเมืองเจียงหลิงที่อยู่แสนห่างไกลแล้ว เมื่อได้ยินเสียงลิงที่ดังมาจากภูเขาทั้งสองด้าน เขาก็พึ่งรู้ตัวว่าเรือลำเล็กได้แล่นอยู่บนแม่น้ำผ่านภูเขาสูงชันอย่างไม่รู้ตัวเสียแล้ว
ฉู่เหินใส่ของทั้งหมดที่เปียกน้ำได้ง่าย เช่นมือถือไว้ในวงแหวนเก็บของ และเขานอนหงายอยู่บนแพ เพลิดเพลินไปกับเสน่ห์แห่งธรรมชาติ ปล่อยให้ล่องไปตามกระแสน้ำ
สำหรับคนอย่างฉู่เหินที่โตขึ้นมาบนชายหาดตั้งแต่เด็ก การเห็นผืนน้ำก็เหมือนการได้กลับบ้านโดยไม่ต้องสงสัย
ไม่ต้องพูดถึงว่ามีเรือเร็วในวงแหวนเก็บของของเขาอีก เพราะงั้นไม่ว่ากระแสน้ำจะเชี่ยวแค่ไหน เขาก็ไม่กลัว
แต่ขณะที่ฉู่เหินเพลิดเพลินกับธรรมชาติ เขาไม่รู้เลยว่ามีสตรีที่อยู่ห่างไกลออกไปคนหนึ่งได้เกลียดชังเขานัก ซึ่งสตรีผู้นี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น
มนตร์เสน่ห์ที่เม่ยซานเหนียงฝึกนั้นถือว่าสำเร็จได้ยากยิ่ง แต่มันกลับล้มเหลวได้ง่ายนัก และทุกครั้งที่มันล้มเหลว ฝีมือของเธอจะก้าวถอยหลัง หากมันรุนแรงมาก อาจส่งผลร้ายต่อชีวิตของเธอได้ด้วยซ้ำไป
ครั้งนี้เป็นเพราะเม่ยซานเหนียงไม่ทันได้สังเกตจึงเสียท่าให้ฉู่เหิน นั่นเป็นครั้งแรกที่มนตร์เสน่ห์ของเธอถูกคลายออก!
เมื่อเธอไปจากที่นี่ เธอก็ได้หนีกลับไปหาที่พึ่งหลังพบความยากลำบากทั้งมวล ในยามนี้ ถ้าเธอเข้าสู่ยุทธภพเมื่อไหร่ ทุกคนล้วนแต่ตะโกนด่าและขู่ฆ่าเม่ยซานเหนียงทิ้ง ทำให้เธอต้องหนีไม่ต่างจากหนูสกปรกที่กำลังข้ามถนน
เพราะเมื่อมนตร์เสน่ห์ของเธอหายไปแล้ว ใครกันเล่าที่อยากตกเป็นทาสของเธอ และอยากเจอกับความหายนะแบบนี้อีก
เรื่องนี้ทำให้เม่ยซานเหนียงถูกไล่ล่าหลายต่อหลายครั้ง ตอนหวนกลับไป ถ้าเธอไม่ได้พบกับศิษย์พี่ที่อยู่สำนักเดียวกันที่บังเอิญออกมาทำธุระแล้วละก็ ป่านี้เธอคงถูกฆ่าทิ้งไปแล้ว หลังจากรีบกลับสู่สำนัก เธอก็ใช้ทรัพย์มากมายเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเอง ไม่เพียงแค่นั้น ครั้งนี้เธอได้รับความโชคดีในความโชคร้ายด้วยเช่นกัน เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้เธอบรรลุขั้นปรมาจารย์ และนั่นก็ทำให้เม่ยซานเหนียงอยากจะแก้แค้นศัตรูผู้น่าชิงชังยิ่งอย่างฉู่เหินในทันที
ด้วยเหตุนี้เม่ยซานเหนียงจึงออกมาอีกครั้ง และครั้งนี้เธอก็ตัดสินใจที่จะออกไปเพื่อฆ่าฉู่เหินให้ตายโดยเฉพาะ เดิมที ท่านอาจารย์ของซานเหนียงไม่เห็นด้วย แต่เขาทนเห็นลูกศิษย์คิดฟุ้งซ่านไม่ได้ เป็นเพราะความคิดฟุ้งซ่านที่จะล้างแค้นด้วยมือของเธอเอง หากเธอไม่ได้ฆ่าฉู่เหิน เกรงว่าจะส่งผลต่อการฝึกของเธอเป็นแน่
เพื่อให้แน่ใจว่าศิษย์ของเขาจะปลอดภัย ครั้งนี้จึงให้ศิษย์พี่ของเธอติดตามลงเขาไปด้วย จะว่าไปแล้ว ศิษย์พี่ของเม่ยซานเหนียงนั้นยอดเยี่ยมนัก ไม่เพียงแค่เธอจะฝึกฝีมือจนบรรลุระดับปรมาจารย์แล้ว หากแต่มนตร์เสน่ห์ของเธอเองก็ร้ายกาจเช่นเดียวกัน
ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่เพียงปรมาจารย์ก็ยิ่งใหญ่มากแล้ว ต้องเข้าใจว่าการที่จะฝึกฝนจนถึงขั้นปรมาจารย์นั้นไม่ง่าย ในบรรดาครอบครัวมากมายก็มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำได้
หากกล่าวว่าเม่ยซานเหนียงหนีกลับมา ถ้างั้นตอนนี้เธอก็ออกมาอย่างสบายใจเลยล่ะ ราวกับกลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าเธอออกมา เพราะทันทีที่ลงเขา เธอก็มุ่งหน้าไปไล่ฆ่าคนในตระกูลที่ไล่ตามในครั้งก่อนทันที และด้วยการช่วยเหลือจากศิษย์พี่ นั่นก็แทบจะทำให้ตระกูลของคนเหล่านั้นล่มสลายลงก็ไม่ปาน
ถ้าไม่เพราะตระกูลอื่นมาช่วยในครั้งนี้ เกรงว่าทั้งสองตระกูลได้สูญสิ้นแน่นอน ทว่าหลังการต่อสู้ และนั่นก็ทำให้ชื่อเสียงอันร้ายกาจของสองศรีพี่น้องดังกระฉ่อนไปทั่ว
ผู้คนในสองตระกูลซึ่งถูกสองพี่น้องควบคุมเริ่มออกตามหาร่องรอยของฉู่เหิน ตระกูลจอมยุทธโบราณเหล่านี้มีสายสัมพันธ์ที่กว้างขวางนัก พวกเขาล้วนแต่มีสถานะทางสังคม และเส้นสายอยู่เต็มไปหมด
เมื่อตอนที่ฉู่เหินกำลังเดินเล่นอยู่ที่หยุนกุ้ย เขาไม่อยากให้ฐานะตัวเองถูกเปิดโปง แต่มันก็ถูกเปิดโปงแล้ว เหตุผลที่ฉู่เหินยอมเปิดเผยฐานะตนเองเป็นเพราะเขาต้องการช่วยนกคีรีบูนไว้ระหว่างทางนั่นเอง
นกคีรีบูนตัวนี้ไม่เหมือนตัวอื่น นอกจากมีสีสันเป็นสีทองแล้ว เจ้าตัวน้อยเองก็ดูเหมือนจะมีสติปัญญาล้ำเลิศ เพราะสิ่งนี้ ฉู่เหินจึงเข้าช่วย ตอนนั้นมันกำลังจะถูกเจ้านกอินทรีดุร้ายตัวใหญ่จับกิน
ในยามนั้น แพล่องไปตามกระแสคลื่น ชนเข้ากับตอไม้ และติดอยู่ตรงนั้นไปไหนไม่ได้ ฉู่เหินจึงเตรียมใช้ท่อนไม้ไผ่ยันแพถอยออกไปเพื่อเลี่ยงตอไม้ ตอนนั้นเองที่เขาพึ่งรู้ตัวว่าเจ้านกคีรีบูนบินมาเกาะที่บนยอดไม้ไผ่เหนือแพเสียแล้ว
เมื่อเจ้านกคีรีบูนเห็นฉู่เหินมองมัน มันก็ร้องไม่หยุด ก่อนที่สุดท้ายมันจะมาเกาะบนบ่าของฉู่เหิน และดูเหมือนมันกำลังเล่าอะไรบางอย่างกับเขา
อย่างที่รู้กัน นกคีรีบูนนั้นงดงาม เมื่อประกอบด้วยความว่องไวปราดเปรียวของนกตัวนี้ ฉู่เหินย่อมต้องรู้สึกชื่นชอบมันเป็นธรรมดา แต่เมื่อเขากำลังจะยื่นมือแตะขนของมัน จู่ ๆ ก็รู้สึกถึงเงาใหญ่มหึมาลอยอยู่เหนือศีรษะ
ในฐานะยอดฝีมือระดับปรมาจารย์ ฉู่เหินจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยว่องไว โดยไม่ลังเล เขาตัดสินใจม้วนตัวออกจากแพในทันทีที่เห็นเงาดำนั่น ทันทีที่เขายืนได้มั่น ฉู่เหินก็ได้ยินเสียงดังที่ด้านหลัง พอหันกลับไปมอง เขาก็เห็นเข้ากับท่อนซุงขนาดใหญ่ที่เพิ่งตกลงไปจนแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
ตอนนั้นเองที่ฉู่เหินสังเกตว่ามีเงาร่างใหญ่ร่างหนึ่งบินอยู่กลางอากาศ เหมือนว่าจะเป็นนกอินทรี ทว่าเป็นสายพันธุ์ไหนนั้น ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจ แต่ดูจากที่มันยาวสามหรือสี่เมตร ฉู่เหินจึงอดถอนหายใจไม่ได้
สัตว์ตัวใหญ่ขนาดนี้หาได้ยากยิ่งนัก หากเขาไม่ได้อยู่ในส่วนลึกของหุบเขาหยุนกุ้ย เกรงว่าคงไม่ได้เห็นสัตว์ตัวใหญ่เพียงนี้แน่ ฉู่เหินโบกดาบวงพระจันทร์สีเงินในมือ สายตาจับจ้องไปที่สัตว์อสูรที่อยู่เหนือศีรษะอย่างกล้าหาญ สิ่งที่ฉู่เหินไม่อยากเชื่อคือเจ้าสัตว์ใหญ่ตัวนี้ไม่เกรงกลัวเขาแม้สักนิด
เจ้านกคีรีบูนน้อยตื่นตกใจ มันอาจเป็นผู้ล่าแสนเก่งกาจเมื่ออยู่ในป่า ทว่าเมื่อมันเห็นสัตว์อสูรตัวนี้ เจ้านกตัวน้อยก็ได้แต่ขดตัวแน่นอยู่ในอ้อมแขนของฉู่เหิน มันไม่ยอมส่งเสียงและไม่ยอมออกไป เมื่อเห็นดังนั้น ฉู่เหินจึงยื่นมือออกไปลูบหัวของนกคีรีบูนน้อยเบา ๆ ราวกับจะปลอบใจว่า อย่ากลัวไปเลย ยังมีเราอยู่ทั้งคน
เหมือนมันจะรู้ในสิ่งที่ฉู่เหินจะสื่อ เจ้านกน้อยกลับมากล้าหาญอีกครั้ง มันยืดศีรษะขึ้นและจ้องไปที่สัตว์อสูร แต่มันก็ทำได้แค่นั้นนั่นแหละ….ไม่มีทางที่มันจะทำได้มากกว่านั้นเลย
ฉู่เหินรู้ดีว่าอินทรีคือเจ้าแห่งนภา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ มันมีดวงตาดุร้าย แววตาของมันเปล่งประกายร้ายกาจเสียจนทำให้ขนนกสีดำที่ปกคลุมทั่วตัวมันดูด้อยไป
ขณะมองไปที่อินทรียักษ์ ฉู่เหินก็มองหาตำแหน่งพื้นดินที่จะสร้างความได้เปรียบสำหรับเขาไปด้วย และเมื่อเห็นจังหวะฉู่เหินจึงโน้มตัวไปข้างหน้าไปยังต้นไม้ใหญ่ จนถึงยามนี้เขายังคงจับตาดูแสงอันดุดันและจ้องไปยังเจ้าเวหาด้านบน
สิ่งที่ทำให้ฉู่เหินรู้สึกสับสนคือ ตามเหตุผลแล้ว เจ้านกอินทรีมักชอบกินสัตว์อย่างงูเหลือมมิใช่หรือ ทำไมมันถึงจ้องไปที่นกคีรีบูนตัวน้อยเล่า ทันทีที่ฉู่เหินรู้สึกแปลก ๆ เขาก็ได้ยินเสียงสวบสาบดังขึ้นที่ด้านหลัง
ฉู่เหินกวาดตามองแล้วอดหายใจแรงออกมาไม่ได้ เขาคิดไม่ถึงเลย สิ่งอยู่ด้านหลังเขาในตอนนี้ คืองูยักษ์ที่ยาวถึงหกหรือเจ็ดเมตร
นี่มันเหมือนกับด้านหน้ามีหมาป่าด้านหลังมีเสือเลยนะ หากมีสัตว์ดุร้ายเพียงตัวเดียว เขาคงลงมือต่อสู้ได้อย่างเต็มที่ แต่ตอนนี้มีสัตว์อสูรถึงสองตัวพร้อมกัน ฉู่เหินจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น
กับการฆ่าเพียงตัวเดียว เขาทำได้ด้วยการลงแรงเพียงเล็กน้อย แต่หากฆ่าสองตัวพร้อมกัน เขาคิดว่าในตอนนี้คงยากเกินไป แต่ตอนนี้ไม่ว่าเขาอยากลงมือหรือไม่ แต่ยังไงเสียฉู่เหินก็ต้องเผชิญหน้ากับเจ้าสัตว์ใหญ่สองตัวโดยตรงอยู่ดี ไม่อย่างนั้นไม่ใช่แค่นกคีรีบูนจะต้องตาย และตัวเขาเองก็อาจถูกฝังไว้ที่นี่
มีผู้กล่าวว่าในป่ามีอันตรายมากนัก ตอนแรกเขาไม่เชื่อ แต่ตอนนี้เขาเข้าใจชัดแจ้งแล้ว ในยามนี้ ฉู่เหินนึกเสียใจเล็กน้อยว่าทำไมถึงไม่ระวัง ถ้าเขาแค่เดินลงไปตามภูเขานี้ เขาคงได้เข้าเมืองแล้วแท้ ๆ
แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ก็คงจะสายเกินไป จนถึงยามนี้ เขาเกลียดที่ตัวเองเป็นเพียงมนุษย์ตัวจ้อย แม้ด้วยฝึกฝีมือระดับปรมาจารย์ แต่ถ้าต้องสู้กับอสูรสองตัวนี้แบบตรงไปตรงมา เกรงว่ามีแค่ใจสู้น่ากลัวว่าจะไม่พอ