กระถางเผาเครื่องหอมบนแท่นคงกระพันดูเรียบง่ายและเก่าแก่ มีอักขราจารึกขนาดใหญ่เก้าตัวปรากฏอยู่บนกระถาง พวกเขาไม่รู้ว่าอักขราจารึกเหล่านั้นมีความหมายว่าอย่างไร แต่ก็สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่แผ่พุ่งออกมา
ทันใดที่หวังเป่าเล่อยกมือขวาวางลงบนกระถางเผาเครื่องหอม แรงสูบแกร่งกล้าก็พวยพุ่งออกมาดูดร่างกายของชายหนุ่ม ช่วงชิงพลังปราณของเขาไปอย่างง่ายดาย ก่อนจะดึงเข้าไปในแท่นคงกระพัน!
หวังเป่าเล่อไม่สามารถทำอะไรได้ พลังปราณของเขาเริ่มหลุดลอยออกไปเหมือนม้าที่หลุดออกจากบังเหียน พลังปราณพวยพุ่งไปทางแท่นคงกระพัน ทันใดนั้นอักขระตัวหนึ่งก็ส่องแสงจางๆ ขึ้น
อารมณ์มากมายฉายชัดบนใบหน้าของเจ้าเยี่ยเหมิงและจั่วอี้ฟาน ทั้งสองรีบพุ่งเข้าไปยกฝ่ามือแตะแท่นคงกระพัน คลื่นพลังปราณพวยพุ่งออกจากร่างพวกเขา ก่อนจะโดนดูดเข้าไปในกระถางเผาเครื่องหอม ตัวอักขระที่เรืองแสงอยู่ส่องสว่างเจิดจ้ามากขึ้น
แม้ทั้งสามจะร่วมมือกัน สองคนอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นใน ส่วนอีกหนึ่งคนอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่น ก็ไม่สามารถตอบความกระหายของอักขราจารึกตัวแรกได้ หวังเป่าเล่อเตรียมตัวไว้พร้อมอยู่แล้ว พอสัมผัสได้ว่าจั่วอี้ฟานเริ่มอ่อนแรงลง เขาก็หยิบศิลาวิญญาณขั้นสูงสุดสามก้อนโยนไปให้เจ้าเยี่ยเหมิงและจั่วอี้ฟานคนละก้อน ชายหนุ่มถือศิลาวิญญาณก้อนที่เหลือไว้ในมือซ้าย จากนั้นก็ปล่อยให้ปราณวิญญาณภายในศิลาไหลเวียนเข้าสู่ร่าง
เวลาล่วงผ่านไป แม้จะหน้าซีดตัวสั่น ทั้งสามก็หาสมดุลให้กับตนเองได้ด้วยความช่วยเหลือจากศิลาวิญญาณขั้นสูงสุด หลังจากหมดศิลาไปหลายร้อยก้อน ในที่สุดอักขราจารึกตัวแรกบนกระถางเผาเครื่องหอมก็ส่องแสงเต็มขั้น
ทันทีที่ตัวอักขระส่องแสงเต็มขั้น พลังมหาศาลก็พวยพุ่งออกมาจากแท่นคงกระพันสกัดกั้นแรงสูบไว้ ทั้งสามเซถอยหลังไปพร้อมกับร่างที่สั่นเทา
ทันใดนั้น แสงจ้าจากอักขระตัวแรกก็ส่องสว่างไปทั่วบริเวณ กระถางเผาเครื่องหอมเริ่มสั่นสะเทือน ในที่สุดมันก็ตื่นขึ้นหลังจากหลับใหลมาหลายสิบปี!
เสียงกัมปนาทดังสนั่นจนหูแทบดับ ควันบางสีเขียวค่อยๆ ลอยออกมาจากกระถางเผาเครื่องหอมขึ้นสู่ท้องฟ้า
ภาพเบื้องหน้าช่างน่าฉงนใจ หวังเป่าเล่อเอ่ยขึ้นทันใด “ท่องบทสวดที่ข้าสอนแล้วเดินเข้าไปในควันสีเขียว!”
แม่นางน้อยสอนบทสวดให้ชายหนุ่มระหว่างการเดินทางสิบวัน เป็นบทสวดง่ายๆ คล้ายรหัสสั้นๆ เจ้าเยี่ยเหมิงและจั่วอี้ฟานจำได้อย่างง่ายดายหลังจากที่อีกฝ่ายสอน พอหวังเป่าเล่อพูดจบ พวกเขาก็รีบตั้งผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ อย่างพร้อมเพรียง ร่างของทั้งสามเรืองแสงสีเขียวขณะที่ท่องบทสวดอยู่ในหัว แสงจากกายสว่างขึ้นเรื่อยๆ จนบดบังร่างกายมิด ก่อนจะพลันกลายร่างเป็นดวงไฟสีเขียว
ดวงไฟส่องสว่างขณะค่อยๆ ลอยขึ้นสู่อากาศ มุ่งหน้าไปทางกระถางเผาเครื่องหอมขนาดยักษ์ ทั้งสามเคลื่อนตัวไปยังควันสีเขียวที่ลอยอยู่เหนือกระถางเผาเครื่องหอม ก่อนจะผสานเป็นส่วนหนึ่งของควัน เห็นเป็นร่างเงารางๆ ของหวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิง และจั่วอี้ฟานอยู่ในควันสีเขียว
ก่อนพวกเขาจะทันได้หายตื่นตกใจ ควันสีเขียวก็ลอยขึ้นสู่นภากว้างใหญ่อย่างรวดเร็ว ก่อนจะพุ่งทะลุผ่านยอดเขาและทะเลเพลิงที่กั้นขวาง รวดเร็วเกินกว่าที่ทั้งสามเคยได้สัมผัส การเดินทางด้วยควันช่างเหนือเกินกว่าจินตนาการ พวกเขาไม่สามารถข่มความรู้สึกที่มีในใจไว้ได้
“สำนักวังเต๋าไพศาลที่แท้จริงเป็นเช่นนี้เอง…” จั่วอี้ฟานพูดพึมพำกับตัวเอง เจ้าเยี่ยเหมิงเริ่มวิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้น แม้จะตื่นตะลึงอยู่ แต่ในหัวก็คิดหาหลักการทำงานของแท่นคงกระพันไปด้วยตามนิสัย
หวังเป่าเล่อเป็นเพียงคนเดียวที่ทำตาเป็นประกาย หากใช้แท่นคงกระพันดีๆ เขาก็อาจจะ…สามารถเข้าไปหาสมบัติในพื้นที่ต้องสาปได้ทุกที่
แต่ละคนตกอยู่ในภวังค์ความคิด แต่ก็ยังคงตื่นตะลึงกับการเดินทางด้วยควันครั้งนี้ไม่หาย เป็นการเดินทางที่รวดเร็วยิ่ง หวังเป่าเล่อประเมินคร่าวๆ ว่าควันนี้น่าจะเร็วกว่าตนเองเป็นร้อยเท่า ทั้งสามจ้องมองไปยังผืนดินเบื้องล่างขณะเดินทาง ไม่สามารถสงบใจจากอาการตื่นตะลึงได้เลย
ขณะเดินทางพวกเขาได้เห็นอาณาเขตกว้างขวางในตัวกระบี่ซึ่งถือเป็นโอกาสหายาก ทั้งสามมองดูทะเลเพลิงที่กินพื้นที่ไปครึ่งหนึ่ง ส่วนครึ่งที่เหลือเต็มไปด้วยภูมิประเทศหลากหลายรูปแบบ
ปล่องภูเขาไฟลึกหลายร้อยแห่งปรากฏให้เห็นในสายตา หลายๆ แห่งไม่มีลาวาอยู่ภายใน ถึงจะมีก็ไม่ได้เยอะจนจะล้นออกมา พลังน่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมาจากส่วนลึกของปล่องภูเขาไฟแต่ละแห่ง
พวกเขาพบพลังเฉพาะของคาถาหลากหลายรูปแบบในบางพื้นที่ ทั้งสามสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายอันน่าพรั่นพรึงจากพื้นที่เหล่านั้นแม้จะมีควันปกป้องอยู่
แต่สิ่งที่ได้เห็นมานั้นไม่อาจเทียบเคียงกับสิ่งที่กำลังจะได้เห็น ขณะที่กำลังทะยานอยู่บนอากาศก็มีหัตถ์ยักษ์โผล่ออกมาจากทะเลเพลิงเบื้องล่าง มันต่างจากหัตถ์ยักษ์ที่พบก่อนหน้านี้เพราะมีเพียงสี่นิ้ว มันพุ่งขึ้นมาคว้าควันที่พวกเขาซ่อนกายอยู่ ทั้งสามตื่นตกใจ แต่หัตถ์ยักษ์ก็คว้าพลาด ควันสีเขียวไม่ได้ต่างจากควันธรรมดา มันสลายไปในอากาศ ก่อนจะรวมตัวใหม่อีกครั้งและทะยานผ่านฟากฟ้าต่อไป
ภัยไร้อันตรายทำให้พวกเขาใจเต้นถี่รัวก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ทั้งสามมองไปรอบๆ ระหว่างเดินทาง ไม่นานพื้นที่โล่งกว้างก็ค่อยๆ ปรากฏให้เห็นในสายตา บนที่โล่งแห่งนั้น…มีโครงกระดูกมากมายนับไม่ถ้วนเรียงรายอยู่!
“นี่…นี่มัน…” หวังเป่าเล่อตาถลนแทบหลุดออกจากเบ้า เขาหายใจถี่รัวขณะจ้องมองแผ่นดินเบื้องล่างที่เป็นที่โล่งกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา มีโครงกระดูกมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหวกองอยู่เต็มพื้นที่
โครงกระดูกเหล่านั้นคือผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลและคนจากตระกูลไม่รู้สิ้น เห็นได้ชัดว่าเกิดการรบครั้งใหญ่ระหว่างทั้งสองฝ่ายบนพื้นที่แห่งนี้ กลิ่นอายความตายลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศ สัมผัสได้ถึงควายหายนะที่ปกคลุมทั่วพื้นที่ หากผู้มีระดับการฝึกตนไม่ถึงขั้นย่างกรายผ่านมาคงจะเสียสติไปในทันที
แต่ถ้าผู้ใดสามารถผ่านเข้ามาได้อย่างปลอดภัย คนผู้นั้นก็จะได้รางวัลมากมายมหาศาลถึงขั้นกลายเป็นเศรษฐี แต้มการรบที่จะได้จากตราประจำตัวที่พบในที่แห่งนี้มากเกินกว่าจะจินตนาการได้ ยังไม่รวมสมบัติอีกมากมายที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าคลังเวทนับไม่ถ้วนบนสนามรบ…
“สวรรค์!” หวังเป่าเล่อคิดว่าตนได้สมบัติมามากมาย แต่ก็ได้ตระหนักแล้วว่าที่หามาได้เป็นแค่เม็ดทรายในมหาสมุทรกว้างใหญ่ ช่างน่าสลดใจเสียจริง
ภาพเบื้องหน้าทำให้รู้ว่าพวกตนคงไม่มีทางกลับไปได้หากไม่ได้มาเจอแท่นคงกระพัน!
ควันสีเขียวท่องนภาไปเป็นเวลาสามวัน ข้ามผ่านแผ่นดินมากมายไม่คุ้นตา ก่อนจะพบเข้ากับทะเลสุดแปลกประหลาด!
ทะเลแห่งนี้ไม่ได้เต็มไปด้วยเพลิงแต่เป็นโลหิต ทะเลโลหิตถูกห้อมล้อมด้วยทะเลเพลิง เห็นได้ชัดเจนว่าขอบทะเลอยู่ตรงส่วนใดเนื่องจากเปลวเพลิงไม่สามารถย่างกรายเข้ามาได้แม้แต่นิด ควันสีเขียวเริ่มบิดเบี้ยวและค่อยๆ จางลงขณะลอยผ่าน เหมือนว่าจะได้รับผลกระทบจากทะเลโลหิต ทั้งสามเริ่มเป็นกังวลเมื่อเห็นว่าควันกำลังจะสลายไป ขณะมองลงไปเบื้องล่าง เจ้าเยี่ยเหมิงก็พูดขึ้น “มีศพอยู่ในทะเลโลหิต!”
ศพศพหนึ่งลอยอยู่บนทะเลโลหิต ไม่ได้มีขนาดใหญ่โตมาก แต่ก็สูงกว่าคนปกติทั่วไป ศพศพนั้นสูงประมาณหกเมตร แต่งกายด้วยชุดหรูหรา กะโหลกหลงเหลืออยู่เพียงแค่ครึ่งซีก
หากไม่ใช่เพราะพวกเขาสายตาดีคงไม่สามารถสังเกตเห็นได้ เพราะมีหมอกปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่น
แม้ศพจะมีกะโหลกอยู่แค่ครึ่งซีก และเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณ แต่พลังกล้าแกร่งที่พวยพุ่งออกมาก็ยังทำให้ควันปั่นป่วนไม่หยุด ชัดเจนว่าชายผู้นี้เป็นต้นกำเนิดของทะเลโลหิต เขาได้สร้างปรากฏการณ์น่าพรั่นพรึงไว้หลังจากสิ้นชีพ ภาพเบื้องหน้าถือเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดตลอดการเดินทางด้วยควันสีเขียวของทั้งสาม!
ระดับการฝึกตนของเขาเมื่อครั้งยังมีชีวิตน่าจะอยู่ในระดับดารานิรันดร์เป็นอย่างน้อย! อาจจะแข็งแกร่งกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ! หวังเป่าเล่อเดาเอาคร่าวๆ จากประสบการณ์ในนิมิตมืด พลังของศพและตราสัญลักษณ์บนแขนทำให้เขาตื่นตกใจ คนอื่นอาจจะไม่รู้ว่าตราสัญลักษณ์นั่นหมายถึงอะไร แต่ชายหนุ่มเคยอ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้มาตอนอยู่ในนิมิตมืด เขาอ่านเจอมาว่าผู้ฝึกตนที่แกร่งกล้ามากๆ จะสามารถสร้างตราผนึกคลังเวทและสร้างพื้นที่สำรองไว้ในร่างกายเพื่อใช้เก็บทรัพย์สินของตนเองให้ปลอดภัย
ชายผู้นี้น่าจะเป็นผู้อาวุโส! สองแสนแต้มนอนอยู่ตรงนั้น!