หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 510 เซี่ยไห่หยาง!

บทที่ 510 เซี่ยไห่หยาง!

ผู้มาเยือนคือชายหนุ่มผมสั้นสูงตามค่าเฉลี่ย สวมเสื้อคลุมของสำนักวังเต๋าไพศาล ดูสดใสร่าเริง ดวงตาเล็กของเขาเป็นประกาย ดูเหมือนจะคิดคำนวณอยู่ตลอดเวลา

ผมสั้นลงเจลสะท้อนแสงอาทิตย์ระยิบระยับ มองดูไกลๆ เห็นเหมือนเป็นโคมไฟ และมันก็ไม่ใช่คำพูดที่เกินจริงแม้แต่น้อย

เขายืนอยู่ด้านนอกถ้ำที่พัก กำลังฉีกยิ้มกว้าง จ้องมองหวังเป่าเล่อที่ตื่นตกใจอยู่ ผู้มาเยือนกระแอมกระไอขึ้น ยกมือลูบผม ก่อนจะยกมือคารวะเจ้าของถ้ำที่พัก

“ศิษย์พี่หวังเป่าเล่อ ไม่ได้เจอกันเสียนาน”

ทรงผมเป็นเอกลักษณ์และแววตาพ่อค้าบ่งบอกแน่ชัดว่าอีกฝ่ายคือ…คนที่หวังเป่าเล่อร่วมงานด้วยมาหลายต่อหลายครั้งในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เซี่ยไห่หยาง!

หวังเป่าเล่อสมองตื้อไปหมด เริ่มหลอนไปว่าตนไม่ได้อยู่ในสำนักวังเต๋าไพศาลแต่เป็นสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์

เขานึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่กลับไปเยือนสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เฉินอวี่ถงบอกมาว่าเซี่ยไห่หยางได้หายตัวไป แม้จะใช้เส้นสายทั้งหมดในสำนักที่มีช่วยค้นหาก็ไม่พบ หวังเป่าเล่อไม่คาดคิดเลยว่า…จะได้มาพบเซี่ยไห่หยางที่นี่!

เซี่ยไห่หยางยังมีรูปลักษณ์เหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยนแม้จะผ่านมานานหลายปี ภายใต้รอยยิ้มนั้นแฝงคราบนักธุรกิจไว้เช่นเคย ดวงตาของเขาเป็นประกาย ราวกับว่าได้ค้นพบข้อตกลงทางการค้าครั้งใหม่

ผ่านไปสักพักใหญ่ หวังเป่าเล่อก็คลายจากอาการตื่นตกใจ ชายหนุ่มมองเซี่ยไห่หยางอย่างระแวดระวังและพบว่าอีกฝ่ายมีระดับการฝึกตนเท่าเดิม ยังหยุดอยู่ที่ระดับการฝึกตนโบราณชั้นปลาย ชายหนุ่มส่ายศีรษะและยิ้มหยัน เซี่ยไห่หยางนั้นเป็นคนลึกลับยิ่งนัก มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะแอบลักลอบออกจากสำนักวังเต๋าไพศาลและเข้าไปแฝงตัวในสหพันธรัฐ

หวังเป่าเล่อทำได้แค่เดา แต่ก็อดถามออกไปไม่ได้

“เจ้า…ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่”

เซี่ยไห่หยางกระแอมกระไอ ยกมือแตะผมมันเงาของตนเองอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร

“ศิษย์พี่เป่าเล่อ เรื่องนั้นเป็นความลับ…คือ ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะอธิบายให้เจ้าฟังอย่างไรดี แต่จงจำไว้เถิด ศิษย์พี่เป่าเล่อ เหมือนที่ข้าเคยพูดในอดีต…หากที่ใดมีโอกาสทำธุรกิจ เซี่ยไห่หยางผู้นี้ก็จะไปที่นั่น! ในเมื่อศิษย์พี่เป่าเล่อดูมีศักยภาพที่จะเป็นลูกค้ารายใหญ่ ข้าก็ต้องคอยจับตาดูเป็นเรื่องธรรมดา”

หวังเป่าเล่อลูบหน้าผาก แม้ว่าจะพยายามเก็บงำความตื่นตกใจเอาไว้ แต่ก็ห้ามความรู้สึกไม่ให้แสดงออกผ่านทางสีหน้าไม่ได้ เซี่ยไห่หยางช่างเต็มไปด้วยปริศนา ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวชายหนุ่ม…

หรือว่าเซี่ยไห่หยางจะเป็นคนสำนักวังเต๋าไพศาลอย่างที่เขาคิด

หวังเป่าเล่อหรี่ตาเล็ก ไม่ได้พูดอะไรออกไป เซี่ยไห่หยางเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความคิดมากมายที่แล่นอยู่ในหัวอีกฝ่าย เขาถอนหายใจ ยกกำปั้นขึ้นกุม ก่อนจะโค้งให้อีกครั้ง

“ศิษย์พี่เป่าเล่อ เจ้าไม่ต้องคิดอะไรมาก เซี่ยไห่หยางผู้นี้เป็นนักธุรกิจ เจ้าก็รู้ว่านักธุรกิจนั้นเป็นเช่นไร เราทำธุรกิจด้วยกันมาหลายครั้งแล้ว จงเชื่อใจในตัวข้า”

“ข้ามาที่นี่ในวันนี้เพื่อเยี่ยมเยือนศิษย์พี่เป่าเล่อและมาเพื่อทำธุรกิจกับเจ้าด้วย” เซี่ยไห่หยางผุดยิ้มบาง รอยยิ้มและตาหรี่เล็กของเขาไม่สามารถซ่อนคราบความเป็นนักธุรกิจเอาไว้ได้

“ธุรกิจอะไรหรือ” หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก เลิกคิดอะไรมากมาย เขารู้ดีว่าคงเป็นเรื่องยากที่จะเค้นเอาคำตอบออกมาได้ ชายหนุ่มรู้จักเซี่ยไห่หยางมาหลายปี อีกฝ่ายนั้นทำตัวตามสูตรนักธุรกิจตลอด เขาจ้องมองเซี่ยไห่หยาง

 “ศิษย์พี่เป่าเล่อ เซี่ยไห่หยางผู้นี้มีลู่ทางในสำนักวังเต๋าไพศาล เหมือนที่ข้าเคยบอกเจ้า ในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ จะเป็นผู้อาวุโสสูงสุดหรือศิษย์สามัญ ไม่มีอะไรที่เซี่ยไห่หยางผู้นี้ไม่รู้ ไม่มีอะไรที่เซี่ยไห่หยางผู้นี้ทำไม่ได้!”

“ที่ข้าพูดเมื่อครู่ก็รวมถึงในสำนักวังเต๋าไพศาลด้วยเช่นกัน ต่อให้สิ่งที่เจ้าตามหาจะเป็นกางเกงชั้นในของผู้อาวุโสเฟิ่งชิวหรัน ขอแค่ให้ราคาเหมาะ เซี่ยไห่หยางผู้นี้ก็จะจัดหามาให้เจ้า!” เซี่ยไห่หยางยกมือขึ้นลูบผมมันเงาไปด้วยขณะพูดด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจ เห็นได้ชัดเจนว่าเขามั่นใจในตัวเองมากเพียงใด

หวังเป่าเล่อปวดหัวขึ้นมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาแอบถามตนเองในใจว่าจะเอากางเกงชั้นในของเฟิ่งชิวหรันไปทำอะไร…พลันภาพเฟิ่งชิวหรันก็ปรากฏขึ้นในหัว ชายหนุ่มขนลุกเกรียว จึงโพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มาคุยเรื่องธุรกิจกันดีกว่า!”

เซี่ยไห่หยางผุดยิ้มเมื่อได้ยินอีกฝ่ายว่าเช่นนั้น เขาหันมองไปรอบๆ ก่อนจะเอียงหัวพูดกับหวังเป่าเล่อ

“ศิษย์พี่เป่าเล่อ ธุรกิจให้เช่าเรือของเจ้า…ดูจากความนิยมในปัจจุบันและความรู้เรื่องสำนักวังเต๋าไพศาลของข้าแล้ว ธุรกิจของเจ้าน่าจะเฟื่องฟูไปได้อีกหนึ่งเดือน แม้เจ้าอ้วนอวิ๋นเพียวจื่อจะหนุนหลังเจ้า แต่เจ้าก็ไม่น่าอยู่รอดถึงสามเดือนก่อนที่ทางสำนักจะเข้ามายึดกิจการไป!”

“ทางสำนักจะใช้กำลังขู่เข็ญ ทำให้เจ้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องขายไป เป็นเหตุให้…เจ้าต้องรีบสร้างรายได้ให้ได้มากและเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!” เซี่ยไห่หยางกระซิบ เขาประเมินธุรกิจของหวังเป่าเล่อจากความรู้ที่มี

นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบ สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง ชายหนุ่มคาดการณ์ไว้แล้วว่าธุรกิจของตนไม่น่าจะยั่งยืน แต่ก็ไม่คิดว่าจะเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่เดือนอย่างที่เซี่ยไห่หยางพูด

“ว่าต่อ” หวังเป่าเล่อพูดขึ้นหลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก

“ศิษย์พี่เป่าเล่อ เพราะเหตุนี้เจ้าจึงต้องรีบใช้ธุรกิจของตัวเองหาแต้มการรบให้ได้มากที่สุดในเวลาที่สั้นที่สุด นี่เป็นหนทางเดียวที่เจ้าจะไม่สูญเสียอะไรไป…แต่จะทำเช่นนั้น เจ้าต้องหลอมเรือวิญญาณให้ได้มากและเร็วที่สุด!” ดวงตาของเซี่ยไห่หยางฉายแสงผิดแปลกไป เขาหายใจถี่รัวขึ้นเล็กน้อยขณะจ้องมองหวังเป่าเล่อ

“ศิษย์พี่เป่าเล่อ เชื่อข้า…ถ้าเจ้าเชื่อใจให้ข้าร่วมลงทุน กระบวนการหลอมเรือวิญญาณก็จะรวดเร็วขึ้น เจ้าจะหลอมเรือวิญญาณได้มากมายเลยเชียว!”

หวังเป่าเล่อไม่ได้พูดอะไรหลังจากที่ได้ฟัง เพราะเซี่ยไห่หยางเพิ่งจะเผยแค่เพียงเสี้ยวหนึ่งให้ได้รู้ ไม่ได้พูดอะไรถึงเรื่องส่วนแบ่งเลยด้วยซ้ำ ชายหนุ่มหรี่ตาเล็ก สีหน้าบ่งบอกว่ากำลังพินิจพิเคราะห์อะไรบางอย่างอยู่

เซี่ยไห่หยางเห็นสีหน้าของหวังเป่าเล่อก็ทราบสถานการณ์แทบจะในทันที เขายกยิ้ม แอบคิดในใจว่าตนชอบทำธุรกิจกับคนฉลาดเป็นที่สุด หวังเป่าเล่อไม่ได้แค่เพียงฉลาด แต่ยังมีโอกาสจะเป็นลูกค้ารายยักษ์ได้ในอนาคต ชายผมมันเอียงหัวเข้าไปกระซิบ

“ศิษย์พี่เป่าเล่อ เราร่วมงานกันมาหลายครั้งแล้ว ข้าจะไม่ปิดบังอะไรจากเจ้า เซี่ยไห่หยางผู้นี้จะไม่ขอรับแต้มการรบแม้แต่แต้มเดียว ข้าจะร่วมลงทุนด้วยสามพันสามร้อยแต้ม หากต้องการวัตถุดิบอะไรให้บอกข้า ข้าจะให้ส่วนลด เจ้าจะประหยัดไปได้อย่างน้อยร้อยละสามสิบ เจ้าลองคำนวณดูจะรู้ว่าเป็นเจ้าเองที่ได้ประโยชน์ที่สุด

“เรื่องส่วนแบ่งของข้านั้น…ตอนที่ทางสำนักมายึดกิจการของเจ้า พวกเขาจะให้ค่าชดเชย ถ้าค่าชดเชยมีจำนวนไม่เกินหนึ่งหมื่นแต้ม ข้าจะขอรับไว้หมด แต่ข้าจะไม่รับแต้มที่เกินจากนั้นแม้แต่แต้มเดียว!

“ศิษย์พี่เป่าเล่อ เซี่ยไห่หยางผู้นี้เป็นนักธุรกิจ ข้าเพียงจะหากำไรสักสามเท่าจากที่ลงทุนไปในเวลาไม่กี่เดือน ข้าไม่ได้ละโมบเลยสักนิด”

เซี่ยไห่หยางยกยิ้มขึ้น เขามองอีกฝ่ายขณะรอฟังคำตอบ

หวังเป่าเล่อไม่ได้เก็บซ่อนแววตาพินิจพิเคราะห์ของตน ตอนนี้เขาขาดแคลนแต้มการรบมาก จากโครงสร้างธุรกิจนี้ หากมีเรือวิญญาณเพิ่มขึ้นมาหนึ่งลำ ตนก็จะได้แต้มการรบสามสิบหกแต้มเพิ่มขึ้นทุกวัน

เรือวิญญาณหนึ่งลำใช้แต้มการรบหลายร้อยแต้ม หากที่เซี่ยไห่หยางพูดไม่ใช่เรื่องโกหก เขาก็จะลดต้นทุนไปได้ร้อยละสามสิบ จากนั้นก็ขยายกิจการไปได้เป็นยี่สิบลำ รายได้ต่อวันก็จะเพิ่มขึ้นหลายร้อยแต้ม เดือนหนึ่งจะได้แต้มการรบสูงถึงหกพันแต้ม!

หวังเป่าเล่อพิจารณาตัวเลือกต่างๆ การเสี่ยงลงทุนในครั้งนี้จะสร้างรายได้ให้เขามากขึ้น เนื่องจากธุรกิจนี้หวังพึ่งการทับซ้อนขึ้นไปเรื่อยๆ หากมีเวลาเพียงพอ กำไรที่ได้ก็จะเพิ่มมากขึ้นตามระยะเวลาที่ผ่านไป จะหาแต้มการรบมากกว่าพันแต้มในหนึ่งวันก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ หากเขาขยายขอบเขตการลงทุน อวิ๋นเพียวจื่อก็ต้องทำเช่นกันเพื่อรักษาดุลยภาพการลงทุนไว้ มิเช่นนั้นก็จะได้ผลตอบแทนน้อยลง…และเขายังสามารถใช้โอกาสนี้พัฒนาความสัมพันธ์กับชายอ้วนให้แน่นแฟ้นขึ้น

อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องคิดคือการที่เซี่ยไห่หยางไม่ขอรับส่วนแบ่งขณะธุรกิจยังดำเนินการอยู่ แต่จะรอรับค่าชดเชยจากทางสำนักแทน หมายความว่าเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงเรื่องการยึดธุรกิจได้ และธุรกิจของเขาก็จะอยู่ได้อีกไม่นาน เป็นเหตุให้หวังเป่าเล่อต้องการการลงทุนจากภายนอกเพิ่มเติมในตอนนี้

หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็ฉายแววแน่วแน่เด็ดเดี่ยว

“เซี่ยไห่หยาง ข้าจะไม่ขอให้เจ้าลงทุนมากกว่านี้ ข้ายอมรับข้อเสนอของเจ้าทั้งหมด แต่ข้าก็มีข้อเสนอของตัวเองเช่นกัน อย่างแรกคือเจ้าจะต้องรับปากเรื่องส่วนลด อย่างที่สอง…เจ้าจะต้องใช้เส้นสายที่มีชะลอเรื่องการยึดธุรกิจออกไป!

“อีกข้อก็คือ ข้าจะขายแค่สูตรการหลอมให้สำนัก ไม่ขายตัวเรือวิญญาณที่หลอมเสร็จแล้วให้!

“เราร่วมงานกันมาหลายหน ข้าเชื่อใจเจ้า อีกอย่าง ข้าชอบการทำธุรกิจที่ตรงไปตรงมา ถ้าเจ้ารับข้อเสนอของข้าได้ก็เป็นอันตกลง!”

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset