เหลียงหลงหน้าถอดสีเมื่อได้ยินที่หวังเป่าเล่อพูด ในที่สุดสมองก็ตื่นเต็มที่ เขาหยุดหายใจไปชั่วครู่เมื่อรู้ว่าตนทำพลาดไป ชายหนุ่มอยากแก้ไขข้อผิดพลาด แต่ก็โดนหวังเป่าเล่อเล่นงานเอาเสียแล้ว ไม่มีทางใดเลยที่จะสามารถแก้สถานการณ์ให้กลับคืนมาได้ ขณะที่กำลังลนลาน เมี่ยเลี่ยจื่อที่คอยอยู่เงียบๆ ก็ส่ายหัว
“เหลียงหลง เจ้ารู้ไหมว่าตัวเองพลาดตรงไหน”
“ศิษย์ผู้ต่ำต้อย…” เหลียงหลงนิ่งไป หวังเป่าเล่อหรี่ตามองก่อนจะเดินไปทางเฟิ่งชิวหรัน สีหน้าของนางไม่แปรเปลี่ยนไปจากเดิม มีเพียงดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อยขณะหันไปมองเมี่ยเลี่ยจื่อ
“เจ้าผิดที่ยึดติดกับเหตุผล คิดแต่ว่าตนจะต้องถูก” แววตาของเมี่ยเลี่ยจื่อแฝงไว้ด้วยความผิดหวังเล็กน้อย เขาหันหน้ามาอีกทางและยกมือขึ้นคว้าหวังเป่าเล่อในทันที
ฟ้าพลันเปลี่ยนสี ลมกรรโชกพัดปั่นป่วนเมฆา ทะเลเพลิงปะทุเดือด พลังมหาศาลแปรเปลี่ยนกลายเป็นพายุ ส่งเสียงขู่คำรามพร้อมฉีกทุกอย่างที่ขวางหน้าเป็นชิ้นๆ พายุเคลื่อนตัวไปทางหวังเป่าเล่อ หมายจะกลืนกินเขาทั้งเป็น
ภัยอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามา แต่ชายหนุ่มกลับไม่อาจขยับตัวได้ราวกับว่าพลังปราณถูกข่มเอาไว้ ภาพตรงหน้าเป็นเหมือนช่องว่างที่แบ่งแยกเขากับเมี่ยเลี่ยจื่อ และในโลกแห่งนี้ เมี่ยเลี่ยจื่อนั้นเป็นดั่งเทพ!
โชคดีที่เมี่ยเลี่ยจื่อไม่ใช่เทพเพียงองค์เดียวของที่นี่ แต่ยังมีเฟิ่งชิวหรันด้วยเช่นกัน!
เฟิ่งชิวหรันยกมือขวาขึ้นทันทีที่อีกฝ่ายเริ่มโจมตี หญิงสาวชี้นิ้วไปทางเมี่ยเลี่ยจื่อ ระลอกน้ำพลันปรากฏขึ้นใต้เท้านางทันใด ระลอกน้ำกระจายวงกว้างออกไปก่อนจะกลายเป็นมหาสมุทรกว้างใหญ่ในชั่วพริบตา คลื่นยักษ์ก่อตัวขึ้นรอบทิศทางก่อนจะพุ่งเข้าปะทะคนตรงหน้าส่งเสียงกึกก้องดังไปทั่วบริเวณ
หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้ม กระอักเลือดสดๆ ออกจากปาก เหลียงหลงเองก็มีสภาพไม่ต่างกัน เขาสัมผัสได้ว่ามีเลือดไหลออกจากทุกช่องทางบนใบหน้าและพร้อมจะล้มลงได้ทุกเมื่อ มีเพียงเมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรันที่ยังคงยืนหยัดอยู่ ชุดคลุมของทั้งสองไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย แต่เกาะร้างใต้เท้านั้น…กลายเป็นเถ้าธุลีสลายหายไปจากกระบี่สำริดเขียวโบราณ ทะเลเพลิงปะทุขึ้นมาแทนที่ ราวกับว่าไม่เคยมีเกาะแห่งนี้อยู่ตั้งแต่ต้น
“หวังเป่าเล่อ เจ้าหาทางเอาตัวรอดได้แล้วอย่างไร” เมี่ยเลี่ยจื่อยืนไพล่มือไว้ด้านหลังอยู่กลางอากาศ ก้มมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาเย็นชา
“จำเอาไว้ว่าถ้าเจ้ากล้าเล่นแง่อะไรกับศิษย์ข้าอีก เจ้าได้มีชะตากรรมไม่ต่างจากเกาะแห่งนี้แน่!” เมี่ยเลี่ยจื่อผงกหัวให้เฟิ่งชิวหรัน ก่อนจะพาเหลียงหลงที่บาดเจ็บหนักจนหมดสติหายวับออกไป
หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ เฟิ่งชิวหรันหลับตาลง ผ่านไปครู่หนึ่งก็ค่อยๆ ลืมตา นางเหมือนตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา ดวงตาของหญิงสาวเต็มไปด้วยความเหนื่อยอ่อน นางถอนหายใจ หันหลังและจากไป
เหลือทิ้งไว้เพียงชายหนุ่มที่ยังคงลอยค้างกลางอากาศอยู่เนิ่นนาน เขามองทอดสายตาไปทางที่เมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรันกลับออกไป ผ่านไปครู่หนึ่งก็หรี่ตาลง
พึ่งพาตนเองคงจะดีกว่าไปพึ่งพาคนอื่น ผู้อาวุโสเฟิ่งไม่ค่อยสู้คน นางอาจเป็นพันธมิตรที่ดีที่สุดของสหพันธรัฐ แต่ไม่คนที่ข้าจะพึ่งพาได้…
ท้ายที่สุดแล้ว ข้าก็ต้องพึ่งพากำลังของตนเอง…ขั้นเชื่อมวิญญาณหรือ ถ้าเขาตั้งใจจะฆ่าข้าจริงๆ ข้าจะลองสู้ดูสักตั้งและเรียกแม่นางน้อยออกมา จากนั้นก็หนีไปยังเขตตัวกระบี่! หวังเป่าเล่อส่ายหัว จากนั้นก็สูดหายใจลึก เขาก้าวไปด้านหน้า ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังสำนักวังเต๋าไแต่ไปที่เกาะเพลิงเขียวแทน
เมื่อหวังเป่าเล่อกลับมาถึงเกาะของตนเอง เขาก็นั่งขัดสมาธิและเริ่มไตร่ตรองสิ่งต่างๆ ภาพการโจมตีครั้งสุดท้ายของเมี่ยเลี่ยจื่อปรากฏขึ้นในหัว ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงความกดดันมหาศาล เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เขาอยากบรรลุขั้นการฝึกตนมากขึ้นไปอีก
ข้าต้องบรรลุขั้นจุติวิญญาณให้เร็วที่สุด! เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าก็น่าจะควบคุมวัตถุเวทแห่งความมืดได้มากขึ้น! หวังเป่าเล่อหยิบแผ่นหยกที่บันทึกกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงไว้ออกมาและตั้งใจอ่านวิชาขั้นที่สอง
วิชาขั้นที่สองของกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงทำให้เขาสร้างอัสนีอวตารที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการรบขึ้นมาได้ เขาต้องคอยหล่อเลี้ยงอัสนีอวตารไว้ภายในกาย และอัสนีอวตารจะปลดปล่อยพลังที่แข็งแกร่งกว่าพลังดั้งเดิมของเขาออกมา
แต่ถ้าอัสนีอวตารถูกทำลาย เขาก็จะได้รับผลกระทบรุนแรง อัสนีอวตารนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แก่นในของหวังเป่าเล่อนั้นแตกต่างจากคนอื่นๆ ชายหนุ่มคิดว่าหากแก่นในอัสนีเสียหาย ผลกระทบที่ได้รับน่าจะหนักไม่น้อย แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นอันตราย และเขาน่าจะสามารถเอาชีวิตรอดได้
หลังจากได้ข้อสรุป หวังเป่าเล่อก็ไม่ลังเลใจ รีบหลับตาเข้าสู่ห้วงสมาธิเพื่อฝึกวิชาขั้นที่สองของอัสนีนิรันดร์จำแลง เขากินโอสถที่ได้มาก่อนหน้านี้ไปเรื่อยๆ เมื่อระดับพลังปราณเริ่มเพิ่มพูน ระดับการฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลางก็เริ่มคงที่ขึ้น จากนั้นชายหนุ่มก็ค่อยๆ พัฒนาไปยังขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลาย
หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างเชื่องช้า เหลียงหลงไม่ได้กลับมาที่เกาะตลอดทั้งเดือน แม้เมี่ยเลี่ยจื่อจะกล่าวเตือนหวังเป่าเล่อเอาไว้ แต่เหลียงหลงก็กลัววิธีการของหวังเป่าเล่อขึ้นสมองจึงเลือกหลีกเลี่ยงไม่เจอหน้าตามสัญชาตญาณ
เชือกพิลึกกลับมาหาหวังเป่าเล่อในคืนหนึ่ง…
ยังมีเรื่องของเจ้าลาอีก หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าครั้งนี้ตนจะฝึกวิชานานเท่าใด จึงปล่อยเจ้าลาให้ออกไปหาอาหารกินเอง อย่างไรเสียเจ้าลาก็สามารถแปลงกายเป็นงูเหลือมขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ได้ ดูแล้วมันน่าจะดูแลตนเองได้อย่างไม่มีปัญหา ขอแค่ไม่ไปยั่วบาทาพวกคนใหญ่คนโตเข้าก็พอ
เจ้าลาแสนตื่นเต้นเมื่อเจ้านายปล่อยออกมา ตอนแรกคิดว่าจะต้องหิวจนตายเอาเสียแล้ว มันรีบพุ่งออกไปทันทีที่ถูกปล่อย เข้าไปกัดกินหินภูเขาคำโตก่อนจะหันไปแทะต้นไม้ใบหญ้า มันหิวเสียจนซดลาวาไปอึกใหญ่
ชายหนุ่มไม่สนใจเจ้าลา หันกลับไปเก็บตัวฝึกวิชาต่อ ขณะที่ระดับการฝึกตนค่อยๆ พัฒนาขึ้น ก็มีเส้นสายฟ้ามากมายปรากฏขึ้นรอบกาย เส้นสายฟ้าค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้นก่อนที่ภาพมายาของตนจะเริ่มปรากฏขึ้นทับซ้อนกายาจริง
ราวกับว่าเขากำลังสร้างร่างอวตารของตนอยู่กระนั้น
เห็นได้ชัดว่าต้องใช้เวลาไม่น้อยในการฝึกวิชาขั้นที่สองของกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงจนเชี่ยวชาญ เขาพึ่งจะสามารถสร้างร่างต้นแบบแรกเริ่มของร่างอวตารได้ ขณะที่กำลังฝึกวิชาอยู่ อวิ๋นเพียวจื่อก็แจ้งข่าวดีเข้ามา
ชายอ้วนหาลูกค้าใจดีที่จะมาซื้อเรือวิญญาณของหวังเป่าเล่อได้สำเร็จ ลูกค้ารายนี้ตั้งใจจะซื้อเรือทั้งหมด ราคาที่ได้เกือบจะเท่าราคาทุนที่ใช้สร้างเรือ นั่นก็คือลำละสามร้อยแต้ม!
หวังเป่าเล่อรีบติดต่อไปเจรจากับอวิ๋นเพียวจื่อด้วยความสุขใจ เขาเก็บเรือจำนวนหนึ่งไว้กับตัวแล้วขายที่เหลือไปหมด ได้แต้มการรบมากกว่าหมื่นหกพันแต้ม
ชายหนุ่มได้อ่านอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงมาอย่างละเอียด เขาไม่มีทางเก็บรายได้ทั้งหมดไว้คนเดียว ถึงแม้จะอยากทำ ก็คงไม่ลงมือกับเรื่องที่มีคนรู้มากมายเช่นนี้ หวังเป่าเล่อส่งแต้มไปให้อวิ๋นเพียวจื่อสามพันแต้มเพื่อแสดงความขอบคุณ ก่อนจะส่งไปเพิ่มอีกสองพันแต้ม และบอกให้อวิ๋นเพียวจื่อช่วยส่งต่อให้พี่ชายร่วมตระกูล เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ช่วยบอกเตือนในวันนั้น
อวิ๋นเพียวจื่อดีใจมากเมื่อได้รับแต้มการรบ มั่นใจมากว่าต้องรักษามิตรภาพกับหวังเป่าเล่อเอาไว้ พี่ชายของชายอ้วนเองก็ยิ้มเมื่อได้รับแต้มเช่นกัน เขายังไม่ค่อยชอบผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐนัก แต่ตอนนี้กลับรู้สึกต่อหวังเป่าเล่อแตกต่างออกไป
เขามีทั้งพลังและปฏิภาณไหวพริบ…หวังเป่าเล่อผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา!
หวังเป่าเล่อมองแต้มการรบสามหมื่นกว่าแต้มที่มีด้วยความพึงพอใจ เขาฝึกวิชาต่ออย่างเป็นสุข นอกจากจะฝึกวิชาขั้นที่สองของกระบวนเวทนิรันดร์จำแลงแล้ว ยังแบ่งเวลามาศึกษากระบวนเวทเกราะจักรพรรดิที่ได้รับสืบทอดมาอีกด้วย!
หลังจากศึกษาอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดชายหนุ่มก็เข้าใจวิชาสืบทอด อธิบายง่ายๆ ก็คือการสร้างกายเนื้อขึ้นมานอกร่างของตนเอง มีความคล้ายคลึงกับกระบวนเวทนิรันดร์จำแลงและวิชาอัสนีอวตาร แต่ก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว
วิชาอัสนีอวตารเป็นภาพมายา ส่วนกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิเป็นของจริง!
วิชาอัสนีอวตารใช้ปล่อยออกจากร่าง ส่วนกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิใช้ห่อหุ้มร่าง ไม่อาจแยกออกจากร่างได้
คำว่ากายเนื้อของกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิเป็นแค่คำเปรียบเปรย จริงๆ แล้วเป็นการสร้างเกราะขึ้นมาจากเลือดเนื้อเพื่อห่อหุ้มกายจริงเอาไว้!
สิ่งนี้คือเกราะจักรพรรดิ
ขั้นตอนแรกในการฝึกวิชาสืบทอดคือการสร้างเส้นปราณสีโลหิตบนผิวหนัง เส้นปราณจะแผ่กระจายไปทั่วร่างเหมือนเถาวัลย์ ก่อเกิดเป็นโครงสร้างพื้นฐานขึ้น!
เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการจะถือว่าสำเร็จขั้นแรกของกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิ หวังเป่าเล่อจินตนาการภาพในหัว ร่างกายเขาคงจะดูแปลกและน่ากลัวไม่น้อยเมื่อฝึกขั้นนี้ได้สำเร็จ!
ขั้นต่อไปคือการสร้างโครงสร้างกระดูกนอกร่างกาย โดยจะต้องสร้างกระดูกที่สามารถหลอมรวมกับเส้นปราณได้ เป็นเหมือนการปลูกกระดูกขึ้นบนร่าง ส่งผลให้พลังต้านทานของเขาเพิ่มสูงถึงขีดสุด!
สุดท้าย เมื่อชุดเกราะเลือดเนื้อปรากฏขึ้นบนร่างแล้ว จะถือว่าสำเร็จขั้นสุดท้ายของวิชาสืบทอด!
หวังเป่าเล่อตื่นตะลึงเมื่อได้เห็นประสิทธิผลที่จะได้มา!
ทั้งสามขั้นไม่ยึดกับระดับการฝึกตน โดยพลังจะเพิ่มขึ้น สาม หก และเก้าเท่าในแต่ละขั้น!