หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – ตอนที่ 1002 นายน้อยที่สิบหก!

หวังเป่าเล่อรอไม่นานนัก ในวันที่สามหลังจากกลับถึงนครดาวอังคาร ขนาดของระบบสุริยะนี้เปลี่ยนไปใหญ่กว่าเก่าประมาณสองเท่าเห็นจะได้ และบนท้องฟ้านั้นก็เริ่มปรากฏเพลิงกระเพื่อมสีแดงฉานสายหนึ่ง

คลื่นกระเพื่อมนี้ปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหันราวกับร่วงหล่นมาจากฟากฟ้า อีกทั้งระหว่างที่มันกระเพื่อมนี้ ตัวคลื่นยังแตกกระจายออกเป็นสายด้วยตัวมันเอง หากเพ่งมองจะเห็นว่าคลื่นนี้กระจายออกเป็นชั้นๆ ไม่หยุด ครั้งแรกที่มองไปยังท้องฟ้านั้นจะเห็นคลื่นพวกนี้เหมือนผิวน้ำทะเลสาบที่มีคนโยนหินลงไปไม่ปาน ทว่าองค์ประกอบของผืนน้ำนั้นกลับเป็นเปลวเพลิง สรุปรวมแล้วนี่จึงเหมือนคลื่นทะเลเพลิงที่ขยายออกไม่หยุด ทว่าต่อมาในอีกหลายสิบลมหายใจให้หลัง ทะเลเพลิงที่ขยายตัวนี้กลับเริ่มพลิกหมุน ค่อยๆ ควบรวมกันเข้าสู่จุดกึ่งกลาง จากนั้นก็กลายเป็นเงามายารูปหนึ่ง

หลังจากเงาร่างนี้ปรากฏ พลังปราณสายหนึ่งที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินและจนกระทั่งขั้นสะเทือนหมู่ดาวได้ก็พลันปรากฏออกมา เป็นจังหวะเดียวกับที่ทะเลเพลิงนั้นแผดเผารุนแรงขึ้นกว่าเก่า บีบให้ดวงดาวรอบด้านของมันเผยร่างออกมาคล้ายส่งสัญญาณว่ารับแรงบีบอัดนี้ไม่ไหว

และราวกับว่า…เงาร่างที่กำลังควบรวมนี้สูงส่งเกินไป ดังนั้นยามที่มันปรากฏตัวจึงก่อให้เกิดคลื่นสะเทือนดารา จนกระทั่งว่าตัวระบบสุริยะเองยังบิดเบี้ยว หากตัวตนนี้มีประสงค์ร้ายสักหน่อยล่ะก็ บางทีมันสามารถทำให้ระบบสุริยะหายไปในชั่วแล่นความคิดเท่านั้น!

แต่เห็นได้ชัดว่าเงาร่างที่กำลังควบรวมนี้มีพยายามยั้งพลัง มันระงับพลังปราณอย่างรวดเร็ว พยายามไม่ส่งคลื่นไปกระทบระบบสุริยะอีก ทำเพียงแค่บีบอัดอยู่ภายใน จากนั้นเมื่อร่างนี้ควบรวมกันเสร็จแล้วมันก็ค่อยๆ แสดงตัว

เผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริง!

สิ่งที่ปรากฏออกมาท่ามกลางทะเลเพลิงดารานี้ กลับเป็นวัวชราซึ่งแผ่พลังเพลิงออกมาจากร่างอย่างยิ่งใหญ่ ร่างวัวเทพตัวนี้เป็นสีแดงชาด เพลิงใต้ฝ่าเท้าของมันหมุนวน มองดูแล้วขนาดของวัวเทพตัวนี้มีขนาดประมาณหมื่นจั้งเห็นจะได้ แต่นี่…คือสภาพที่ย่อขนาดลงมาแล้วและไม่ได้เผยให้เห็นร่างเดิมที่แท้จริงทั้งหมด

ต่อให้เป็นเช่นนี้ การปรากฎตัวของมันก็ยังคงทำให้เหล่าดารารอบด้านเสียหายอยู่ดี บารมีอันน่าสะพรึงกลัวซึ่งแผ่ออกมาจากร่างมันนั้น เกรงว่าจะเหนือชั้นยิ่งกว่าระดับดารานิรันดร์ แต่หากนำไปเทียบกับผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับจักรพิภพแล้วก็อาจไม่แตกต่างมากนัก

ตัวตนอันน่าหวาดกลัวนี้หาพบได้ยากในจักรวาล จริงๆ แล้วหากตัวมันปรารถนา ตัวมันยังสามารถคานพลังกับสำนักเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายซ้ายหรือกระทั่งเหล่าสำนักเต๋าศักดิ์สิทธิ์เสริมได้ด้วยซ้ำ พูดไปแล้ว อารยธรรมส่วนใหญ่นั้นต่อให้มาอยู่เบื้องหน้ามันก็นับว่าอ่อนแอจนไม่คะนามือมันแม้แต่น้อย

และตั้งแต่วินาทีแรกที่มันปรากฏตัวในระบบสุริยะนี้ ผู้อาวุโสซึ่งนั่งอยู่ตำแหน่งที่สามในแท่นบูชาของวังเต๋าไพศาลตำแหน่งปลายสุดยอดของกระบี่สำริดโบราณก็สังเกตเห็นมันทันที ดวงตาของผู้อาวุโสรายนี้เบิกกว้างขึ้น เขาแสดงท่าทีพรั่นพรึงในเวลาเดียวกันก็หอบหายใจกระชั้น ทรวงอกกระเพื่อม ในระหว่างนั้นเขาก็มองไปยังทิศของเทพวัว สีหน้าแปรเปลี่ยนครั้งแล้วครั้งเล่า จนค่อยๆ ขยับกายลุกขึ้น ในจังหวะที่คิดจะเอ่ยคำพูดนั้นเอง…

วัวชราที่มาจากนอกระบบสุริยะตัวนี้เป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นก่อน การพูดของมันนี้มันไม่ได้พูดกับคนเพียงคนเดียว แต่ส่งกระแสจิตกระเทือนไปทั้งระบบสุริยะ ในพริบตานั้น ทุกตัวตนที่อยู่ในระบบสุริยะ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดอยู่ สมองของพวกเขาพลันปรากฎเสียงอันน่าเกรงขามนี้ทับซ้อนอยู่ข้างใน

“บ่าวชราเหยียนหลิง รับบัญชาปรมาจารย์แห่งไฟ น้อมรับนายน้อยสิบหกหวังเป่าเล่อกลับดาราจักรไฟ!”

กระแสจิตนี้เปรียบเหมือนพายุคลั่ง ในพริบตานั้นก็กระจายทั่วระบบสุริยะ แล่นเข้าสู่สมองของสรรพสัตว์ ที่สุดปลายกระบี่สำริดโบราณ เหล่าผู้ฝึกตนในวังเต๋านั้นล้วนแต่สภาวะจิตบ้าคลั่ง และต่อให้เป็นผู้บาดเจ็บที่เจ็บจนหมดสติเหล่านั้นก็ยังอดตัวสั่นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวไม่ได้ กระทั่งตัวของผู้อาวุโสระดับจักรพิภพบนตำแหน่งที่สามของแท่นบูชานั้นเองก็ต้องหรี่ตาลงทันที ท่ามกลางลมหายใจของตัวเขาที่หอบกระชั้นค่อยคลายลงบ้างหลังทราบเหตุการณ์มาของอีกฝ่าย ทว่าหัวใจเขาก็ต้องเต้นรัวขึ้นมาอีกครั้ง

แม้เขาจะรู้ว่าหวังเป่าเล่อไม่มีทางโกหกตน ในเมื่อกล่าวว่าเป็นศิษย์ของปรมาจารย์แห่งไฟ เช่นนั้นหวังเป่าเล่อก็ต้องเป็นแน่ แต่เขาไม่ทันคิดเลยว่าสถานะศิษย์ของอีกฝ่ายนี้ยังคงน่าตกตะลึงกว่าที่ตนเองคิดเอาไว้มาก

“ศิษย์ประเภทใดกัน…ถึงกับทำให้ปรมาจารย์แห่งไฟส่งผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับจักรพิภพมารับด้วยตนเอง?”

“เกรงว่านอกจากจะให้มารับแล้ว คงต้องการข่มขู่จิตแห่งวังเต๋าของข้ากระมัง…แสดงแสนยานุภาพเพื่อให้ทุกฝ่ายที่สนใจการควบรวมอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ของระบบสุริยะนี้ จำต้องรามือเสีย…”

“และทุกอย่างนี้สืบค้นสาเหตุกลับไปได้อย่างเดียวก็คือเขาให้ความสำคัญกับหวังเป่าเล่อคนนี้…” ผู้อาวุโสวังเต๋าจมอยู่ในภวังค์ ในใจนั้นมันเพิ่มความสำคัญของหวังเป่าเล่อขึ้นมากทันที

ในเวลาเดียวกันนั้น ประชาชนและผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนของสหพันธรัฐ แล้วยังมีพวกที่คุ้นเคยกับหวังเป่าเล่อเช่นหลินเทียนหาวและหลินต้าวปิน เมื่อได้ยินเสียงนี้ในสมองพวกเขาตกตะลึงนัก

“นายน้อยสิบหก?”

“หวังเป่าเล่อ…”

“แม้ข้าไม่รู้ว่าสถานะนี้คืออะไร แต่ฟังแล้วเห็นได้ชัดว่าสุดยอด ต้องไม่ธรรมดาแน่!”

“ไม่เสียแรงที่เป็นผู้พิทักษ์สหพันธรัฐของเรา! ในฐานะผู้บุกเบิกนครดาวอังคาร!! ข้าหลินต้าวปินขอติดตามท่านหัวหน้าตลอดชีวิต!!!”

ท่ามกลางเสียงโห่ร้องรอบด้านนี้ มารดาของจ้าวเยี่ยเหมิง แล้วยังมีหลี่ซิงเหวิน เจ้าสำนักสวีของสำนักรุ่งสางจักรพิภพ รวมถึงหลินโย่วทั้งหลายต่างก็สูดหายใจลึกในทันใด ต่างคนต่างมองดาวอังคารจากตำแหน่งที่แตกต่างกัน

ก่อนหน้านี้ หวังเป่าเล่อเคยบอกพวกเขาแล้วว่าจะจากไป อีกทั้งยังบอกจุดหมายแล้วคร่าวๆ แต่ต่อให้ทำใจเอาไว้แล้ว ในหัวใจของพวกเขายังอดสะเทือนรุนแรงไม่ได้

ความน่าเกรงขามของวัวชราตนนี้และคำพูดที่อยู่ในกระแสจิต ทำให้พวกเขาเข้าใจถึงสถานะภาพของหวังเป่าเล่ออย่างกระจ่างแจ้งรวมถึงอนาคตที่ยากจะประเมินขึ้นมาทันที จิตใจของทุกคนที่ไม่ค่อยมั่นคงเพราะความเปลี่ยนแปลงตลอดมานี้ค่อยสงบนิ่งมากขึ้น

กระทั่งมารดาของจ้าวเยี่ยเหมิงตรงนั้น ในพริบตาที่สมองของนางรับรู้กระแสจิตนี้ นางก็วางแผนรอให้จ้าวเยี่ยเหมิง กลับมาจากนั้นค่อยคุยให้ละเอียดถึงอนาคตของลูกสาวและหวังเป่าเล่อ

ในเวลาเดียวกันนางก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องดูแลโจวเสี่ยวหยาทางด้านนั้นเป็นพิเศษ เพราะในใจของนางมีความกังวลยิ่งยวด นางกังวลว่า…หวังเป่าเล่อที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไปคนนี้ ไม่แน่ว่าวันหนึ่งจะยิ่งก้าวเดินออกไปได้ไกลขึ้นเร็วขึ้น จนกระทั่งเหินห่างกับสหพันธรัฐ

แม้ว่านางจะรู้สึกว่าความเป็นไปได้นี้มันน้อยยิ่งนัก แต่ในฐานะผู้นำสหพันธรัฐแล้วนางย่อมต้องคิดให้รอบคอบ เช่นนั้นวิธีการที่ดีที่สุดก็คือหาห่วงผูกอีกฝ่ายเอาไว้ นอกจากบิดามารดาแล้ว ผู้ที่สามารถเป็นบ่วงคล้องได้แน่นหนาย่อมเป็นผู้หญิงของเขานี่เอง

คนทั้งหมดนั้นในใจสะเทือนยิ่ง ในเวลาเดียวกันก็บังเกิดความคิดมากมาย ส่วนหวังเป่าเล่อในดาวอังคารนั้นก็วางชามตะเกียบในมือของตนลง ลุกขึ้นมองบิดามารดาที่มองตนเองอย่างอาลัยอาวรณ์ เขาโค้งกายลงต่ำ

“ท่านพ่อ ท่านแม่…จากไปคราวนี้ไม่รู้นานเท่าไหร่ แต่คิดว่าคงจะไม่นานเกินไปมากนัก พวกท่าน…ดูแลตัวเองให้ดีๆ”

“ไปเถอะ เป่าเล่อเอ๋ย เจ้าเองก็ดูแลตัวเองดีๆ นะ…” มารดาของหวังเป่าเล่อสะกดความรู้สึกขมขื่น นางเอ่ยปากเสียงเบา ส่วนบิดาของเขานั้นพยักหน้าอยู่ข้างๆ มองส่งเงาร่างบิดโค้งของหวังเป่าเล่อที่ค่อยๆ หายไปจากตรงนั้น

จนกระทั่งหลังจากที่ร่างเขาหายไปโดยสมบูรณ์ แม่ของหวังเป่าเล่อก็ทนต่อไปไม่ไหว ร้องไห้ออกมา

เสียงถอนหายใจเบาๆ เองก็ดังออกมาจากใจของหวังเป่าเล่อซึ่งอยู่ในท้องนภา เขาเองก็ไม่อยากจากไปเช่นกัน แต่เขารู้ดีว่าเมื่อเหยียบย่างเข้าสู่เส้นทางผู้ฝึกตนแล้ว เส้นทางนี้ก็เปรียบเหมือนการพายเรือทวนกระแสน้ำ ได้แต่เดินหน้ามิฉะนั้นจะถดถอย ดังนั้นแล้วทางเดียวที่เหลือคือการไปข้างหน้าเท่านั้น มีเพียงเช่นนี้เขาถึงจะสามารถปกป้องสิ่งที่ตนปรารถนาทั้งหมด และมองเห็นผืนฟ้าแผ่นดินที่กว้างขึ้นได้

ในเวลาเดียวกันหวังเป่าเล่อเองก็รู้สึกซาบซึ้งปรมาจารย์แห่งไฟทางด้านนั้นมาก เขาเข้าใจดีว่ากระแสจิตที่ส่งมาในระบบสุริยะนี้ เป็นความรักถนอมของตัวท่านเอง ความรักถนอมนี้ไม่เพียงแต่ข่มขวัญพวกคิดร้าย แต่ยังปลอบประโลมเหล่าเพื่อนและครอบครัวที่บ้านเกิดของตนด้วย

น้ำใจของท่านอาจารย์นี้ หวังเป่าเล่อก็ไม่หวังอะไรเพิ่มเติมแล้ว จากนั้นจังหวะที่เขายืนอยู่กลางจักรวาลมองดูระบบสุริยะ มองดูดาวโลก และคล้ายกับว่าในจังหวะอันหาได้ยากนี้ตรงภาพเลือนรางบนยอดเขาแห่งสำนักเต๋าที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด เขามองเห็นเงาของสตรีคนหนึ่งยืนอยู่

เส้นผมพัดขึ้นตามกระแสลม ปิดบังดวงหน้านั้นแต่ไม่อาจปิดบังแววตาอ่อนโยนที่จ้องมาได้

แม้คั่นกลางด้วยผืนดารา แต่ก็ราวกับสายตาของพวกเขานี้จะเชื่อมถึงกันได้ หวังเป่าเล่อมองอยู่เนิ่นนาน เขาพยักหน้าให้ก่อนจะหันกายมุ่งไปยัง…นอกระบบสุริยะ!

การจากลาในครั้งนี้ เขาไม่กังวลเรื่องในสหพันธรัฐอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นพันธะสัญญาในวังเต๋าไพศาลหรือว่าเหล่าประชาชนที่ยกระดับหลังหลอมรวมอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ในครั้งนี้ ทุกสิ่งเพียงพอที่จะทำให้สถานภาพของสหพันธรัฐในยามนี้แตกต่างจากเมื่อก่อนแล้ว

นอกจากสหพันธรัฐจะแข็งแกร่งกว่าเดิมแล้ว ในเวลาเดียวกันก็ได้รับการปกป้องจากปรมาจารย์แห่งไฟ ทุกสิ่งนี้ทำให้อนาคตของสหพันธรัฐในช่วงเวลาเบื้องหน้าย่อมมีโอกาสพัฒนาไปอย่างสงบสุขมั่นคง!

“ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้…ข้าก็ควรไปดูสักหน่อย ว่าในจักรพิภพนี้ที่แท้แล้วเจิดจรัสและยิ่งใหญ่มากแค่ไหน!” หวังเป่าเล่อจิตใจฮึกโหม แววตาทอแสงแรงกล้า ร่างของเขานั้นพลันเปลี่ยนเป็นเส้นรุ้งสายหนึ่ง จากนั้นก็เหาะผ่านระบบสุริยะด้วยความเร็วอันน่าตื่นตระหนกจนกระทั่งออกมา…นอกระบบสุริยะ จากนั้นเขาได้มองเห็นทะเลเพลิงอันยิ่งใหญ่และร่างของวัวชราที่อาบด้วยพลังปราณอันน่าหวาดหวั่นซึ่งยืนอยู่…ณ กลางทะเลเพลิงนั้น!

………………………………………………..

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset