ตอนที่ 13 -1 ความกังวลของขันทีไห่
อู๋ซินเอนหลังพิงเก้าอี้และจ้องมองไปยังผู้ที่อยู่ตรงหน้าอย่างพิจารณา ขณะที่ขันทีไห่คุกเข่าอยู่ด้านล่าง
เขามิทราบว่า เหตุใดตนเองจึงถูกเรียกตัวให้มาเข้าเฝ้าอย่างกระทันหัน
องค์รัชทายาทมิได้กล่าวอันใดเลยนับตั้งแต่เขาย่างเท้าก้าวเข้ามา
ดังนั้น เขาจึงมิสามารถคาดเดาความคิดขององค์ชายได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อใดที่เขาเห็นร่างที่โดดเดี่ยวของเขา ขันที ไห่พบว่า
ภาพที่เห็นนั้นน่าสะเทือนใจยิ่งกว่าการร้องไห้อย่างต่อเนื่องขององค์ชานก่อนหน้านี้
“องค์รัชทายาท
ชางอู๋ซินลืมตาขึ้น และชี้ไปยังเก้าอี้ขณะที่นางกล่าวว่า
“นั่ง”
“กระหม่อม..”
ขันทีไห่ตั้งใจที่จะปฏิเสธ เพราะเขาเป็นเพียงขันทีในราชสํานักเท่านั้น
ดังนั้นจึงมีเป็นการสมควรที่จะทําตนเสมอเจ้านายของตนเอง
แม้กระนั้นพระองค์ยังทรงมีพระเมตตา
เมื่อคิดได้ดังนั้น ดวงตาของขันที่ให้จึงฉายแววแห่งความป ลาบปลื้มใจออกมาเล็กน้อย
แม้ว่าองค์รัชทายาทจะน่าหวาดกลัวราวกับปีศาจที่สามารถฆ่าผู้คนได้โดยมิกะพริบตา
ขันทีไห่ก็ยังคงมองว่า เขาเป็นผู้ที่มีความเมตตาและกรุณา
“นั่ง!”
ชางอู๋ซินยังคงยืนกรานอย่างแน่วแน่
นางฝึกซ้อมโดยมิหยุดพักในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา
อู๋ซินมิเพียงแต่ผสมผสานศิลปะการต่อสู้ของร่างกายดั้งเดิมเข้ากับตัวของนางเองเท่านั้น
แต่ยังเพิ่มทักษะที่น่าหวาดกลัวที่สุดของตระกูลชางเข้าไปในส่วนผสมด้วย
ความสามารถของนางในตอนนี้นั้นนับได้ว่าโดดเด่นเป็นอย่รงมาก
แม้ว่าจะมิดีที่สุด แต่ก็สามารถเข้าร่วมแข่งขันกับบรรดาผู้เยี่ยมยุทธได้
แต่สิ่งที่ทําให้ชางอู๋ซินมีความรู้สึกวิตกกังวลคือ พิษที่ถูกสะสมมานานในร่างที่นางกําลังอาศัยอยู่นี้
สิ่งนี้เป็นเพราะร่างขององค์รัชทายาทผู้นี้ได้รับพิษตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่ในครรภ์ของมารดา
และมารดาของเขาก็ได้เสียชีวิตลงเพราะพิษนี้เช่นกัน
ชางอู๋ซินรู้ดีว่า นางต้องทําการล้างพิษ แต่โชคดีที่พิษนั้น ออกฤทธิ์ช้าดังนั้นจึงมิจําเป็นต้องกังวลใจมากเกินไป
ยิ่งไปกว่านั้น วิทยายุทธในตัวนางสามารถระงับพิษนั้นได้แล้ว
แม้ว่ามันจะเป็นอันตรายต่อร่างกายของนางบ้าง แต่ชางอู๋ซินก็มิได้แยแส
ขันทีไห่นั่งลงบนเก้าอี้ด้วยอาการประหม่า แต่ในดวงตาของเขานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขใจ
สีหน้าของเขาเหมือนกับบิดาที่กําลังจ้องมองดูบุตรของตนเองอย่างชื่นชม
สําหรับขันทีผู้นี้ ชางอู๋ซินจะปฏิบัติต่อเขาด้วยความเกรงใจเป็นอย่างมาก
จากแง่มุมหนึ่งอาจกล่าวได้ว่า ขันที่ไม่มีความจงรักภักดีอย่างหาที่สุดมิได้
และนางต้องการผู้ที่มีความจงรักภักดีเช่นนี้มาอยู่เคียงข้างนาง
“ขันทีไห่ ในฐานะที่ท่านเป็นคนสนิทของข้า จึงมีคําถามบางอย่างที่ต้องการให้ท่านตอบอย่างตรงไปตรงมา
ท่านได้ปกปิดอันใดข้าเอาไว้หรือไม่!”
ชางอู๋ซินจ้องมองไปยังดวงตาคู่นั้นด้วยแววตาที่ต้องการจะบีบคั้น
แต่สิ่งที่ได้เห็นมีเพียงสิ่งที่ว่างเปล่าซึ่งนางมิสามาถเข้าใจได้ฉายผ่านดวงตาคู่นั้นออกมา
ขันทีไห่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ และย่อตัวลงเพื่อคุกเข่าลงบนพื้น
และกล่าวด้วยน้ําเสียงที่ตึงเครียด
“รัชทายาท..ทุกสิ่งที่กระหม่อมทําลงไป ล้วนแล้วแต่ทําเพื่อประโยชน์ของท่าน
มิมีวันที่กระหม่อมจะคิดร้ายต่อพระองค์เด็ดขาด!”
เขาทราบว่ารัชทายาทผู้นี้มีความเฉลียวฉลาด แต่มิได้คาดคิดว่าเขาจะเฉลียวฉลาดถึงเพียงนี้
แต่ความเฉลียวฉลาดเช่นนี้ มันเป็นสิ่งที่ดีหรือมิดีกันแน่ ขันทีไห่ยังคงมีความรู้สึกกังวลอยู่ในใจ
ชางอู๋ซินมิมีปฏิกิริยาทางอารมณ์ใด ๆ ต่อคํากล่าวของขันทีไห่แม้แต่น้อย
การซื่อสัตย์เป็นสิ่งที่ดี แต่การตัดสินใจกระทําการบางอย่าง โดยที่นางมิรู้ก็เท่ากับเป็นการทรยศนางมิต้องการให้ผู้ใดตัดสินใจแทนนาง
จากนั้นจึงได้ยินเสียงดังก้องกังวานขององค์รัชทายาท
”พูด!”
“ในขณะจักรพรรดินียังมีชีวิตอยู่ พระองค์ทรงมีคนรับใช้ที่ชื่อสัตย์อย่างมากกลุ่มหนึ่ง
หลังจากการตายของพระองค์ กระหม่อมได้รวบรวมพวกเขาไว้ โดยมิมีผู้ใดล่วงรู้ทันทีและได้ฝึกฝนพวกเขามาเป็นเวลานานมากแล้ว
โดยคิดว่า พวกเขาสามารถให้ความคุ้มครองกับท่านได้ในภายหลัง
ในกรณีที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่คาดมีถึง และจําเป็นต้องหลบหนี”
ขันทีไห่รายงานขณะที่เขาร้องไห้เสียงดัง
ชางอู๋ซินรู้สึกค่อนข้างซาบซึ้งใจแทนบรรพบุรุษของรัชทายาทยิ่งนัก
ในสถานการณ์เช่นนี้ ยังมีคนเต็มใจที่จะวางแผนให้นางเมื่อหลายปีก่อน จึงรู้สึกมีความสุขอย่างที่มิสามารถจะอธิบายได้
“เปลี่ยนคนรับใช้และผู้คุมทั้งหมดในบ้านกับผู้คนที่เจ้าเตรียมเอา
เนื่องจากท่านได้เลี้ยงดูพวกเขามาหลายปี และฝึกฝนพวกเขาด้วยตนเอง
เช่นนั้น ถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะต้องทํางาน”
ริมฝีปากของชางอู๋ซินโค้งงอพร้อมกับเสียงหัวเราะดังกึกก้อง
นางมิจําเป็นต้องกังวลใจเกี่ยวกับความซื่อสัตย์ของผู้คนเหล่านั้น
เพราะเดิมที่พวกเขามีความจงรักภักดีต่อพระมารดาของนางอยู่แล้ว
และต่อมาได้รับการอบรมจากขันทีไห่เป็นเวลานานอีก
ดังนั้นขอบเขตความจงรักภักดีของพวกเขาเป็นที่น่าไว้วางใจได้
และในตอนนี้นางกําลังต้องการไพร่พล แม้ว่ากําลังคนของนางจะได้รับการฝึกอบรมที่ดี แต่ก็ยังห่างไกลจากมาตรฐานของนางมากนัก
นับว่าขันทีไห่ได้มีส่วนช่วยแก้ไขปัญหานี้
“รัชทายาท!”
ขันทีไห่จ้องมองนางด้วยแววตาที่แสดงออกถึงความสับสน ขณะที่เอ่ยถามว่า
“รัชทายาท ท่านคิดที่จะมีส่วนร่วมในการต่อสู้เพื่อชิงบัลลังก์หรือ?”
ชางอู๋ซินพยักหน้า ราวกับว่านางมิต้องการที่จะปกปิด เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้