โจวชู่เต๋ารู้สึกถึงสายตาของตู้กูหลินที่จ้องมองมา จึงแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อยพลางลอบถอนใจอยู่เงียบ หากไม่ใช่เพราะว่าอาจารย์ไหว้วานขอให้เข้าร่วมแล้ว ตัวเขาเองก็คงไม่มาร่วมการทดสอบนี้เป็นเด็ดขาด
ข้าทำแบบนี้กับตนเองไปเพื่ออะไรกัน…โจวชู่เต๋าส่ายศีรษะไปมา ชายหนุ่มดูละม้ายคล้ายชาวนา เขาหลังค่อมเล็กน้อย ทำให้ยิ่งดูสุดแสนจะธรรมดาขึ้นไปอีก ในขณะที่เนื้อคู่แห่งเต๋าของเขา หวงหยุนซานนั้น ส่องประกายรายกับดวงดาวในท้องนภา ความงามของนางช่างจับตายิ่งนัก นางดูงามจับใจโดยไม่ต้องพยายาม ทำเอาผู้ฝึกตนหลายคนหัวใจเต้นแรงแบบไม่อาจจะคุมตัวเองได้อยู่ หวงหยุนซานไม่เพียงแต่มีใบหน้างดงามร้ายกาจเท่านั้น นางยังมีรูปร่างทรวดทรงที่อ่อนช้อย เอวบางของนางขยับไหวเป็นจังหวะขณะที่นางเดิน ทำเอาผู้คนที่เฝ้ามองดูก็รู้สึกปั่นป่วนไปตามๆ กัน
กงเต๋าเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะลอบมองนางอยู่หลายหน…
ใบหน้าของโจวชู่เต๋าขึงขังเมื่อมองเห็นสายตาของชายหนุ่ม เขาโคลงศีรษะไปพลางขณะที่กำลังเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับเนื้อคู่แห่งเต๋าของเขาไปยังกลุ่มของโยวหรัน โจวชู่เต๋าเลือกที่จะหลับตาเพื่อจะได้ไม่ต้องมองเห็น เป็นการหนีความหงุดหงิดรำคาญใจ
หวังเป่าเล่อก็จ้องมองรูปร่างของหวงหยุนซานอยู่เช่นกัน แต่ทว่าต่างกับกงเต๋าตรงที่ ไม่นานนักสายตาของชายหนุ่มก็เลื่อนไปจับที่โจวชู่เต๋าแทน แม้ว่าเขาจะดูธรรมๆ แต่หวังเป่าเล่อก็เชื่อในสัญชาติญาณของตนเอง เขาสัมผัสได้ถึงวิญญาณปราณจากร่างของโจวชู่เต๋าอย่างชัดเจน พลังที่ตาเนื้อของคนอื่นๆ มองไม่เห็น!
สำนักแห่งความมืดเรียกสิ่งนี้ว่าวิญญาณปราณ เป็นหน่วยวัดสำหรับผู้ที่สังหารผู้คนมามากมาย ทำให้ตัวตนนั้นแปดเปื้อนไปด้วยวิญญาณอาฆาต หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงวิญญาณปราณที่แรงกล้าจากบนร่างของโจวชู่เต๋า แม้ว่าภายนอก ศิษย์เอกผู้นั้นจะมีหลังโก่งงอและวิธีการวางตัวของเขาอาจจะดูเหมือนเป็นคนดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว…จากการคาดคะเนของหวังเป่าเล่อ ชายผู้นี้ได้มีโลหิตของคนจำนวนนับไม่ถ้วนเปื้อนมืออยู่
น่าสนใจทีเดียว ข้าคิดไปว่าตู้กูหลินเป็นผู้ที่ทรงพลังที่สุดในบรรดาศิษย์เอกสำนักวังเต๋าไพศาล ไม่คิดเลยว่ายังมีโจวชู่เต๋า ผู้ที่เชี่ยวชาญในการปิดบังตัวตนที่แท้จริงของตนอยู่อีก! หวังเป่าเล่อจมดิ่งลงไปในความคิด ระฆังดังขึ้นอีกครั้ง ทุกสรรพชีวิตในจัตุรัสสาธารณะเงียบเสียงลง ทำให้บรรดาผู้ชมพากันเงียบไปด้วย
หวังเปาเล่อละสายตาออกมาแล้วหันมายืนเคียงข้างเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋า ที่กำลังมองตรงไปข้างหน้า ระฆังดังอยู่เก้าครั้งท่ามกลางความเงียบสงัด ประตูที่มุ่งหน้าสู่โถงใหญ่ตรงหน้าของพวกเขาเปิดออก ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณสิบสองคนเดินออกมา!
บรรดาศิษย์เอกมองตรงไปข้างหน้าอย่างเคารพเมื่อคนเหล่านั้นเดินออกมา บรรดาผู้ฝึกตนพากันไปตั้งแถวสองแถวรับก่อนจะเปล่งเสียงทักทาย
“คารวะท่านผู้อาวุโส!” ขณะที่เสียงของพวกเขายังสะท้อนก้องไปในอากาศ ทุกๆ คนทั้งในและนอกจัตุรัสสาธารณะต่างก็หลุบศีรษะลงต่ำเพื่อทำความเคารพไปยังโถงใหญ่ เฟิ่งชิวหรันอยู่ตรงกลาง เมี่ยเลี่ยจื่ออยู่ด้านซ้าย และโยวหรันทางขวา ผู้อาวุโสทั้งสามย่างกรายออกมาจากโถงใหญ่อย่างช้าๆ!
คลื่นพลังงานที่ยิ่งใหญ่กว่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณแผ่ออกมาจากกายของทั้งสาม สายลมแปรปรวน ก้อนเมฆก็เปลี่ยนแปร ท้องฟ้าแปรสภาพไปในขณะที่มีพายุหมุนขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในกลางอากาศ ส่งเสียงคำรามเลื่อนลั่นราวกับสามารถจะกวาดกลืนเอาทุกสิ่งที่ขวางทางให้หายไปได้สิ้น บรรดาศิษย์ทุกคนต่างก็ตกตะลึงกับพลังตรงหน้า
หวังเป่าเล่อรวบรวมพลังวิญญาณที่อยู่รอบกาย ก่อนจะก้มศีรษะลงทำความเคารพเช่นกัน เสียงของเมี่ยเลี่ยจื่อดังก้องสะท้อนไปทั่วจัตุรัสสาธารณะ
“ศิษย์อันดับสูงสุดสามคนจากการทดสอบนี้จะได้รับใบของต้นไฮยาซิน และได้รับสิทธิในการเข้าสู่ตำหนักวังบูชาและจารึกชื่อเอาไว้บนแท่นสลักเต๋า เท่ากับว่าได้เป็นศิษย์ที่แท้จริงของสำนักวังเต๋าไพศาล!”
“ศิษย์ผู้ที่ได้สลักชื่อลงบนแท่นสลักเต๋าจะได้รับสถานะที่แตกต่างกันออกไป พวกเขาจะสามารถใช้ตราประจำตัวในการควบคุมวงแหวนปราณที่ยิ่งใหญ่แห่งกระบี่โบราณได้ระดับหนึ่ง ผู้ที่มีชื่อสลักอยู่บน…แท่นสลักแห่งเต๋าเท่านั้นจึงจะได้ชื่อว่า…เป็นผู้ฝึกตนแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลอย่างแท้จริง!” เสียงของเมี่ยเลี่ยจื่อทั้งหนักแน่นและเด็ดขาด ดังกังวาลไปทั่วจัตุรัสสาธารณะ และความบ้าเลือดที่แฝงอยู่ในแต่ละถ้อยคำนั้นทำให้ไม่มีผู้กล้าจะท้าทายคำสั่งของเขา
เฟิ่งชิวหรันยืนอยู่ข้างๆ เขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย นางไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว โยวหรันยืนยิ้มอยู่อีกข้าง ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าทั้งสามตกลงเรื่องนี้กันมาก่อนหน้านี้แล้ว เมี่ยเลี่ยจื่อจะเป็นผู้กำกับการทดสอบ แม้ว่าเฟิ่งชิวหรันจะอึกอักอยู่บ้างในตอนต้น แต่นางก็ได้ตกปากรับคำไปแล้ว พวกเขาคงได้ตกลงต่อรองกันมาเสร็จเรียบร้อย
เมื่อเมี่ยเลี่ยจื่อพูดจบนัยน์ตาของเขาลุกโชนเป็นประกายกล้า เสียงของเขาแผ่วเบาลง แต่เมื่อชายชราเปิดปากพูดอีกครั้งก็ฟังดูเหมือนกันว่าเขากำลังร่ายมนต์
“การทดสอบนี้จะเกิดขึ้น…ในวงแหวนปราณขนาดย่อมที่เป็นส่วนหนึ่งของวงแหวนปราณที่ยิ่งใหญ่ของสำนักของเรา วงแหวนปราณแห่งความเป็นไปได้ไร้ที่สิ้นสุด กฎกติกามีตามนี้…จงฟังอย่างตั้งใจเพราะข้าจะไม่พูดซ้ำ!”
ทันทีที่เมี่ยเลี่ยจื่อพูดเช่นนั้น ผู้เข้าทดสอบทุกคนก็หันหน้าไปจ้องมองเขาทันทีอย่างตั้งใจ หวังเป่าเล่อทำใจให้สงบก่อนจะจ้องมองไปอย่างตั้งใจเช่นกัน กงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงก็เงี่ยหูฟังอย่างมีสมาธิ
กฎการทดสอบนั้นสำคัญยิ่ง หากไม่มีกติกาบังคับ การทดสอบก็ดูจะไม่ยุติธรรมนัก เพราะอย่างไรเสียในบรรดาผู้เข้าร่วมหกร้อยคนต่างก็อยู่ในขั้นการฝึกตนที่ต่างกันไปในขั้นกำเนิดแก่นใน
แม้ว่าจะไม่รู้กติกามาก่อน หวังเป่าเล่อก็คาดเดาว่ากฎน่าจะตั้งขึ้นเพื่อปกป้องผู้ฝึกตนที่อยู่ในขั้นต่ำกว่าในระดับหนึ่ง ทำให้ดูเผินๆ แล้วเหมือนว่าการทดสอบจะยุติธรรม อันที่จริงแล้ว…ก็เป็นที่ชัดเจนว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะชนะ!
ทุกๆ คนไม่ว่าจะในหรือนอกจัตุรัสสาธารณะก็พากันเงี่ยหูฟังเมี่ยเลี่ยจื่ออย่างตั้งใจ น้ำเสียงเย็นชาของเขาดังสะท้อนไปในอากาศ
“เมื่อพวกเจ้าทั้งหกร้อยคนเข้าไปยังสถานที่ทดสอบแล้ว พวกเจ้าจะได้รับกุญแจคนละดอกที่สร้างขึ้นโดยวงแหวนปราณนั้น!
“ทุกๆ ยี่สิบสี่ชั่วโมง หรือก็คือทุกๆ วัน วงแหวนปราณจะเปิดการเคลื่อนย้ายที่จะส่งผลกับบริเวณทั้งหมดที่ใช้ในการทดสอบ ผู้ที่ถือกุญแจอยู่จะสามารถสังเวยกุญแจเพื่อหลบเลี่ยงการถูกเคลื่อนย้ายได้ ผู้ที่ไม่มีกุญแจก็จะถูกเคลื่อนย้ายออกมาจากบริเวณนั้นและถูกตัดสิทธิการทดสอบทันที!”
เสียงของเมี่ยเลี่ยจื่อดังฟังชัด ทุกๆ คนต่างก็ต้องสะกดกลั้นความรู้สึกเอาไว้ แต่หลังจากที่ได้ยินกฎทั้งหมดแล้ว อารมณ์ความรู้สึกนับไม่ถ้วนก็ฉายชัดอยู่บนใบหน้าของพวกเขา ก่อนที่ต่างคนต่างก็หันหน้าพูดคุยกันอย่างเผ็ดร้อน
หวังเป่าเล่อและพวกไม่เคยพบกฎเช่นนี้มาก่อน แม้แต่บรรดาศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลก็ไม่เคย พูดให้ง่ายก็คือเป็นการทดสอบที่เน้นการคัดออก สำหรับพวกที่หัวไวก็รู้ได้ทันทีว่ากฎนี้โหดหินเพียงใด
“การทดสอบภายใตกฎเช่นนี้สาหัสแน่นอน!”
“นอกจากความแข็งแกร่งและจุดอ่อนของแต่ละคนแล้ว ข้าพอจะจินตนาการได้ว่าการปกป้องกุญแจของตนเองและแย่งกุญแจของผู้อื่นมาจะต้องสำคัญยิ่งในการเอาชนะในการทดสอบนี้!”
“ทุกๆ การเคลื่อนย้ายจะกินกุญแจหนึ่งดอก แปลว่าจำนวนกุญแจก็จะร่อยหรอลงเรื่อยๆ…หากไม่มีใครสู้กัน กุญแจทั้งหมดก็จะหายไปภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง! แต่ไม่มีเป็นไปได้แน่นอน!”
สวีหมิงและลู่หยุนหน้านิ่วคิ้วขมวด พวกเขาไม่รู้เรื่องกฎนี้มาก่อนและคิดว่าการเปลี่ยนแปลงกฎในครั้งนี้รุนแรงเกินไป หวงหยุนซานก็รู้สึกเช่นเดียวกัน นางมีท่าทางครุ่นคิดก่อนจะหันไปปรึกษากับโจวชู่เต๋าอยู่เงียบๆ มีเพียงตู้กูหลินเท่านั้นที่นิ่งเฉย สีหน้าของเขายังคงเย็นชาเช่นเดิม ราวกับว่าไม่ใช่ใจกับกฎใหม่เอาเสียเลย
หวังเป่าเล่อก็ครุ่ดคิดเช่นกันหลังจากที่ได้ยิน เจ้าเยี่ยเหมิงผู้ซึ่งยืนอยู่ข้างเขามีสีหน้าเคร่งเครียด นางประเมินสถานการณ์อย่างรวดเร็ว กฎนี้เป็นการส่งเสริมแนวคิดว่าผู้แข็งแกร่งย่อมอยู่รอด ช่างใกล้กับที่นางคาดคิดไว้แต่ก็แตกต่างไปในเวลาเดียวกัน
“มีปัจจัยเรื่องโชคชะตาที่ถูกเพิ่มเข้ามาในการทดสอบผ่านกฎนี้ด้วย ผู้เข้าร่วมที่อ่อนแอกว่าก็จะมีวิธีชนะเพิ่มขึ้น แต่ยังคงมีตัวอันตรายอยู่และพวกเขาจะต้องเริ่มต่อสู้อย่างดุเดือดแน่นอน!” เจ้าเยี่ยเหมิงพูดเบาๆ ในข้อความเสียงที่ส่งไปให้หวังเป่าเล่อและกงเต๋า
กงเต๋าพยักหน้า เขาเองก็ขมวดคิ้วอยู่เช่นกัน ขณะที่กงเต๋ากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น หวังเป่าเล่อก็หัวเราะออกมา ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไร แต่เห็นได้ชัดว่าเขาคิดคำนวนสถานการณ์ไว้ดีแล้ว กฎกติกานั้นทั้งสำคัญและไร้ค่าในเวลาเดียวกัน ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำอะไรให้ยุ่งยาก เพราะในท้ายที่สุดทุกๆ อย่างก็ขึ้นอยู่กับกฎง่ายๆ ข้อเดียว…ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดย่อมชนะ!
ทุกๆ คนต่างก็ถกเถียงกันอยู่ไปมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้เข้าร่วมในจัตุรัสสาธารณะก็ถกเถียงกับอยู่วุ่นวาย นัยน์ตาของเมี่ยเลี่ยจื่อเย็นชาขึ้น
“เงียบเสียง!” ชายชราตะโกน เสียงดังราวกับฟ้าผ่า ก่อนจะตบท้ายเสียงกัมปนาทที่ครั่นครืนและดังก้องสะท้อนไปในอากาศ ทุกๆ คนตัวสั่นและเงียบเสียงลงทันที
“กฎมีเท่านั้น การเคลื่อนย้ายจะหยุดลงเมื่อมีพวกเจ้าเหลือสามคนหรือน้อยกว่า และการทดสอบก็จะจบลงทันที เมื่อมีผู้เข้าร่วมเหลือสามคนเมื่อใด แต่ละคนก็จะได้รับใบต้นไฮยาซินคนละใบ หากเหลือสองคนก็จะได้รับใบไม้คนละใบแล้วค่อยตัดสินใจกันว่าจะทำอย่างไรกับใบที่เหลือ หากเหลือคนเดียว…คนๆ นั้นก็จะได้รับใบไฮยาซินไปทั้งสิ้นสามใบ!”
“เริ่มการเคลื่อนย้ายได้ ณ บัดนี้!” หลังจากที่พูดจบ เมี่ยเลี่ยจื่อก็ยกมือขวาขึ้นกวาดทันที พายุหมุนขนาดยักษ์บนฟ้าเมื่อครู่ก็ส่งเสียงคำรามลั่นก่อนจะปล่อยเอาพลังดูดกลืนที่รุนแรง ที่ดูดเอาผู้เข้าร่วมทั้งหกร้อยคนบนจัตุรัสสาธารณะเข้าไปทันที!
การทดสอบเริ่มขึ้นแล้ว!