หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 537 ต้วนมู่น้อย ของกำลังไปส่ง

บทที่ 537 ต้วนมู่น้อย ของกำลังไปส่ง

หวังเป่าเล่อใจเต้นรัว เขาครุ่นคิดหาเหตุผลว่าเหตุใดสำนักวังเต๋าไพศาลถึงกำลังรวบรวมตราประจำตัวเหล่านี้อยู่ จะต้องมีเหตุผลบางอย่างแน่ เขาตั้งใจไว้ว่าจะถามแม่นางน้อยตอนนางตื่น ตอนนี้พอคิดขึ้นมาได้อีกครั้งก็รีบถามขึ้น

“ตราประจำตัวเป็นของใช้แสดงสิทธิ์ในการเข้าถึงสถานที่ต่างๆ สถานที่หลายๆ แห่งมีเพียงศิษย์ที่ได้รับสิทธิ์เท่านั้นถึงจะเข้าได้ ข้าจะช่วยสอดส่องดูว่าเราจะสามารถหาจารึกของสำนักวังเต๋าไพศาลที่แท้จริงได้ไหม พอเอาชื่อเจ้าใส่เข้าไปก็จะได้รู้วิธีใช้สิทธิ์เข้าพื้นที่ จะใช้ตราประจำตัวของคนอื่นเพื่อยืมสิทธิ์ก็ได้ ศิษย์สำนักในสามคนนั้นคงจะเล็งโอกาสนี้เหมือนกัน แต่เจ้าต้องเอาชื่อไปใส่ในจารึกก่อนถึงจะใช้สิทธิ์ได้” แม่นางน้อยพูดเสียงเรียบเหมือนกับว่าเขามารบกวนนางเพื่อถามเพียงเรื่องทั่วไปที่รู้กันดี

หวังเป่าเล่อข่มแรงยั่วยุภายในใจไว้ไม่ได้ แม้แม่นางน้อยจะไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรมาก เขาก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ชายหนุ่มจ้องมองศพในทะเลโลหิตด้วยความเสียดาย ควันสีเขียวก่อตัวขึ้นใหม่อีกครั้งหลังจากพาพวกหวังเป่าเล่อลอยพ้นเขตทะเลโลหิต แต่ในหัวของเขายังคิดถึงศพที่มีมูลค่าถึงสองแสนแต้มอยู่

วันคืนผ่านไป ควันสีเขียวเริ่มจางลง ก่อนจะหายวับไปหลังจากมาถึงเส้นแบ่งเขตตัวกระบี่กับด้ามจับ พวกเขาลงจอดตรงยอดเขาที่ปราศจากคำสาป หวังเป่าเล่อมองกลับหลังไปด้วยความโหยหาและความรู้สึกมากมายที่แสดงออกผ่านแววตา

“กลับ…มาถึงแล้ว…” จั่วอี้ฟานถอนหายใจ ทั้งสามได้ผ่านการผจญภัยสุดตราตรึง มีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย ใครใจไม่แข็งพอคงจะกลัวจนตัวสั่นไม่ก็ตายไปตั้งแต่ครึ่งทาง

เจ้าเยี่ยเหมิงสูดหายใจลึก ความตื่นเต้นฉายชัดในแววตา นางได้อะไรมามากมายจากการเดินทางครั้งนี้ เหตุการณ์ที่แท่นคงกระพันทำให้นางต้องเก็บมาครุ่นคิด แม้จะไม่สามารถรู้ได้กระจ่างชัด แต่นางก็พอจะได้แรงบันดาลใจกลับมา

หวังเป่าเล่อเป็นคนเดียวที่ยังคงจ้องไปทางด้านหลัง ความมุ่งมั่นเริ่มฉายชัดขึ้นในดวงตา

“ข้าตัดสินใจแล้ว พอระดับการฝึกตนข้าสูงขึ้น ข้าจะกลับไปเก็บตราผู้อาวุโสคนนั้นมา!” ชายหนุ่มกัดฟันแน่น พอพูดจบ ดวงตาของจั่วอี้ฟานก็ส่องแววเคารพชื่นชม ก่อนจะยกมือขึ้นตบบ่าหวังเป่าเล่อ

“เป่าเล่อ เจ้าได้เลือกหนทางที่อันตรายถึงตาย ไม่มีทางให้ถอยเลยนะ”

แม้แต่เจ้าเยี่ยเหมิงยังส่ายหน้าหลังจากจ้องมองอีกฝ่าย หวังเป่าเล่อถอนหายใจเมื่อได้เห็นท่าทีของสหายทั้งสอง ถึงรู้ว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะไปเก็บตราประจำตัวผู้อาวุโสมา แต่ในใจก็ยังคงยึดติด เขาเหม่อลอยตลอดการเดินทางกลับ

โชคดีที่พวกเขามาลงจอดใกล้ๆ ชายขอบ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นชั้นป้องกันมหึมาอยู่ถัดไปไม่ไกล แถวนี้ไม่ค่อยอันตรายเท่าใด ทั้งสามทะยานไปด้านหน้า ไม่นานก็ข้ามชั้นป้องกันออกจากตัวกระบี่เข้าไปยังเขตด้ามจับ!

สิ่งที่คล้ายคลึงกับสายลมเย็นพัดปะทะใบหน้า หวังเป่าเล่อสะบัดเนื้อตัวให้สมองโล่ง เขาพยายามข่มความโหยหาอยากได้กระเป๋าคลังเวทของศพผู้อาวุโส ทั้งสามเดินทางผ่านจุดเคลื่อนย้ายห้าครั้งก็มาถึงสำนักวังเต๋าไพศาล

ทั้งสามรู้จากเครือข่ายวิญญาณประจำพื้นที่ของพันธุ์กล้าสหพันธรัฐว่าเวลาผ่านไปแล้วหกเดือน ไม่ได้ถือว่านานมากนักสำหรับผู้ฝึกตน เวลาเท่านี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติหากเข้าไปปฏิบัติภารกิจในตัวกระบี่ บางคนอาจจะต้องใช้เวลานานกว่านั้นด้วยซ้ำ ทว่าทั้งสามก็ผ่านอะไรมามากมายตลอดหกเดือนที่ผ่านมา

คงไม่มีใครเชื่อหากพวกเขาเล่าให้ฟังว่าได้เจออะไรมาบ้าง แต่ทั้งสามก็ไม่โง่ขนาดจะเผยแพร่ข้อมูลง่ายๆ เจ้าเยี่ยเหมิงและจั่วอี้ฟานเดินทางกลับทันทีหลังจากมาถึงสำนักวังเต๋าไพศาล พวกเขาได้รับอะไรมามากมายจึงต้องรีบกลับไปถือสันโดษเพื่อจัดการกับสิ่งต่างๆ ที่ได้มา

ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็ดับความกระหายอยากได้แต้มการรบจากศพผู้อาวุโสได้ เขามุ่งหน้าไปยังสำนักวังเต๋าไพศาลเพื่อแลกตราประจำตัวกับแต้มการรบ

ชายหนุ่มได้สมบัติมามากมาย ไม่มีทางเลยที่จะซ่อนไม่ให้คนอื่นรู้ว่าตนมีตราประจำตัวศิษย์ขั้นกำเนิดแก่นในอยู่ในครอบครอง เขาจึงเลือกที่จะระวังตัวเป็นพิเศษขณะมุ่งหน้าไปยังแผ่นหินรับภารกิจ

ดูเหมือนว่าสถานที่แห่งนี้จะไม่เคยร้างไร้ผู้คน ผู้ฝึกตนมากมายยืนรายล้อมแผ่นหิน การมาของหวังเป่าเล่อไม่ได้รับความสนใจเท่าใดนัก เขาเดินไปยังแผ่นหิน กำลังจะแลกของที่ได้มากับแต้มการรบ ทันใดนั้น เสียงเซ็งแซ่รอบๆ ก็เริ่มจางหายก่อนจะเงียบกริบไป

หวังเป่าเล่อตัวแข็งทื่อ เขาหันกลับไปมอง ผู้คนรอบข้างหยุดหายใจขณะจ้องมองไปยังคนที่กำลังเดินเข้ามา

คนผู้นั้นเป็นชายหนุ่มสูงชะลูด ร่างกำยำ ไว้ผมยาวดำขลับ สวมเสื้อคลุมสีแดงที่บ่งบอกว่าตนเป็นศิษย์เอกของใครสักคนในสำนักวังเต๋าไพศาล คลื่นเย็นยะเยือกไหลออกมาจากร่าง ดวงตาว่างเปล่า ใบหน้าหล่อเหลานั้นดูเย็นชาราวภูเขาน้ำแข็ง!

เขาไม่ได้ดูหยิ่งยโสหรือนอบน้อมถ่อมตน และสัมผัสไม่ได้ถึงพลังวิญญาณแม้แต่นิด กลุ่มคนที่ยืนขวางทางอยู่แหวกทางให้ชายหนุ่มที่เพิ่งทะยานลงมาจากท้องฟ้า พวกเขาก้มหัวทำความเคารพ ไม่กล้าแม้แต่จะสบสายตาด้วย

“ศิษย์พี่ตู้กูหลิน!”

“เขาเป็นศิษย์เอกคนแรกของเมี่ยเลี่ยจื่อ…”

“ได้ยินมาว่าเขาเอาแต่ตระเวนไปมาอยู่คนเดียวในเขตตัวกระบี่…”

ผู้คนรอบๆ เริ่มกระซิบคุยกัน หวังเป่าเล่อหรี่ตามอง คนอื่นๆ อาจจะสัมผัสได้เพียงไอเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมา แต่ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความดุร้ายที่ลอยอยู่รอบตัวตู้กูหลินผู้เป็นศิษย์เอกคนแรกของเมี่ยเลี่ยจื่อ ความดุร้ายเหล่านั้นไม่ได้มาจากตัวตู้กูหลิน แต่มาจากการเข่นฆ่านับครั้งไม่ถ้วนและก่อรวมกันเป็นบรรยากาศห้อมล้อมกายไว้!

รังสีสังหารรุนแรงมาก! หวังเป่าเล่อมีสีหน้าราบเรียบ เขาอาศัยอยู่ที่สำนักวังเต๋าไพศาลมาเกือบปีแล้ว เคยได้ยินเรื่องห้าอัจฉริยะมาจากอวิ๋นเพียวจื่อและจากทางเครือข่ายวิญญาณประจำพื้นที่

อัจฉริยะทั้งห้าคนล้วนเป็นศิษย์เอกของสามผู้อาวุโส และตู้กูหลินก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาเป็นศิษย์เอกของเมี่ยเลี่ยจื่อ อัจฉริยะอีกสองคนคือศิษย์เอกของเฟิ่งชิวหรัน ส่วนสองคนที่เหลือเป็นศิษย์เอกของโยวหรัน

ทั้งห้าคนอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ มีพรสวรรค์และความสามารถเหนือชั้นกว่าผู้อื่น คนทั้งห้าไม่ค่อยปรากฏตัวในสำนักวังเต๋าไพศาล ทุกคนจึงให้ความสนใจมากเมื่อได้พบพวกเขา

ตู้กูหลินเดินหน้านิ่งไปยังแผ่นหินรับภารกิจท่ามกลางสายตากลัวเกรงของฝูงชน เขาโบกมือขวา หยิบตราประจำตัวจำนวนมากออกมาแลกแต้มการรบ แผ่นหินยักษ์ส่องแสงจ้า ชายหนุ่มนำตราประจำตัวมาแลกมากเกินไปจึงต้องใช้เวลาคำนวณอยู่ยกใหญ่

เสียงเซ็งแซ่ดังขึ้นอีกครั้งเมื่อตู้กูหลินหยิบตราประจำตัวออกมา หวังเป่าเล่อแอบมองด้วยความตื่นตกใจ แม้ในกองจะไม่มีตราประจำตัวของศิษย์ระดับกำเนิดแก่นใน แต่ก็มีตราประจำตัวของศิษย์สำนักในถึงสิบสามชิ้นและตราประจำตัวของศิษย์สำนักนอกอีกว่าร้อยชิ้น จำนวนที่ชายผู้นี้รวบรวมมาได้ช่างมากจนน่าตื่นตะลึง

แม้ที่นำมาแลกจะสู้ที่หวังเป่าเล่อมีไม่ได้ แต่ชายหนุ่มก็ทราบดีถึงความอันตรายภายในตัวกระบี่ การจะรวบรวมตราประจำตัวมาได้มากมายเพียงนี้หมายความว่าต้องมีการเข้าไปในเขตหวงห้าม หวังเป่าเล่อเริ่มระแวงชายผู้นี้ขึ้นมา เขาตัดสินใจจะไม่แลกตราประจำตัวตอนนี้เนื่องจากไม่มีเหตุอะไรต้องไปแข่งกับคนที่ไม่ได้มีความแค้นต่อกัน ถือเป็นเรื่องไร้ประโยชน์สิ้นดีถ้าจะทำเช่นนั้น

เขาเห็นว่าแผ่นหินจะส่องแสงถ้าตราประจำตัวที่นำมาแลกมีจำนวนมากเกินกว่าปกติ หวังเป่าเล่อจึงตัดสินใจจะแบ่งตราประจำตัวไปแลกทีละชุด แม้การกระทำเช่นนี้อาจจะดึงความสนใจที่ไม่ต้องการเข้าเอาได้

หวังเป่าเล่อเตร็ดเตร่อยู่ในสำนักวังเต๋าไพศาลอยู่สักพักหลังจากที่ตู้กูหลินกลับออกไป จากนั้นจึงกลับไปที่แผ่นหินรับภารกิจและแลกตราประจำตัวทีละชุด เขาเก็บตราประจำตัวศิษย์ขั้นกำเนิดแก่นในไว้แลกเป็นชิ้นสุดท้าย ฝูงชนเริ่มส่งเสียงตื่นตกใจเมื่อเห็นแผ่นหินส่องแสงขึ้น

“เมื่อครู่มีคนแลกแต้มการรบจำนวนมาก…ดูจากความสว่างแล้ว น่าจะสูงถึงหนึ่งหมื่นแต้มเป็นอย่างน้อย!”

“ใครกันที่ทำเช่นนั้นได้”

ด้วยความรอบคอบของหวังเป่าเล่อทำให้ไม่มีใครรู้ว่าคนผู้นั้นคือเขาเอง ชายหนุ่มยืนมองฝูงชนสนทนากันอย่างดุเดือด ทั้งยังแกล้งตกใจไปด้วย ผ่านไปสักพัก เขาก็ส่ายหน้าและกลับออกไป

ชายหนุ่มตื่นเต้นเกินบรรยายขณะมองแต้มการรบที่ได้มาจากการแลกด้วยความพึงพอใจอย่างมาก

เขาได้แต้มการรบมากว่าสี่หมื่นแต้ม!

แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณก็ยังถือเป็นแต้มจำนวนมากทีเดียว แต้มการรบนั้นเป็นสิ่งมีค่าในสำนักวังเต๋าไพศาล นอกจากภารกิจรวบรวมตราประจำตัวแล้ว แต้มการรบที่ได้จากภารกิจอื่นๆ นั้นน้อยเสียจนน่าใจหาย นอกจากนี้ การฝึกตนก็จำเป็นต้องใช้แต้มการรบอยู่ตลอด

หวังเป่าเล่อมุ่งหน้าไปยังหอตำรากระบวนเวทไพศาลพร้อมแต้มการรบที่มี หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็แลกกระบวนเวทมาสิบห้าวิชา แต่ละวิชาราคาพันแต้ม ชายหนุ่มรู้สึกเสียดายเล็กน้อย เขาได้รับวิชาสืบทอดมามากมายที่ดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้น แต่ทั้งหมดก็อยู่ในหัว ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นแผ่นหยกได้เพราะยังมีระดับการฝึกตนไม่ถึงขั้น ทำให้หวังเป่าเล่อไม่สามารถส่งวิชาเหล่านั้นให้ทางสหพันธรัฐได้

ส่วนวิชาที่เจอในถ้ำที่พัก เจ้าเยี่ยเหมิงกับจั่วอี้ฟานก็เอาไปฝึกอยู่ ในฐานะสหาย เขาไม่มีทางเผยแพร่วิชาพวกนี้ไปโดยง่าย ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก ชายหนุ่มจึงเลือกใช้แต้มการรบแลกกระบวนเวทใหม่มา

ข้ารวยแล้ว หมื่นแต้มก็เป็นแค่เศษเงิน ไหนจะมีเรือวิญญาณอยู่อีก ซึ่งน่าจะได้แต้มมามากโขเหมือนกัน อวิ๋นเพียวจื่อบอกว่าการเจรจาค้าขายใกล้สำเร็จแล้วตั้งแต่หกเดือนก่อน ข้าต้องไปถามความคืบหน้าจากเขาเสียหน่อย น่าจะได้แต้มมาเยอะทีเดียว พอคิดว่าตนเองร่ำรวยเพียงใดก็สุขใจจนล้นอยู่ในอก เขาแลกกระบวนเวทมาสิบห้าวิชาโดยไม่มัวมาคิดเล็กคิดน้อย หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายในทันที

ต้วนมู่น้อย ของกำลังไปส่ง! หวังเป่าเล่อรู้สึกฮึกเหิม สัมผัสได้ว่าหนทางขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐนั้นอยู่ไม่ไกลแล้ว

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset