หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 498 ขอโทษข้าเสีย!

บทที่ 498 ขอโทษข้าเสีย!

“มารดาของข้าคือเจ้านครอาณานิคมดาวอังคาร!” เจ้าเยี่ยเหมิงมองหวังเป่าเล่อ ก่อนตอบซ้ำอีกครั้งอย่างสงบนิ่ง

หากตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ที่สำนักวังเต๋าไพศาล หวังเป่าเล่อคงกระโดดโหยงด้วยความตกใจ แต่เขาทำเช่นนั้นไม่ได้ในสถานการณ์เช่นนี้ ชายหนุ่มจึงพยายามควบคุมอารมณ์และท่าทีตนเอง ก่อนหันกลับมาหายใจเข้าลึกเพื่อพูดเสียงดังฟังชัดอีกครั้ง

“ข้าคือศิษย์น้องหวังเป่าเล่อ เพิ่งเริ่มฝึกปราณได้ไม่ถึงสิบปี ตอนนี้ปราณของข้าอยู่ที่ขั้นกำเนิดแก่นชั้นต้นระดับสูง ข้าคือศิษย์เอกเพียงหนึ่งเดียวของสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าแห่งสหพันธรัฐ เป็นผู้นำของศิษย์หลายหมื่นหลายแสนคนจากสำนักทั้งสี่ และรับราชการเป็นเจ้าเมืองเขตนครพิเศษแห่งอาณานิคมดาวอังคาร ข้ามีผู้ฝึกตนผู้ใต้บังคับบัญชาหลายล้านคน ส่วนมากมักมีปราณอยู่ที่ขั้นลมหายใจเที่ยงแท้และรากฐานตั้งมั่น ข้าเพียงแค่ออกคำสั่งเท่านั้น และทุกคนก็จะทำตามในทันที!

“ศิษย์พี่ชิวหรัน พวกเราส่วนมากเพิ่งเริ่มฝึกปราณได้ไม่ถึงสิบปีเท่านั้น และพัฒนามาถึงจุดนี้ได้จากการฝึกฝนที่สหพันธรัฐ ซึ่งมีปริมาณปราณวิญญาณเบาบาง นอกจากนั้นผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐในที่แห่งนี้ทุกคนล้วนเป็นคนสำคัญของอาณาจักร มีทั้งบุตรชายของประธานสหพันธรัฐ บุตรสาวของเจ้านครอาณานิคมดาวอังคาร และศิษย์เอกมากมายจากหลายกลุ่มอำนาจการเมือง บัดนี้ พวกเราได้รับคำสั่งจากผู้นำของพวกเราให้มาประจำการที่นี่ตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ทุกสิ่งล้วนแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของเราเป็นอย่างดี และแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของสหพันธรัฐที่จะเชื่อมสัมพันธไมตรีกับสำนักวังเต๋าไพศาล!”

“ทว่าวันนี้เรากลับโดนดูถูก ในเรื่องนี้นั้นข้าต้องการให้ศิษย์พี่ชิวหรันเป็นผู้ตัดสินขอรับ!” หวังเป่าเล่อทำมือคารวะ พร้อมก้มลงโค้งคำนับต่ำให้เฟิ่งชิวหรัน

แม้จะตื่นตัว แต่พันธุ์กล้าเบื้องหลังชายหนุ่มก็รู้สึกไม่สบายใจไปพร้อมๆ กัน พวกเขาสบถด่าหวังเป่าเล่อในใจ แต่ในเมื่อชายหนุ่มกล่าวเปิดไปแล้ว พันธุ์กล้าหลายคน เช่น หลี่อี้ก็ได้แต่ยกมือคารวะในแบบเดียวกัน แม้ในใจจะต่อต้านเพียงใดก็ตาม

“โปรดตัดสินด้วย ศิษย์พี่ชิวหรัน!”

เสียงของพันธุ์กล้าทั้งหนึ่งร้อยคนกังวานทั่วโถง ทุกคนจากสำนักวังเต๋าไพศาลเงียบกริบ แม้แต่ผู้ฝึกตนผมแดงก็เริ่มหายใจเร็วขึ้น เขายังคงดูแคลนพันธุ์กล้าจากสหพันธรัฐอยู่ในใจ แต่ก็รับรู้ได้ถึงความต้องการผูกสัมพันธ์อย่างจริงใจจากสหพันธรัฐเช่นกัน แม้ชายผมแดงผู้นี้จะไม่พอใจโครงการการทูตของเฟิ่งชิวหรัน แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าตนเองไม่ได้มีสิทธิ์พูดในตอนนี้

คนอื่นๆ ที่ไม่พอใจเช่นกันก็เลือกที่จะไม่พูดอะไร เห็นได้ชัดว่าคำพูดของหวังเป่าเล่อหลักแหลมและมีผลเป็นอันมาก มันทั้งมีเหตุผล อีกทั้งไม่ได้ฟังดูหยิ่งยโสหรือโอนอ่อนยอมจำนน จึงทำให้ทุกคนอับจนซึ่งคำพูด และยังทำให้ทุกคนจำหวังเป่าเล่อได้ขึ้นใจ

เมี่ยเลี่ยจื่อไม่ได้พูดหรือมีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนโยวหรันยังคงหลับตาอยู่ แต่รอยยิ้มกลับปรากฏบนใบหน้าของเฟิ่งชิวหรัน ดวงตาของนางเป็นประกายด้วยแววชื่นชมหวังเป่าเล่อ เมื่อหลายสิบปีก่อน นางเอาชนะผู้กระด่างกระเดื่องภายในสำนักของตนในสถานการณ์ที่คล้ายกันนี้ แต่บัดนี้ แม้กระทั่งผู้ใต้บังคับบัญชาของนางยังรู้สึกได้ว่า อำนาจในการควบคุมทั้งสำนักเริ่มตกไปอยู่ในมือของเมี่ยเลี่ยจื่อ

ด้วยเหตุนี้นางจึงเริ่มปล่อยวาง ทว่าคำพูดของหวังเป่าเล่อทำให้ไฟแห่งความหวังในใจของนางกลับมาโชติช่วงอีกครั้ง อีกทั้งนางก็ยังรู้สึกได้ถึงความจริงใจของสหพันธรัฐด้วย เป็นไปไม่ได้เลยที่พันธุ์กล้าเหล่านี้จะโกหกเรื่องประวัติของตน เพราะการตามหาความจริงนั้นง่ายมาก เพียงแค่ต้องจ่ายเงินเล็กน้อยให้โมเกาจื่อเป็นค่าข้อมูลเท่านั้น

นอกจากนี้เฟิ่งชิวหรันยังเชื่อว่าหวังเป่าเล่อไม่ได้โกหก และหากเขาโกหกจริงนางย่อมหาทางเปลี่ยนคำโกหกนั้นให้กลายเป็นความจริงได้ และหากทุกอย่างเป็นเรื่องจริง ความมั่นใจของนางต่อโครงการการทูตจะพุ่งสูงขึ้นอีก

“ชื่อหลินและเหลียงหลง พวกเจ้าทั้งสอง… ขอโทษเดี๋ยวนี้!” เฟิ่งชิวหรันออกคำสั่งในทันที แม้จะเป็นหญิง แต่น้ำเสียงของนางก็เด็ดขาดเอาจริง ผู้ฝึกตนผมแดงที่นั่งอยู่เบื้องล่างเงียบไปสักพัก เขาสะกดความไม่พอใจเอาไว้ข้างใน ตั้งใจว่าจะขอโทษพอเป็นพิธี แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไร หวังเป่าเล่าก็ก้าวออกมาข้างหน้าและทำมือคารวะเขาเสียก่อน

“ศิษย์พี่ไม่จำเป็นต้องทำถึงเพียงนั้น ศิษย์น้องคนนี้คิดมากเกินไป หวังว่าศิษย์พี่จะไม่ถือโทษโกรธกันนะขอรับ” คำพูดของหวังเป่าเล่อทำให้เฟิ่งชิวหรันดวงตาเป็นประกายอีกครั้ง คราวนี้แววนั้นวาบขึ้นมาในดวงตาของเมี่ยเลี่ยจื่อเช่นกัน เขาหันมามองหวังเป่าเล่อเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาถึง

ความรู้สึกอันแสนซับซ้อนปรากฏขึ้นในดวงตาของผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณคนอื่นๆ ผู้ฝึกตนผมแดงจ้องหวังเป่าเล่อ ก่อนจะหัวเราะออกมา

“ช่างเป็นชายหนุ่มที่คล่องแคล่วฉลาดเฉลียวอะไรเช่นนี้ ข้าหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะได้รับโอกาสอันดีในสำนักวังเต๋าไพศาลแห่งนี้ และเก็บเกี่ยวประโยชน์ไปได้มหาศาล!”

“ขอบพระคุณศิษย์พี่ขอรับ!” หวังเป่าเล่อคารวะผู้ฝึกตนผมแดงอีกครั้ง การกระทำของเขาทำให้ความตึงเครียดในโถงลดลงไปได้มาก การกระทำของเขาแสดงให้เห็นว่าหวังเป่าเล่อเป็นคนรู้จักแบ่งรับแบ่งสู้ และทำให้ทัศนคติของคนอื่นที่มีต่อเขาก่อนหน้านี้เปลี่ยนไป

ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ทุกคนจำหวังเป่าเล่อได้ขึ้นใจ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ยอมอ่อนข้อให้เหลียงหลง ความจริงแล้ว หากขั้นปราณของเขาสูงพอ เขาก็จะไม่อ่อนข้อให้ผู้ฝึกตนผมแดงเช่นกัน ดังนั้นหลังจากที่ปรับท่ายืนให้อกผายไหล่ผึ่งแล้ว แววยั่วยุก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของชายหนุ่ม ขณะมองไปยังเหลียงหลงผู้ซึ่งยืนอยู่ข้างเมี่ยเลี่ยจื่อ

เหลียงหลงมีสีหน้าเคร่งขรึม เนื่องจากทำใจขอโทษผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐไม่ลง เขาหันไปหาเมี่ยเลี่ยจื่อ ผู้เป็นอาจารย์ออกคำสั่งหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง

“ขอโทษเสีย”

คำพูดนี้ทำให้เหลียงหลงโกรธเกรี้ยวยิ่งนักเมื่อหันมามองหวังเป่าเล่อ ดวงตาของเขาฉายชัดด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ทนให้ผ่านๆ ไปเท่านั้น ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกก่อนพูดอย่างไม่เต็มใจ

“ผิด!” กล่าวจบเหลียงหลงก็เบือนหน้าหนี จิตใจเต็มไปด้วยความไม่เป็นมิตร ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนโดนปรามาสต่อหน้าสาธารณชน

ทว่าหวังเป่าเล่อหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องเอาคืนให้ได้ จึงไม่ยอมปล่อยโอกาสให้หลุดมือไปโดยเด็ดขาด ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นและถามย้ำอีกครั้ง

“ใครผิด ข้าหรือ”

“เจ้า!” เหลียงหลงหันมอบขวับทันทีที่ได้ยิน ความรู้สึกอาฆาตหวังเป่าเล่อทวีความรุนแรงขึ้นในใจ

“อะไรเล่า หากเจ้าไม่พอใจก็มาสู้กันเดี๋ยวนี้เลยดีหรือไม่ เดี๋ยวจะได้รู้กันว่าคนอย่างข้าทำอะไรได้บ้าง!” หวังเป่าเล่อจ้องเหลียงหลงเขม็งและพ่นลมเยาะเย้ย

เหลียงหลงกัดฟันกรอด ความต้องการสังหารในดวงตารุนแรงขึ้นอีก เขากำลังจะโต้กลับอีกครั้ง แต่เมี่ยเลี่ยจื่อกลับพ่นลมเยาะออกมา ก่อนลุกขึ้นยืนและเดินออกจากโถงไป เหลียงหลงรู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่างจนถึงขั้วหัวใจ เมื่อรู้สึกได้ว่าอาจารย์ไม่พอใจในตัวเขา ชายหนุ่มจึงทำมือคารวะหวังเป่าเล่ออย่างขมขื่นจำใจ

“ข้า… ข้าผิดเอง!” จากนั้นเขาก็ค้อมหัวเดินตามอาจารย์ของตนไป ความต้องการสังหารหวังเป่าเล่อพุ่งถึงขีดสุดในวินาทีนั้นเอง

หวังเป่าเล่อหรี่ตามองเหลียงหลงที่กำลังเดินจากไป รังสีสังหารแบบเดียวกันวาบออกจากดวงตาชายหนุ่ม

ต้องหาทางฆ่าไอ้สวะนี่ให้ได้ มิเช่นนั้นมันจะหาเหามาใส่หัวข้าอย่างแน่นอน!

มีผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณสองคนออกไปพร้อมเมี่ยเลี่ยจื่อ โยวหรันเองก็ลืมตาขึ้นและพยักหน้าให้เฟิ่งชิวหรัน ก่อนจะจากไปพร้อมศิษย์ของตนและผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณอีกสองคน ไม่นานนักก็เหลือเพียงเฟิ่งชิวหรันและผู้ใต้บังคับบัญชาของนางเท่านั้นที่ยังอยู่ในโถง

เหลือผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณอยู่เพียงสี่คน และชื่อหลินผมแดงก็เป็นหนึ่งในนั้น!

ม่านตาหวังเป่าเล่อหดแคบ เขาหันไปสบสายตากับจั่วอี้ฟาน เจ้าเยี่ยเหมิง และกงเต๋า แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

เมื่อทุกคนออกไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของเฟิ่งชิวหรันก็กว้างขึ้นอีก ขณะมองพันธุ์กล้าคนอื่นๆ และหวังเป่าเล่อ

“หวังเป่าเล่อ โปรดอย่าถือสาสิ่งที่เกิดขึ้นเลย ไม่ใช่ทุกคนในสำนักวังเต๋าไพศาลจะยอมรับสหพันธรัฐ และนั่นคือสิ่งที่เราต้องร่วมมือกันเปลี่ยนแปลง

“พวกเจ้าทุกคนจะอยู่ในสำนักของเราได้อย่างสงบสุขแน่นอน ข้าเตรียมการเอาไว้หมดแล้ว จากนี้พวกเจ้าก็ถือเป็นศิษย์แห่งสำนักวังเต๋าไพศาลเช่นกัน แต่มีสามสิ่งที่พวกเจ้าต้องเข้าใจเสียก่อน

“อย่างแรกก็คือ สำนักวังเต๋าไพศาลและสหพันธรัฐนั้นมีเรื่องที่คล้ายกันอยู่บ้าง แต่ก็มีข้อแตกต่างเช่นกัน ทุกสิ่งที่นี่แลกเปลี่ยนกันได้โดยใช้แต้มการรบ หลักการก็คือ หากพวกเจ้ามีแต้มการรบพอ พวกเจ้าก็จะใช้แลกเปลี่ยนกับอะไรก็ได้ในสำนักวังเต๋าไพศาลเพื่อเพิ่มพูนพลังปราณของตนเอง!

“อย่างที่สองคือ พวกเจ้าส่งกระบวนเวทที่ได้มากลับไปยังสหพันธรัฐได้ตามที่ตกลงกันไว้ เราจะไม่ห้าม แต่… ตอนนี้สถานการณ์ในสำนักวังเต๋าไพศาลเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดังนั้นทางเราจึงต้องขอเก็บค่าธรรมเนียมจากพวกเจ้า ในราคาหนึ่งพันแต้มการรบ สำหรับทุกกระบวนเวทที่เจ้าส่งกลับไป!

“นอกจากนี้ การเรียนรู้กระบวนเวทก็ต้องใช้แต้มการรบเช่นกัน สำนักวังเต๋าไพศาลของเรามีกระบวนเวทอยู่มากมาย ซึ่งมีราคาตั้งแต่หนึ่งพันแต้มไปจนถึงหลายล้านแต้ม”

“ดังนั้นสิ่งที่พวกเจ้าควรสนใจมากที่สุด คือการสะสมแต้มการรบ… แต้มนั้นได้มาจากการทำภารกิจที่ทางสำนักประกาศเอาไว้ หรือโดยการทำประโยชน์บางอย่างให้สำนัก” เฟิ่งชิวหรันหยุดชั่วขณะ เพื่อมองใบหน้าของหวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ

“พวกเจ้าเพิ่งมาถึงสำนักนี้เป็นครั้งแรก และถือเป็นศิษย์รุ่นบุกเบิกจากสหพันธรัฐ ทุกคนจะได้เรียนกระบวนเวทที่ชื่อว่ากระบวนเวทไพศาล อันเป็นกระบวนเวทพื้นฐานสำหรับศิษย์แห่งสำนักผู้มีปราณระดับรากฐานตั้งมั่น ซึ่งเหมาะสมกับสถานการณ์ของพวกเจ้า

“ทางเราจัดเตรียมทุกสิ่งเอาไว้เรียบร้อยแล้ว พวกเจ้าจะแยกกันไปประจำการที่เกาะต่างๆ นอกสำนัก ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเจ้าจะตั้งใจฝึกพลังปราณอย่างเต็มความสามารถ และรวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสำนักวังเต๋าไพศาลได้อย่างสามัคคี!”

จากนั้น เฟิ่งชิวหรันก็หันมามองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาชื่นชมที่ไม่ได้พยายามจะปกปิด

“สำหรับเจ้า หวังเป่าเล่อ ในฐานะที่เป็นผู้มีปราณขั้นกำเนิดแก่นในเพียงคนเดียวจากผู้ฝึกตนของสหพันธรัฐทั้งหมด ข้าจะไม่มอบกระบวนเวทไพศาลให้เจ้า แต่เจ้าจะได้รับแต้มการรบหนึ่งพันแต้ม เพื่อใช้เลือกกระบวนเวทอะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ จากหอตำรากระบวนเวทไพศาล!”

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset