หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 554 เตรียมตัว!

บทที่ 554 เตรียมตัว!

ทันทีที่น้ำเสียงอ่อนแรงของเฟิ่งซิวหรันดังมากระทบหลังคนทั้งสาม หวังเป่าเล่อและเพื่อนก็หยุดเดินด้วยความตกใจที่เกิดจากสิ่งที่ได้ยิน พวกเขาจ้องมองกันอยู่ไปมาและนิ่งเงียบอยู่เช่นเดิม หลังจากที่หันหลังมาและยกมือทำความเคารพอีกครั้ง หวังเป่าเล่อก็พูดขึ้นทันที

“ผู้อาวุโสเฟิ่ง โปรดบอกกฎการทดสอบกับเราทั้งสามได้หรือไม่ขอรับ เราจะได้เตรียมตัว”

เฟิ่งชิวหรันไม่ได้พูดอะไร นางคิดว่าไม่ว่าจะพูดอะไรก็คงไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง หญิงสาวยกมือขึ้นโบกเป็นสัญญาณให้พวกเขาออกไป หวังเป่าเล่ออยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็อดใจเอาไว้ ในที่สุดชายหนุ่มก็ไม่ได้พูดสิ่งใดก่อนจะหันหลังเดินออกจากถ้ำที่พักไป

เมื่อทั้งสามจากไปแล้ว ความเหนื่อยล้าทั้งกายใจของเฟิ่งชิวหรันก็ไม่อาจถูกซุกซ่อนเอาไว้ได้อีก นางแสดงออกมาอย่างเด่นชัดทั้งร่างกายและโดยเฉพาะสีหน้า แม้ว่าหญิงสาวจะไม่ได้รู้สึกสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิง เพราะนางได้ทำทุกอย่างที่ทำได้ไปแล้ว โดยเฉพาะเรื่องที่สำคัญยิ่งคือการส่งศิษย์เอกทั้งสองไปชิงใบเฟิงซิ่นมา ทว่านางก็ทำได้เพียงเท่านั้น

นอกเสียจากว่านางจะตัดสัมพันธ์กับเมี่ยเลี่ยจื่อผ่านการต่อสู้ นางก็ไม่มีหนทางอื่นใดที่จะจัดการกับสถานการณ์นี้ได้ แต่แม้หญิงสาวจะตัดสินใจสู้จริงๆ พันธมิตรระหว่างเมี่ยเลี่ยจื่อและศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันที่ปรากฏอย่างเด่นชัด ก็ทำให้เมี่ยเลี่ยจื่อหมดหนทางเปลี่ยนสถานการณ์ได้อีกต่อไป

“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับโชคชะตาเท่านั้น…” เฟิ่งชิวหรันพึมพำ นางรู้ดีว่าต่อให้ศิษย์เอกทั้งสองของนางยอดเยี่ยมเพียงใด เรื่องเหล่านี้ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาเช่นกัน หญิงสาวได้เตรียมใจรับความล้มเหลวมาบ้างแล้ว หรือต่อให้ทั้งสองทำสำเร็จ ก็ไม่อาจยืนยันได้ว่านางจะหลุดพ้นจากสถานการณ์ยากลำบากที่เมี่ยเลี่ยจื่อผลักไสนางเข้ามา

ความคิดเช่นนี้ทำให้เฟิ่งชิวหรันไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง และทำให้ความเหน็ดเหนื่อยถาโถมเข้าใส่นางยิ่งขึ้น ส่งผลให้นางแอบเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองเมื่อหลายปีก่อน

ไม่มีทางออกเลย…นอกจากว่าพวกเขาทั้งสามจะได้เป็นหนึ่งในสามอันดับแรกด้วยความสามารถของตนเอง ชนะการทดสอบอย่างมีเกียรติและได้รับใบเฟิงซิ่นมาโดยที่มีสำนักวังเต๋าไพศาลทั้งหมดเป็นพยาน…ถึงกระนั้น ด้วยความสามารถของพวกเขาในตอนนี้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่พวกเขาจะเอาชนะคนหกร้อยคนได้ นอกจากจะมีปาฏิหาริย์…เฟิ่งชิวหรันหลับตาลงอีกครั้ง นางรู้ดีว่านางกำลังฝันกลางวันอยู่

ขณะที่เฟิ่งชิวหรันจมอยู่ในความไม่แน่ใจในตัวเองและความสัมพันธ์กับสหพันธรัฐ หวังเป่าเล่อและพรรคพวกที่เพิ่งจะออกจากถ้ำที่พักมาก็ยังไม่ได้แยกกัน กลับกัน หวังเป่าเล่อชวนสหายทั้งสองมายังเกาะเพลิงเขียว ระหว่างทางทุกคนต่างก็ครุ่นคิดอย่างหนักโดยไม่ได้พูดอะไรกัน แต่เมื่อพวกเขามาถึงถ้ำที่พักของหวังเป่าเล่อ นัยน์ตาของกงเต๋าก็ฉายแสงขึ้น ชายหนุ่มพูดขึ้นมาก่อน

“มีปัญหาเสียแล้ว เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสเฟิ่งไม่อาจคุมอำนาจในสำนักวังเต๋าไพศาลได้อีกต่อไป แม้ว่านี่จะเป็นสิ่งที่สหพันธรัฐคาดการณ์เอาไว้แล้ว แต่พวกเขาย่อมไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นเร็วถึงเพียงนี้!”

“ยิ่งไปกว่านั้น การทดสอบนี้ดูเหมือนจะเป็นความตั้งใจของสำนักวังเต๋าไพศาลที่จะกลั่นแกล้งพวกเรา หากเราชิงตำแหน่งมาไม่ได้ พวกเขาก็จะไม่ยอมให้รุ่นที่สองเข้ามาที่นี่!” กงเต๋าจริงจังเป็นอย่างยิ่ง เรื่องนี้ส่งผลต่ออารมณ์ของเขาไม่น้อย

“อันที่จริงแล้ว ข้ารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลตั้งแต่คราวก่อนที่ข้าเคลื่อนย้ายเคล็ดวิชาฝึกปราณกลับไปยังสหพันธรัฐ วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายของสำนักวังเต๋าไพศาลดูเหมือนจะมีกลไลบางอย่างที่จะตรวจสอบเคล็ดวิชาฝึกปราณซึ่งเรานำกลับไป พูดให้ง่ายก็คือพวกเขายอมให้เรานำเคล็ดวิชาการฝึกปราณกลับไป แต่ไม่ยอมให้นำข้อมูลอื่นใดกลับไปเลย!” เจ้าเยี่ยเหมิงดูนิ่งเฉยเช่นเดิมขณะที่พูด นางบอกหวังเป่าเล่อและกงเต๋าถึงเรื่องที่ตนกำลังตรวจสอบอยู่ในช่วงนี้

“มีเรื่องเช่นนั้นด้วยหรือ” กงเต๋ามีสีหน้าน่ากลัวขณะจ้องมองไปทางหวังเป่าเล่อ เหมือนจะรอให้อีกฝ่ายตัดสินใจ อย่างไรเสียตอนที่พวกเขาอยู่บนดาวอังคาร หวังเป่าเล่อก็เคยเป็นหัวหน้ากงเต๋ามาก่อน เขาจึงเคยชินกับการฟังคำสั่งของอีกฝ่ายไปเสียแล้ว มาที่นี่หวังเป่าเล่อก็ยังเป็นผู้นำ และเพราะอย่างนั้นไม่จะเป็นตัวเขาเองหรือเจ้าเยี่ยเหมิง ต่างก็รอฟังแผนของหวังเป่าเล่อด้วยกันทั้งสิ้น

หวังเป่าเล่อเองก็มีสีหน้าจริงจัง ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาความเข้าใจเรื่องสำนักวังเต๋าไพศาลของชายหนุ่มเพิ่มพูนขึ้นมากกว่าศิษย์สหพันธรัฐคนไหนๆ ชายหนุ่มรู้มานานแล้วว่าเฟิ่งชิวหรันนั้นยังคลางแคลงใจในเหล่าพันธุ์กล้าสหพันธรัฐ นางจะทำตัวหนักแน่นในบางครั้งแต่ก็ยังลังเลใจอยู่บ่อยๆ ในแง่หนึ่งเป็นเพราะความคิดเห็นที่แตกต่างกันของผู้ฝึกตนที่อยู่ภายใต้การนำของนาง ในอีกแง่หนึ่งเป็นเพราะฝ่ายของเมี่ยเลี่ยจื่อนั้นแข็งแกร่งไม่น้อย!

อำนาจของเมี่ยเลี่ยจื่อเป็นที่รับรู้กันดีในศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลจำนวนมาก รวมถึงศิษย์ของทั้งเฟิ่งชิวหรันและศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันด้วยเช่นกัน มีศิษย์ของพวกเขาบางคนที่เริ่มหันไปเข้าข้างเมี่ยเลี่ยจื่อ แนวคิดที่ว่าสำนักวังเต๋าไพศาลเป็นสำนักที่เหนือชั้นกว่าเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างช้าๆ

ทำให้อำนาจของเมี่ยเลี่ยจื่อค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง จนกระทั่งแซงหน้าเฟิ่งชิวหรันไปเป็นเสียงหลักเพียงเสียงเดียวในสำนักวังเต๋าไพศาล อีกไม่นานนักเรื่องนี้ก็คงจะกลายมาเป็นความจริง และสหพันธรัฐก็คาดคะเนสถานการณ์นี้ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เพราะเหตุนี้สหพันธรัฐจึงได้ส่งพันธุ์กล้ารุ่นแรกขึ้นมาเพื่อสนับสนุนเฟิ่งชิวหรัน

แต่ดูเหมือนว่าจะมีเวลาไม่พอ จุดประสงค์และผลลัพธ์ของการสนับสนุนนี้ยังเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก แต่จุดวิกฤติกลับเริ่มมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หากพวกเขาทั้งสามไม่อาจชนะการทดสอบได้ก็แปลว่าจะไม่มีพันธุ์กล้ารุ่นต่อไป

สิ่งนี้ไม่ใช่ผลกระทบที่รุนแรงที่สุด ผลร้ายแรงที่สุดก็คือเมื่อเมี่ยเลี่ยจื่อยึดอำนาจในสำนักวังเต๋าไพศาลได้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปย่อมไม่พ้น…สงครามระหว่างสำนักวังเต๋าไพศาลและสหพันธรัฐ!

หวังเป่าเล่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ไว้แล้ว กงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงเองก็เช่นกัน นัยน์ตาของทั้งสองแสดงความวิตกกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่พวกเขาก็ไม่มีทางออกและทำได้เพียงเฝ้ามองไปทางหวังเป่าเล่อเท่านั้น

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…พวกเราทั้งสามก็ต้องติดอันดับหนึ่งถึงสามและยึดตำแหน่งในการทดสอบครั้งนี้ให้จงได้! นี่เป็นทางออกที่ตรงไปตรงมาที่สุดแล้ว!” หลังจากเงียบไปชั่วขณะ สายตามุ่งมั่นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหวังเป่าเล่อ พร้อมด้วยแววเยือกเย็นที่ส่องประกายออกมาทางดวงตาในทุกคำพูด ความเยือกเย็นนั้นสัมผัสได้กระทั่งในคำพูดของเขา ทำให้ทั้งเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าเริ่มหายใจถี่ ทั้งสองต่างมีสายตามุ่งมั่นขึ้นมาเช่นกัน

“ช่างน่าเสียดายที่ผู้อาวุโสเฟิ่งไม่ได้บอกกฎการทดสอบกับพวกเรา…ในช่วงเวลาที่เหลือนี้ พวกเราต้องใช้ประโยชน์จากการเป็นพันธุ์กล้าสหพันธรัฐเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมมาให้ได้!”

“เยี่ยเหมิง กงเต๋า พวกเจ้าทั้งสองเตรียมตัวให้ดีในเวลาที่เหลือนี้ ครั้งนี้…เรามาลองทำให้สำนักวังเต๋าไพศาลประหลาดใจกันเถอะ ยิ่งไปกว่านั้น ข้าอยากรู้นักว่าพวกศิษย์หัวกะทิของสำนักวังเต๋าไพศาลนั้นจะเก่งกาจกว่าพวกเราศิษย์สหพันธรัฐสักเพียงใดกัน!” เมื่อพูดจบหวังเป่าเล่อก็ยิ่งมุ่งมั่นขึ้นไปอีก คำพูดของเขาทำให้กงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงมั่นใจขึ้น หลังจากที่ตกลงรายละเอียดกันเรียบร้อย ทั้งคู่ก็จากไป

เมื่อทั้งสองคนจากไปแล้ว หวังเป่าเล่อก็ครุ่นคิดก่อนจะติดต่อเซี่ยไห่หยาง ชายหนุ่มวางแผนจะใช้แต้มการรบเพื่อแลกข้อมูลเกี่ยวกับกฎของการทดสอบ แต่เซี่ยไห่หยางกลับไม่ตอบข้อความ

หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว หลังจากนั้นพักใหญ่เมื่อเห็นว่าเซี่ยไห่หยางยังไม่ตอบ ชายหนุ่มก็ตัดสินใจจะไม่เสียเวลาอีก เขารีบถือสันโดษทันที เพื่อรักษาพลังปราณให้อยู่ในระดับสูงสุดในขณะที่ตระเตรียมการเพื่อการทดสอบ

ชายหนุ่มเริ่มต้นด้วยการนำอาวุธเวทออกมาทำความสะอาด ในหมู่อาวุธเวท กระบี่บินสามสีและเหรียญทองแดงทหารขุนพลอักขระเวทโบราณที่หวังเป่าเล่อควบคุมได้เป็นอาวุธเวทที่ทรงพลังที่สุดที่เขามี แม้ว่าพวกมันจะไม่ใช่อาวุธเวทระดับเก้าจริงๆ แต่ตามความหมายแล้วก็ถือว่าใกล้เคียง

นอกจากนั้นในบรรดาอาวุธเวทระดับแปดของเขา นอกจากแถบผ้าที่ดูเหมือนจะเป็นอาวุธเวทระดับแปดจริงๆ ยังมีอาวุธเวทอีกสิบชิ้นที่สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว หวังเป่าเล่อยังมีอาวุธเวทระดับเจ็ดอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นโทรโข่งหรือกระบี่บินหรือกระบี่ที่เขาหลอมขึ้นเอง พวกมันต่างก็เป็นสมบัติเวทที่ใช้ได้ตลอด

ต่อไปก็พวกหุ่นเชิด…แต่ว่าข้าไม่มีเวลาแล้ว วัตถุดิบที่ต้องใช้ก็แพงเกินไป แถมโอกาสสำเร็จก็ต่ำ…ไม่เช่นนั้น หากพวกหุ่นเชิดสามารถเสริมพลังขึ้นเป็นอาวุธเวทระดับเจ็ดได้ พวกมันจะช่วยเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ของข้าได้มาก หวังเป่าเล่อส่ายศีรษะขณะจัดเรียงบรรดาอาวุธเวท จากนั้นชายหนุ่มก็ทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิพลางคิดถึงถาคาที่จะใช้

เกราะจักรพรรดิที่เขาฝึกฝนมาตลอดสามารถใช้เป็นไพ่ตายได้ แต่ชายหนุ่มไม่รู้กฎของการทดสอบ และแม้ว่าจะมีการอนุญาตให้สังหารคู่แข่งได้ พวกเขาคงไม่ยอมให้มีการตายจำนวนมากเกิดขึ้น ในขณะเดียวกัน แน่นอนว่าจะต้องมีผู้ชมเฝ้าดูการทดสอบอยู่ตลอด ทำให้ยากที่จะใช้พลังของเกราะจักพรรดิได้อย่างเต็มที่

“ยังมีอัสนีอวตารอยู่…” หวังเป่าเล่อพึมพำก่อนจะคิดถึงวิชาแห่งศาสตร์มืดและกำลังกายของเขา ทว่าชายหนุ่มก็ยังไม่มั่นใจนัก เขาหลับตาลงคิด จนในที่สุดก็มีแสงเย็นยะเยือกสะท้อนผ่านหน้าเขาไป!

หรือไม่ข้าก็ต้องใส่พลังการต่อสู้ลงในเกราะจักรพรรดิระดับหนึ่งโดยใช้วิชาลักอัคคี เพื่อความแน่นอนในการทดสอบ เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ผุดลุกขึ้นยืนทันที เขาเดินออกจากถ้ำที่พักและจับตัวเจ้าลา ใส่มันเข้าไปในกระเป๋าคลังเก็บก่อนจะออกเดินไปยังทะเลเพลิง

การจะหลอมเกราะจักรพรรดิโดยใช้วิชาลักอัคคีต้องมีการสังหารเกิดขึ้น…ในเมื่อไม่มีใครให้เขาสังหารในตอนนี้ หวังเป่าเล่อจึงทำได้เพียงไปที่ทะเลเพลิงและสังหารอสูรจำนวนหนึ่ง เพื่อจะใช้วิชาลักอัคคีกับเกราะจักรพรรดินั่นเอง!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset