หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 488 หวังเป่าเล่อผู้เหนื่อยหน่าย

บทที่ 488 หวังเป่าเล่อผู้เหนื่อยหน่าย

สีหน้าของหวังเป่าเล่อเรียบเฉยแม้จะได้ยินสิ่งที่ผู้อาวุโสสูงสุดพูดเต็มสองหู แต่หัวใจของเขาร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ความไม่แน่ใจเริ่มปรากฏขึ้นในหัวใจของชายหนุ่ม ราวกับว่า…คำพูดของหลี่ซิงเหวินนั้นมีความหมายแฝงซ่อนอยู่

แม้จะคล้ายเมฆหมอกที่ขุ่นมัว แต่เมื่อมาคิดประกอบกับสมมติฐาน ความหมายแฝงนั้นก็ชัดเจนขึ้นมา สมมติฐานที่ว่านั้นก็คือ…หลี่ซิงเหวินรู้ตัวเจ้าของวัตถุเวทแห่งความมืดแล้ว!

เป็นไปไม่ได้…หวังเป่าเล่ออดขนลุกไม่ได้ ชายหนุ่มอดคิดถึงคำพูดของหลี่ซิงเหวินโดยที่มีสมมติฐานนั้นอยู่ในใจไม่ได้ หากคิดเช่นนั้น…ก็ชัดเจนแล้วว่าหลี่ซิงเหวินหมายความว่าเจ้าของวัตถุเวทแห่งความมืดนี้จะต้องแสดงพลังอำนาจอันล้นเหลือที่จะทำให้ทั้งสหพันธรัฐยอมศิโรราบ โดยที่ไม่แสดงเจตนาร้ายออกมา เพื่อให้สหพันธรัฐวางใจและล้มเลิกความคิดที่จะยึดเอาวัตถุเวทแห่งความมืดไป…อย่างน้อยๆ ก็ในตอนนี้

แต่หากเขาทำไม่ได้ หรือหากมีความเข้าใจผิดใดๆ เกิดขึ้นระหว่างเจ้าของวัตถุเวทแห่งความมืดและสหพันธรัฐ ผู้นั้นจะต้องถูกจู่โจมด้วยระเบิดต้านทานวิญญาณและวงแหวนปราณระบบสุริยะ

หวังเป่าเล่อใจเต้นโครมคราม ชายหนุ่มรีบยกมือขึ้นทุบอก แสร้งทำสีหน้าท่าทางภักดีต่อสหพันธรัฐอย่างล้นเหลือ ก่อนจะมองไปทางหลี่ซิงเหวินและพูดว่า

“ท่านปู่ผู้อาวุโสสูงสุด เป่าเล่อเข้าใจแล้วขอรับ สหพันธรัฐได้ตัดสินใจจะยึดสมบัติใต้ดินไว้ ก่อนหน้านี้ข้าตั้งใจว่าจะไม่ลงไปด้วย แต่บัดนี้เมื่อข้าเข้าใจทุกสิ่งแล้ว ข้าก็เปลี่ยนใจขอลงไปกับทุกคน เพื่อแสดงความจงรักภักดีและเพื่อมอบทุกสิ่งที่ข้ามีให้สหพันธรัฐแห่งนี้!”

หลี่ซิงเหวินกลอกตาใส่คำประกาศของหวังเป่าเล่อ ชายชราจ้องมองหวังเป่าเล่ออีกครั้ง ก่อนจะหลุบศีรษะลงและเริ่มทบทวนแผนของสหพันธรัฐต่อไป ก่อนจะเปิดปากกล่าวขึ้นอย่างเนิบๆ

“หากเราทำแผนสำคัญครั้งนี้ผิดพลาด ครั้งหน้าคนที่จะมาคุมงานนี้ก็จะไม่ใช่ข้าอีกแล้ว” หลังจากที่พูดจบ หลี่ซิงเหวินก็ยกมือขึ้นโบกโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง เป็นสัญญาณว่าการสนทนาครั้งนี้จบลงแล้ว

หวังเป่าเล่อรีบรุดออกมา หลังจากออกมาพ้นเขตที่พักของหลี่ซิงเหวิน ชายหนุ่มก็มองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครมองอยู่จึงยกมือปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก ในดวงตาเขาปรากฏแววมุ่งมั่น

ข้าไม่มีทางเลือก ต่อให้ผู้อาวุโสสูงสุดเดาถูกว่าจะเกิดอะไรขึ้นมันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ข้าจะต้องดำเนินการตามแผนที่ได้วางไว้และทำแผนใหญ่ของข้าให้สำเร็จ! หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก ชายหนุ่มตัดสินใจแน่วแน่แล้ว

ไม่มีสิ่งใดสำคัญอีกต่อไป ตอนนี้วัตถุเวทแห่งความมืดอยู่ในกำมือเขาแล้ว และเขาไม่มีทางจะยอมเสียมันไปเป็นอันขาด แต่แม้กระนั้น ชายหนุ่มก็ไม่อาจให้ใครล่วงรู้ได้ว่าแท้จริงแล้วตนเป็นเจ้าของวัตถุเวทแห่งความมืด หลังจากกลับถึงที่พัก หวังเป่าเล่อก็นั่งลงทำสมาธิ ชายหนุ่มทบทวนแผนอยู่ในศีรษะเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาใดๆ ในทุกขั้นตอน ตอนนี้ในนครมีคนมากมายเกินไป และคนส่วนมากก็กำลังจับตามองสุสานใต้ดินอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้มีอุบัติเหตุใดๆ เกิดขึ้น หวังเป่าเล่อจึงไม่ได้สื่อสารกับวิญญาณวุธ เขาทำเพียงเฝ้ารอวันที่สหพันธรัฐจะดำเนินตามแผนอย่างอดทน

ไม่นานเกินรอ หลี่ซิงเหวินก็นำผู้คนลงไปในสุสานใต้ดินเพื่อสำรวจตรวจตรากำแพงอีกครั้ง หลังจากที่ศึกษา ยืนยัน และส่งข้อมูลไปยังสหพันธรัฐแล้ว พวกเขาก็ได้รับการรับรองจากผู้บริหารระดับสูงของสหพันธรัฐรวมถึงกลุ่มอำนาจการเมืองอื่นๆ คำร้องของหลี่ซิงเหวินผ่านแล้ว!

พวกเขาจะเริ่มดำเนินแผนการ…สามวันหลังจากนี้ เริ่มต้นโดยการระเบิดกำแพงและทุกๆ อย่างก็จะพร้อมใช้งานในเวลาเดียวกัน ทั้งระเบิดต้านทานวิญญาณ วงแหวนปราณระบบสุริยะ และกองทัพผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในจากกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ จำนวนของผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในที่รวบรวมได้ในเขตนครพิเศษนั้นมากถึงเจ็ดสิบชีวิตเลยทีเดียว!

ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในทั่วทั้งสหพันธรัฐมีอยู่ไม่ถึงสองร้อยคน นั่นแปลว่าบัดนี้หนึ่งในสามของคนเหล่านั้นมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ หลี่ซิงเหวิน จะเป็นผู้นำกลุ่มด้วยตนเอง พลังที่มารวมตัวกัน ณ ที่นี้นั้นแข็งแกร่งพอจะกวาดล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้าให้หายไปในพริบตา

เห็นได้ชัดแล้วว่าสหพันธรัฐมุ่งมั่นเพียงใดกับการยึดอาวุธเทพแห่งดาวอังคารไปเป็นของตน!

ฝ่ายสนับสนุนที่ประกอบไปด้วยผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นและลมหายใจเที่ยงแท้ก็มาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน พวกเขามีหน้าที่ให้การสนับสนุนและทำหน้าที่ขุดอาวุธเทพแห่งดาวอังคารออกมาในเบื้องต้น ดังนั้นเขตนครพิเศษจึงคึกคักผิดธรรมดา

สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อวันที่ต้องทำลายกำแพงมาถึง กองกำลังผู้ฝึกต้นขั้นรากฐานตั้งมั่นและขั้นลมหายใจเที่ยงแท้ก็มารวมตัวกันอยู่ด้านนอกสุสานใต้ดิน พวกเขาพร้อมที่จะพุ่งเข้าไปทันทีที่กำแพงถูกระเบิดให้เปิดออกมา!

ภายในสุสานใต้ดินนั้น ภายใต้การนำของหลี่ซิงเหวิน เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารและผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในคนอื่นๆ ต่างก็มารวมตัวกันตรงหน้ากำแพง พร้อมที่จะทำตามแผน

หลี่ซิงเหวินรับหน้าที่หลักในการระเบิด ชายชรายืนอยู่ตรงหน้ากำแพง มือเขากวัดแกว่งไปมาเป็นผนึกฝ่ามือจำนวนมาก พลังปราณระดับจุติวิญญาณไหลล้นออกมาจากกาย พลังปราณเหล่านั้นดูเหมือนกำลังก่อตัวกันเป็นใบมีดแหลมคมที่พุ่งเข้าปักกำแพงอย่างไม่ลดละ กำแพงสั่นไหวรุนแรงเพราะถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง

คนอื่นๆ รวมถึงเจ้านครดาวอังคารต่างก็เริ่มโจมตีเช่นกัน ตอนนั้นเอง สุสานใต้ดินก็ปกคลุมไปด้วยเสียงกัมปนาทดังสนั่นหวั่นไหว

คนที่เหลือก็พากันโจมตีเช่นกัน แสงสีสันสดใสส่องประกายวาบขึ้นมาจากภายในกำแพง พลังวิญญาณจากบรรดาอาวุธเวทปกคลุมไปทั่ว ให้ความรู้สึกราวกับว่าทั้งสวรรค์และพื้นพิภพสั่นคลอนไปพร้อมๆ กัน

ในกลุ่มที่กำลังโจมตีนั้นมีหวังเป่าเล่อรวมอยู่ด้วย…ตอนนี้ชายหนุ่มยังคงโจมตีไม่หยุดพลางจับจ้องไปยังกำแพงที่ค่อยๆ บางลงอย่างเห็นได้ชัด เขาทอดถอนใจอยู่ภายใน แม้หวังเป่าเล่อจะรู้ดีว่าแผนของเขาไม่มีทางล้มเหลว แต่ก็ยังอดรู้สึกไม่มั่นใจและวิตกกังวลไม่ได้

น่าหงุดหงิดอะไรเช่นนี้…

ขณะที่ถอนใจอยู่เงียบๆ นั้น หวังเป่าเล่อก็ยังคงต้องร้องตะโกนและโจมตีต่อไป เขาร่ายคาถาโจมตีใส่กำแพงไม่หยุดหย่อน ชายหนุ่มอาจจะเป็นเจ้าเมืองนี้ แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในแล้ว พลังปราณของเขานั้นอยู่ในระดับมาตรฐานและไม่ได้เด่นสะดุดตาแต่อย่างใด เรื่องนี้ก็เป็นไปตามที่หวังเป่าเล่อตั้งใจไว้ ขณะที่โจมตีอยู่ ชายหนุ่มถึงกับหันไปตะโกนใส่ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในอีกคนที่อยู่ข้างๆ

“ทุกคน โจมตีเข้าไปไม่ต้องยั้งมือ เรามาจัดการอาวุธเทพชิ้นนี้ให้ได้โดยเร็ว และเอาอาวุธทรงพลังชิ้นใหม่ไปมอบให้สหพันธรัฐกันเถิด!”

ผู้ฝึกตนคนนั้นเป็นศิษย์รุ่นพี่จากตระกูลนภาห้าสมัย แม้ว่าเขาจะไม่ชอบหวังเป่าเล่อเอาเลย แต่ก็ไม่เหมาะหากจะแสดงความรังเกียจออกไปต่อหน้าธารกำนัล เขาจึงได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะเลิกสนใจหวังเป่าเล่อไปโดยปริยาย

หากว่าเป็นครั้งอื่นๆ หวังเป่าเล่อต้องหันกลับไปจ้องชายผู้นั้นแน่นอน แต่ ณ ตอนนี้ ใจของชายหนุ่มสั่นระรัวขณะที่พยายามแสดงออกว่าตื่นเต้น เขารู้สึกราวกับว่าตนเป็นผู้นำกองทัพโจรที่กำลังยืนอยู่ตรงธรณีประตูบ้านตนเอง เป็นความรู้สึกที่ไม่อาจสลัดหลุดได้

การพากองโจรมาที่บ้านตนเองนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่นี่ข้ากำลังช่วยพวกเขาพังประตูบ้านด้วยซ้ำ! หวังเป่าเล่อทำหน้าบึ้งตึง แต่เมื่อนึกถึงระเบิดต้านทานวิญญาณจำนวนมากที่เล็งมาทางนี้ก็ต้องรีบข่มใจตนเอง ก่อนจะเริ่มโจมตีไปพลางส่งเสียงร้องให้กำลังใจคนอื่นดังสนั่น

ผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยได้ยินเสียงร้องให้กำลังใจของหวังเป่าเล่อ แต่ก็ไม่มีใครใส่ใจ ขณะนี้ทุกคนต่างก็ตื่นเต้นกันอย่างมาก บางคนถึงกับเริ่มส่งเสียงตาม กำลังใจของผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐพุ่งทะยานขึ้นพร้อมๆ กับเสียงระเบิดดังสนั่น

ทว่า…หลี่ซิงเหวินกลับแอบยิ้มเยาะเมื่อได้ยินเสียงของหวังเป่าเล่อ ชายชรากำลังจะส่งการโจมตีอีกระลอกหนึ่งเข้าไปใส่กำแพงพลางขยายจิตสัมผัสวิญญาณออกไป และมองเห็นใบหน้าที่ดูตื่นเต้นของหวังเป่าเล่อ

“เจ้าตัวแสบนี่มันเล่นละครเก่งดีเหมือนกัน!” หลี่ซิงเหวินพึมพำอยู่เงียบๆ ชายชราคาดเดาเรื่องนี้ได้เพราะลางสังหรณ์บวกกับการได้พบหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้ แม้จะไม่รู้ว่าหวังเป่าเล่อทำได้อย่างไร แต่หลี่ซิงเหวินก็รู้ว่าจะต้องมีความเชื่อมโยงกันระหว่างชายหนุ่มกับวัตถุเวทแห่งความมืดอย่างแน่นอน

ข้าได้ทำทุกสิ่งที่ทำได้และบอกทุกสิ่งที่บอกได้กับเขาแล้ว เจ้าเด็กนี่ไม่ใช่คนโง่ หากเขาจัดการปัญหานี้ไม่ได้…ข้าก็คงช่วยเหลืออะไรไม่ได้อีก หลี่ซิงเหวินหรี่ตาลง ชายชรานั้นหากต้องการก็สามารถทำลายกำแพงนี้ได้ตั้งแต่หลายวันก่อน แต่เขากลับใช้การวิจัยและการตรวจสอบเป็นข้ออ้างเพื่อจะเลื่อนวันดำเนินการออกไป เพื่อจะซื้อเวลาให้หวังเป่าเล่อได้เตรียมตัว หลี่ซิงเหวินทำทุกอย่างที่เขาทำได้ ทั้งคำนวณและบันทึกเวลา ชายชรารวมพลังวิญญาณมาไว้ด้วยกัน มีแววเด็ดเดี่ยวฉาบเคลือบอยู่ในดวงตาขณะที่นิ้วมือเคลื่อนที่สลับไปมาเพื่อสร้างผนึกฝ่ามือจำนวนมาก

ชายชราร้องตะโกน “สหายเต๋าเอ๋ย จงรวมคาถาของพวกเจ้าไว้รอบๆ ตัวข้า!” หลังจากที่พูดจบ หลี่ซิงเหวินก็เหวี่ยงมือของเขาออกไปอย่างฉับพลัน คลื่นแสงหลายชั้นระเบิดออกมาจากกายเขา ดูราวกับว่าผู้อาวุโสได้แปลงกายเป็นดวงไฟสว่างจ้าไปแล้วก็ไม่ปาน

คนอื่นๆ พากันส่งคาถาเข้าไปในคลื่นแสงนั้น ทำให้ดวงไฟเจิดจรัสขึ้นไปอีก แถมยังมีพลังรุนแรงขึ้นด้วย ทุกคนถึงกับตัวสั่นอยู่ภายใน ก่อนจะรีบส่งคาถาเข้าไปเพิ่มเติม คลื่นพลังวิญญาณที่ถาโถมออกมาจากดวงไฟเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่รัศมีการทำลายล้างจะปกคลุมไปทั่ว

หวังเป่าเล่อตกใจยิ่ง หัวใจเขาเต้นโครมคราม ชายหนุ่มกัดฟันก่อนจะร่ายคาถาออกไปที่ดวงไฟ หลังจากที่ดวงไฟกลืนกินพลังของทุกคนเข้าไป มันก็ปล่อยแสงสว่างเจิดจ้าออกมา ดูราวกับเป็นดวงอาทิตย์ดวงย่อมๆ ก็ไม่ปาน ในที่สุด หลี่ซิงเหวินก็ส่งเสียงคำราม เขาโบกมือครั้งหนึ่ง แสงสว่างนั้นก็กลายสภาพเป็นกระบี่แสง ชายชราเอื้อมมือไปจับมัน ก่อนจะยกกระบี่นั้นชี้ไปยังกำแพงตรงหน้าแล้วฟันลงไป!

เสียงสนั่นหวั่นไหวปะทุขึ้นอย่างรุนแรง เสียงแตกร้าวก้องไปทั่วทั้งสุสานใต้ดิน กำแพง…ไม่อาจต้านทานแรงโจมตีได้ มันระเบิดก่อนจะแหลกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย…

ทันใดนั้นเอง ก็มีแสงสีม่วงส่องเรืองรองออกมาจากภายในกำแพงที่แตกไป แสงนั้นสาดส่องสว่างจ้าไปทั่วสุสานใต้ดิน ภายใต้กำแพงมีกำแพงอยู่อีกชั้นหนึ่ง!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset