เกาะเพลิงเขียวตั้งอยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะหลักสำนักวังเต๋าไพศาล มีเกาะเล็กๆ เจ็ดถึงแปดเกาะรายล้อม เกาะเพลิงเขียวถือเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในแถบนี้ นอกจากจะเป็นเกาะที่มีเส้นปราณวิญญาณอยู่แล้ว ยังมีหญ้าเพลิงเขียวขึ้นอยู่ทั่ว ทำให้เกาะแห่งนี้เป็นหนึ่งในยี่สิบเกาะชั้นนำจากเกาะหลายร้อยเกาะรอบสำนักวังเต๋าไพศาล
เกาะชั้นนำสิบลำดับแรกอยู่ในความดูแลของผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล ส่วนเกาะอื่นๆ ที่เหลือ เช่น เกาะเพลิงเขียวนั้นดูแลโดยสามผู้อาวุโสและศิษย์ของผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ คนอื่นๆ นั้นไม่สามารถรุกล้ำเข้ามาได้โดยง่าย
นี่เป็นสาเหตุที่เมี่ยเลี่ยจื่อลุกขึ้นมาต่อต้านทันทีที่เฟิ่งชิวหรันเสนอให้หวังเป่าเล่อเข้ามาดูแลเกาะเพลิงเขียว ก่อนจะประนีประนอมยอมให้หวังเป่าเล่อและเหลียงหลงแบ่งกันดูแลเกาะ
ไม่มีใครเปิดเผยเหตุผลเบื้องลึกให้เห็นเด่นชัด แต่ทั้งเมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรันต่างมุ่งหวังให้ทั้งสองขับเคี่ยวกันเอง เมี่ยเลี่ยจื่อมั่นใจในตัวศิษย์ของตนอย่างมาก เมื่อเหลียงหลงขึ้นมามีอำนาจเหนือหวังเป่าเล่อได้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อเมี่ยเลี่ยจื่อที่จะเอาชนะเฟิ่งชิวหรันในอนาคต
เฟิ่งชิวหรันเองก็อยากให้ศิษย์ของสหพันธรัฐ โดยเฉพาะหวังเป่าเล่อได้แสดงความสามารถ ซึ่งจะช่วยลดความกดดันที่นางแบบอยู่และช่วยสร้างความมั่นใจให้สมาชิกในฝ่ายของนาง ไม่กี่วันมานี้สถานการณ์กลับพลิกผัน หลายคนในฝ่ายที่เคยทำตามคำสั่งนางไม่ขัดกลับเริ่มคิดสงสัยในตัวนางขึ้นมาในใจ
หวังเป่าเล่ออาจไม่เข้าใจความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายดี แต่เขาก็ได้อ่านอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงมาตั้งแต่เด็ก มีประสบการณ์ทำงานในฝ่ายปกครองของสหพันธรัฐและเคยเผชิญปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองภายในมานักต่อนัก จึงค่อนข้างจะคุ้นชินกับบรรยากาศตึงเครียดนี้ดี หลังจากไตร่ตรองอยู่สักพักก็เริ่มจะดูสถานการณ์ออก
ชายหนุ่มไม่ได้ทำตัวผิดแปลกอะไรระหว่างการเดินทาง เขาทะยานไปบนฟ้าตามหลังหัวหน้าตำหนักความสัมพันธ์ระหว่างดวงดาวไป นี่เป็นครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อได้ออกจากเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาล คลื่นความร้อนตีปะทะใบหน้าของชายหนุ่ม ผืนดินเบื้องล่างเดือดปุดไปด้วยลาวา มีเปลวไฟปะทุขึ้นมาเป็นช่วงๆ ราวกับคลื่นซัดขอบชายฝั่งดูน่าครั่นคร้าม ฟากฟ้าสีเลือดหมูและหมู่เกาะมากมายทำให้หวังเป่าเล่อตาเป็นประกายประหลาดเมื่อได้เห็น
เป็นบรรยากาศที่ดูไม่เป็นมิตรแตกต่างจากสหพันธรัฐยิ่งนัก หากไม่มีปราณวิญญาณอัดอยู่หนาแน่น หวังเป่าเล่อคงจะคิดว่าสถานที่แห่งนี้เป็นนรกที่บรรยายอยู่ในตำนานบนโลก
เหลียงหลงเหลือบมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาดูแคลนอย่างไม่คิดปิดบัง ก่อนจะแค่นเสียงทางจมูก เขาหันไปมองทางหัวหน้าตำหนักความสัมพันธ์ระหว่างดวงดาวเบื้องหน้า และตัดสินใจไม่เย้าแหย่อีกฝ่ายอย่างเปิดเผย แต่ก็คิดไว้แล้วว่าทันทีที่ถึงเกาะและหัวหน้าตำหนักความสัมพันธ์ระหว่างดวงดาวกลับไปแล้ว ชายหนุ่มจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้หลาบจำว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้ฝึกตนได้!
ด้วยทรัพยากรและเคล็ดวิชาที่มีทำให้ชายหนุ่มมั่นใจมากว่าตนไม่มีทางแพ้อีกฝ่าย ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ เขาเพิ่งจะบรรลุจากขั้นกำเนิดแก่นในชั้นต้นไปขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลายไปเมื่อไม่กี่วันก่อน
จะให้ฆ่าเจ้าสัตว์ชั้นต่ำนี่คงเป็นไปไม่ได้ แต่ข้าน่าจะหักแขนหักขา สูบพลังปราณ และทำให้มันพิการไปเลยได้! คิดดังนั้น ดวงตาชายหนุ่มก็ฉายแววอำมหิต
หวังเป่าเล่อเหลือบมองเหลียงหลงพร้อมแอบแค่นเสียงไม่พอใจอยู่ภายในเช่นกัน หัวหน้าตำหนักความสัมพันธ์ระหว่างดวงดาวที่อยู่ด้านหน้าสัมผัสได้ถึงบรรยากาศตึงเครียดของคนทั้งคู่แต่ก็เข้าไม่ยุ่งอะไรไม่ได้ เขารีบเร่งความเร็วขึ้นอีก ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ทั้งสามก็ทะยานข้ามฟ้ามาถึงจุดหมาย
เบื้องหน้าพวกเขาคือเกาะขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางทะเลเพลิงกว้างใหญ่ไพศาล มีขนาดประมาณหนึ่งในสิบของเขตนครพิเศษบนดาวอังคาร ผืนดินมีสีดำ เกือบครึ่งหนึ่งของเกาะมีหญ้าสีม่วงขึ้นปกคลุม
เกาะแห่งนี้มียอดเขาสามยอด ยอดเขาตรงกลางสูงตระหง่านกว่ายอดเขาที่ขนาบข้าง ตั้งเด่นเป็นสง่าราวกระบี่คมทิ่มแทงสรวงสวรรค์ มีสองยอดเขาซ้ายขวาปกป้องอยู่เคียงข้าง
หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณหนาแน่นที่แผ่กระจายออกมาจากเกาะตั้งแต่ที่ยังเหาะอยู่ห่างออกไป ปราณวิญญาณในเกาะแห่งนี้มีความหนาแน่นเทียบเท่าเกาะหลักสำนักวังเต๋าไพศาลเลยทีเดียว
ทั้งสามเข้าไปในเกาะ มีลานกว้างบนยอดเขากลางในเกาะเพลิงเขียว ผู้ฝึกตนสิบกว่าคนออกมารอต้อนรับ ในกลุ่มมีผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นห้าคน ที่เหลือยังอยู่ในระดับลมหายใจเที่ยงแท้ กลุ่มผู้ฝึกตนเหล่านี้เป็นคนจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่มาฝึกวิชาบนเกาะแห่งนี้ และดูเหมือนพวกเขาจะยืนรอกันมาสักพักแล้ว
ในหมู่ผู้ฝึกตนเหล่านี้มีชายวัยกลางคนไว้หนวดคนหนึ่ง ระดับการฝึกตนของเขาอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่น เห็นได้ชัดว่าเป็นหัวหน้าของกลุ่มนี้ เขารีบก้าวออกมาโค้งหัวทันทีเมื่อเห็นพวกหวังเป่าเล่อที่อยู่บนฟ้า
“ศิษย์โจวเปี่ยวขอต้อนรับท่านหัวหน้าตำหนักหลี่!”
ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ รีบทักทายตาม เสียงพวกเขาดังก้องไปทั่ว หัวหน้าตำหนักความสัมพันธ์ระหว่างดวงดาวนำหวังเป่าเล่อและเหลียงหลงทะยานลงไปบนลานกว้างเบื้องหน้าทุกคน
เขาไม่ได้สนใจโจวเปี่ยว กลับหันมองหวังเป่าเล่อและเหลียงหลงก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ที่นี่คือเกาะเพลิงเขียว ตั้งแต่บัดนี้ พวกเจ้าทั้งสองเป็นเจ้าเกาะของเกาะแห่งนี้ มีตำแหน่งและสถานะเทียบเท่ากัน!”
“ข้ามีหน้าที่พาพวกเจ้ามายังเกาะนี้เท่านั้น ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องอื่น ขอตัวก่อน!” หัวหน้าตำหนักความสัมพันธ์ระหว่างดวงดาวเหมือนจะไม่อยากอยู่นานไปกว่านี้ เขาหันหลังพุ่งทะยานข้ามฟากฟ้าไปรวดเร็วราวสายรุ้ง
ทันทีที่หัวหน้าตำหนักจากไป โจวเปี่ยวและกลุ่มผู้ฝึกตนก็หันมองหวังเป่าเล่อและเหลียงหลงด้วยสายตาเป็นประกาย ขณะเดียวกันนั้นเหลียงหลงก็หันไปมองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาอาฆาต
“ชั้นต่ำ…”
“เจ้าสิที่ชั้นต่ำ!” หวังเป่าเล่อไม่เปิดโอกาสให้เหลียงหลงได้พูดจนจบ เขาตะโกนขึ้นพร้อมพุ่งไปหาเหลียงหลงอย่างรวดเร็วจนทิ้งเงาร่างไว้เบื้องหลัง ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นต่อย!
ปล่อยกระบวนเวทระเบิดกำเนิดดวงดาราออกมา!
พลังของกระบวนเวทระเบิดกำเนิดดวงดารานั้นรุนแรงกว่าครั้งก่อนๆ เมื่อได้พลังปราณระดับกำเนิดแก่นในมาเสริม หมัดหนักของเขาพุ่งไปข้างหน้า ฟากฟ้าพลันเปลี่ยนสี เส้นสายอัสนีปรากฏขึ้นรอบหวังเป่าเล่อ ก่อนจะแผ่ขยายออกไปรอบๆ เปลี่ยนทั้งบริเวณให้กลายเป็นวังวนอัสนี
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เหลียงหลงมีสีหน้าตื่นตระหนก เขาตั้งใจจะพูดอะไรสักเล็กน้อยก่อนจะลงมือ แต่ไม่คิดว่าหวังเป่าเล่อจะมุทะลุเช่นนี้ ชายหนุ่มรีบยกมือขวาขึ้นโบก พลังปราณขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลางพวยพุ่งออกจากร่าง ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นพายุหมุนที่หมายมั่นจะหยุดการโจมตีของอีกฝ่าย
เป็นเวลาแค่ชั่วอึดใจตั้งแต่ที่เขากลืนคำสบประมาทลงคอและรีบตอบโต้การโจมตีของอีกฝ่าย หมัดของหวังเป่าเล่อพุ่งเข้าใส่พายุป้องกันตนของเหลียงหลงเกิดเป็นเสียงอสนีบาตคำรามลั่นฟ้า เหลียงหลงหน้าถอดสี เขาตื่นตกใจและหวาดผวา รู้สึกราวกับตนโดนภูผาทับ ร่างของชายหนุ่มสั่นสะท้าน รู้สึกเหมือนว่าอวัยวะภายในถูกบดขยี้ พายุที่ร่ายขึ้นมาป้องกันดูเหมือนไม่สามารถทานทนการโจมตีของอีกฝ่ายได้ไหว มันสั่นคลอน ส่งสัญญาณเหมือนจะพังทลาย จนทำให้เหลียงหลงต้องถอยหลังหนี
มีร่างกายเช่นใดกัน เหตุใดถึงแข็งแกร่งเพียงนี้!
แรงปะทะเมื่อครู่กระจายออกไปทั่วราวกับเป็นพายุไร้จุดหมาย โจวเปี่ยวและคนอื่นๆ ส่งเสียงตื่นตะลึงและรีบถอยหนี
ตอนแรกพวกเขาสนับสนุนเหลียงหลงเพราะอย่างไรเสียหวังเป่าเล่อก็เป็นคนนอก แต่พลังอำนาจอันร้ายกาจที่หวังเป่าเล่อแสดงให้เห็นก็ทำให้พวกเขาลังเลใจ ราวกับว่า…กฎของผู้แข็งแกร่งจะใช้ได้กับทุกคน!
หัวหน้าตำหนักความสัมพันธ์ระหว่างดวงดาวยังไปไม่ได้ไกลมากนัก เขาหยุดก้มหัวมองสถานการณ์เบื้องล่างอยู่กลางอากาศ ไม่คิดจะเข้าไปยุติการต่อสู้แต่อย่างใด หากแต่เร่งความเร็วทะยานกลับตำหนักไป
การต่อสู้ยังไม่จบลง ขณะที่เหลียงหลงล่าถอยไปอย่างทุลักทุเล หวังเป่าเล่อก็เอียงคอไปทางซ้ายจนเกิดเสียงดังกร็อบ เขากระทืบเท้าขวาทะยานไปข้างหน้า โทรโข่งอันใหญ่ปรากฏขึ้นที่มือขวา ชายหนุ่มพลิกมือพร้อมเหยียดยิ้ม ก่อนจะพุ่งไปตะโกนใส่เหลียงหลงที่กำลังตกใจไม่หาย
“ข้าอยากจะเตะตูดเจ้าตั้งแต่ตอนอยู่ที่ตำหนักปรัศนีสวรรค์แล้ว!”
พลังเสริมจากโทรโข่งอาวุธเวทระดับเจ็ดช่างน่าพรั่นพรึงยิ่งนัก มันแปรเปลี่ยนถ้อยคำของหวังเป่าเล่อให้เป็นคลื่นเสียงกระแทกดังสนั่นราวเสียงร้องคำรามของทวยเทพ คลื่นเสียงทลายโสตประสาททำให้ทะเลเพลิงรอบเกาะพัดกระเซ็นเป็นวงกว้าง แก้วหูของโจวเปี่ยวและคนอื่นๆ สั่นสะท้านจนเกือบจะหูหนวกไป พวกเขากระอักเลือดสดๆ ออกจากปาก
ใครๆ ก็คงจินตนาการชะตากรรมของเหลียงหลงที่โดนโจมตีโดยตรงได้ ชายหนุ่มหน้าถอดสี เห็นภาพเบื้องหน้าบิดเบี้ยวไปหมดเมื่อคลื่นเสียงแผ่กระจายไปทั่ว พลังสั่นสะท้านฟ้าดินบีบรัดหัวใจของเขา ความหวั่นกลัวเกินบรรยายก่อตัวขึ้นภายใน!
หลังจากส่งคลื่นเสียงออกไป หวังเป่าเล่อก็ตั้งผนึกฝ่ามือด้วยมือซ้าย ส่งสายฟ้าฟาดหลายเส้นพุ่งไปทางเหลียงหลง จากนั้นก็ส่งขาขวาทะยานไปอย่างรวดเร็วจนเกิดเสียงแหวกอากาศ จุดหมายปลายทางที่จะลงจอดก็คือ…ตรงกลางระหว่างสองขาของอีกฝ่าย!