หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 560 ข้าคือผู้ล่า!

บทที่ 560 ข้าคือผู้ล่า!
หวังเป่าเล่อกะพริบตาขณะที่จ้องมองไปยังเจ้าเยี่ยเหมิงผู้กระตือรือร้น ชายหนุ่มเองก็คงคิดได้เช่นกันหากให้เวลาสักหน่อย แต่แม้จะมีเวลาก็อาจจะเป็นการลำบาก

กงเต๋าจ้องมองเจ้าเยี่ยเหมิงและกำลังจะอ้าปากพูด แต่เจ้าเยี่ยเหมิงยกมือขึ้นห้ามเสียก่อน นัยน์ตาของนางลุกโชน “อย่าขัดข้า!

“การอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีก็คือหากร่วมมือกันสู้เราจะแข็งแกร่งกว่า ข้อเสียก็คือเราจะถูกหาพบได้ง่ายและสะดุดตากว่า…”

“สิ่งที่เราต้องระวังก็คือผู้ที่เสียกุญแจไปในวันนี้ จำนวนคนพวกนั้นจะเพิ่มขึ้น แถมตำแหน่งของพวกเขายังไม่ปรากฏบนแผนที่ จึงจะรอดพ้นสายตาเราได้เสมอ กลับกัน พวกเรานั้นอยู่ในที่แจ้ง พวกเขาเปรียบเหมือนงูพิษในคืนเดือนมืด และเมื่อการเคลื่อนย้ายครั้งใหม่มาถึง พวกเขาก็ยิ่งบ้าคลั่งยิ่งขึ้น!” ขณะที่นางพูดไป สายลมเย็นก็พัดวาบผ่านไรผมของนาง นางจึงยกมือขึ้นปัดผมไปทัดหูโดยไม่ได้ตั้งใจ การกระทำนั้นบวกกับสีหน้าที่มุ่งมั่น ทำให้เจ้าเยี่ยเหมิงดูสวยงามจับตาขึ้นมาชั่วขณะ หวังเป่าเล่อจ้องหน้านางเหมือนตกอยู่ในภวังค์ไปพักใหญ่

วินาทีนั้น เจ้าเยี่ยเหมิงเองก็มองเห็นสีหน้าของหวังเป่าเล่อที่จ้องมองนาง แล้วก็แอบพึงใจอยู่ภายใจ จากนั้นนางจึงหันหน้าไปหากงเต๋า

“กงเต๋า เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ”

กงเต๋ากระแอม แม้ว่าเจ้าเยี่ยเหมิงจะขัดจังหวะเขาจากการพูดเมื่อครู่ เขาก็ยังเขารบการวิเคราะห์อย่างลงรายละเอียดของนาง หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เขาก็พูดว่า

“ข้ามีแผน ทำไม…เราไม่เอากุญแจให้เป่าเล่อไปเล่า แล้วพวกเราก็หนีไปซ่อน และหากมีใครเข้ามาโจมตี เราก็ค่อยซุ่มจัดการพวกเขา!

“หรือเป่าเล่อให้กุญแจของเขากับเรา ระดับปราณของเขาสูงกว่า เพราะฉะนั้นการให้เขาดักโจมตีอาจจะเป็นวิธีที่ดีกว่า!

“ข้ามีอีกแผนหนึ่ง พวกเราวางกับดักก็ได้ เจ้าซ่อมหลอมวงแหวนปราณขึ้นมา แล้วเราก็วางกุญแจไว้เป็นเหยื่อล่อ จากนั้นก็ซุ่มดู เมื่อใดก็ตามใครงับเหยื่อ เราก็โจมตีเขาพร้อมกัน เราวางกับดักไว้ได้หลายๆ อันในวันแรกเพราะมีโอกาสได้กุญแจเพิ่มมากที่สุด!” ดวงตาของกงเต๋าเปล่งประกายเมื่อเขาพูดอย่างตื่นเต้น ดูเหมือนเขาจะคิดว่ามันเป็นแผนที่ดี พวกเขาจะได้ประโยชน์แน่นอนไม่ว่าจะวางกับดักอย่างไร

หวังเป่าเล่อปวดศีรษะตุบเมื่อได้ยินแผนของกงเต๋า เขาหันไปจ้องหน้าอีกฝ่าย

“กงเต๋า ทั้งสามแผนของเจ้าเป็นการซุ่มโจมตีหมดเลย…ไม่ว่าจะเป็นข้าซุ่มโจมตี เจ้าทั้งสองซุ่มโจมตี หรือเราสามคนซุ่มโจมตีพร้อมกัน ทำไมจะต้องอยากซุ่มโจมตีด้วยเล่า!”

กงเต๋าไม่ได้ดูไม่พอใจเกี่ยวกับการตั้งแง่ของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มยกมือขึ้นทุบอกอย่างภูมิใจ “เป่าเล่อ มีอย่างหนึ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ ข้าใช้เวลาอยู่ในป่าดงดิบของดาวอังคารเป็นเวลาสามปี มันเป็นแผนที่ข้าใช้เพื่อเอาตัวรอด สิ่งนี้เป็นวิธีการเอาตัวรอดแรกข้อแรกของข้าเชียวนะ ต่อให้จะเป็นที่สำนักวังเต๋าไพศาล ข้าก็ใช้แผนนี้ และได้รับผลตอบแทนมาไม่น้อยเชียว!” น้ำเสียงของกงเต๋าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

หวังเป่าเล่อเม้มปากแน่น ชายหนุ่มผ่านเรื่องราวมากับกงเต๋านับไม่ถ้วน จึงไม่จำเป็นต้องมาอ้อมค้อมใส่กัน กงเต๋าเห็นหวังเป่าเล่อเม้มปากจึงจ้องตาไม่กะพริบ ชายหนุมคิดว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องแสดงให้อีกฝ่ายเห็นถึงความสำคัญของการซุ่มโจมตีอย่างมีประสิทธิภาพ เขากำลังจะอ้าปากพูดแต่เจ้าเยี่ยเหมิงผู้เริ่มปวดหัวกับเรื่องการซู่มโจมตีขัดขึ้นมาอย่างรำคาญเต็มทน

“หยุดพูดมากได้แล้ว การทดสอบวันแรกอาจจะสำคัญ แต่สิ่งที่ตามมานั้นสำคัญเสียยิ่งกว่า!”

“กฎการรักษากุญแจสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดในการทดสอบนี้ ไม่ว่าจะเป็นผ่านความรุนแรงของการต่อสู้หรือจำนวนกุญแจก็ตาม หาในวันแรกเกิดการต่อสู้ยิ่งใหญ่ขึ้นแล้ว กุญแจที่เหลือทั้งหมดก็จะไปอยู่ในเงื้อมมือของคนหยิบมือเดียว การเป็นว่าความระแวดระวังก็จะทำให้เกิดการถ่วงเวลา! สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือหาโอกาสที่จะสู้ตอนที่กฎนี้ยังใช้ได้อยู่!” เมื่อเจ้าเยี่ยเหมิงพูดจบ กงเต๋าก็ไม่ได้ตอบอะไร กลับนิ่งคิดเงียบไป หวังเป่าเล่อยิ่งปวดศีรษะขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินสิ่งที่นางพูด

“ข้าขอเสนอว่าให้เราสามคนปกป้องอีกคนที่เหลือ!”

“พวกเราจะช่วยให้หวังเป่าเล่ออยู่รอดได้อย่างน้อยสามวัน อย่างน้อยเราน่าจะมีโอกาสชนะมากขึ้น!” เมื่อพูดจบ จึงหันไปมองหวังเป่าเล่อ

“เป่าเล่อ เจ้าต้องทำใจสู้เข้าไว้ พวกเราจะเน้นการเฝ้าดูแผนที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนในคืนนี้ หากกุญแจไม่ได้ตกไปอยู่ในมือของคนไม่กี่คนแล้ว ก็แปลว่าการต่อสู้ที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ได้รุนแรงนัก กงเต๋ากับข้าจะฝากกุญแจของพวกเราไว้กับเจ้า และจะตัดสินใจเองว่าใครจะยอมถูกตัดสิทธิออกไปก่อนระหว่างการเคลื่อนย้ายครั้งแรก หลังจากนั้น เจ้าจะมีกุญแจสองดอก แต่เป่าเล่อ เจ้าต้องระวังให้มากนะ หากการทดสอบยังดำเนินไปเช่นนี้ และมีคนสูญเสียกุญแจไปมากขึ้นเรื่องเรื่อยๆ คนก็จะยิ่งหากุญแจดอกใหม่กันอีก ยิ่งจำนวนกุญแจลดลงเท่าไหร่…

“หากแผนที่ฟ้องฟ้ายามค่ำคืนวันนี้แสดงว่าการต่อสู้นั้นดุเดือดมาก แปลว่าใครสักคนรวบรวมกุญแจไว้ได้จำนวนมาก แปลว่าวันนี้สองทุกอย่างอาจจะเงียบลง หากเป็นเช่นนั้น กงเต๋ากับข้าก็จะไม่ไปไหน พวกเขาจะใช้กุญแจของเราทั้งสามในการเคลื่อนย้ายครั้งแรก จากนั้นเราค่อยร่วมมือกัน ไม่ว่าจะซุ่มโจมตีหรือต่อสู้เพื่อกุญแจดอกใหม่ พวกเราต้องโจมตีใครสักคนที่มีกุญแจอยู่หลายดอกเพื่อโอกาสการรอดจากการเคลื่อนย้ายหนที่สอง”

เจ้าเยี่ยเหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก ขณะที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจฉายอยู่บนแววตา นางยกมือนวดหน้าผากอยู่ไปมา การทดสอบนี้มีทั้งกฎที่ชัดเจนและกฎที่ต้องเข้าใจเอง แม้จะดูเหมือนการทดสอบธรรมดา แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีความเป็นไปได้และทางออกหลายรูปแบบยิ่ง

การทดสอบเช่นนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยประสบพบพานมาก่อนในมิติเวทของสหพันธรัฐ แม้จะยากลำบากยิ่งแต่ทว่าก็ยังไม่ได้เกินจะแก้ไข แต่กระนั้นก็ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการวางแผน ช่างน่าเหนื่อยใจยิ่ง สิ่งเดียวที่พอจะทำให้เจ้าเยี่ยเหมิงใจชื้นก็คือแผนที่ดีจะช่วยเพิ่มโอกาสในการชิงความได้เปรียบและโอกาสอื่นๆ ในการทดสอบ

“พูดให้ง่ายก็คือ มีเพียงผู้ที่ไม่อยู่บนแผนที่เท่านั้นที่เป็นผู้ล่า ผู้ที่ถือกุญแจอยู่ล้วนเป็นเหยื่อ!” เจ้าเยี่ยเหมิงพูดอย่างมั่นใจ

“ยิ่งไปกว่านั้น หากพูดกันตามทฤษฎีแล้ว จะมีการเคลื่อนย้ายได้เพียงแปดครั้งเท่านั้นตลอดการทดสอบนี้ อันที่จริงแล้วการทดสอบน่าจะจบลงก่อนเสียด้วยซ้ำ แปลว่า…ตราบใดที่เรายังมีกุญแจเจ็ดดอกและไม่ถูกแย่งไปเสียก่อน เราก็น่าจะจบที่สามอันดันแรกได้!” นัยน์ตาของเจ้าเยี่ยเหมิงลุกวาวขณะที่นางพูด

นางพูดต่อว่า “ข้าจะยังคาดเดาสถานการณ์ได้อีกครั้ง หลังจากได้เฝ้าดูว่าเกิดสิ่งใดขึ้นและใช้สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นฐานการวิเคราะห์!” เมื่อเจ้าเยี่ยเหมิงพูดจบ นางก็ยกมือขึ้นนวดหน้าผากขณะเฝ้ามองหวังเป่าเล่อและกงเต๋า นางจ้องมองหวังเป่าเล่อราวกับรอฟังการตัดสินใจของเขา

“เจ้าเยี่ยเหมิง ข้าเคยคิดไปว่าปราณของเจ้านั้นอยู่ในขั้นธรรมดา แถมวงแหวนปราณก็ไม่ได้มีประโยชน์มากมายอันใด ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว เจ้าช่างยอดเยี่ยมจริงๆ!” กงเต๋าพูดอย่างไม่เชื่อหูตนเอง ชายหนุ่มมองเจ้าเยี่ยเหมิงด้วยสายตาเคารพและชื่นชม การวิเคราะห์ของนางนั้นละเอียดยิบ นางได้ย่อยสถานการณ์ที่ดูยากยิ่งและอธิบายให้ฟังดูง่ายดายและตรงไปตรงตา

กงเต๋าในขณะนี้นั้นเข้าใจการทดสอบมากขึ้นในหลายๆ แง่มุมเพราะเรื่องที่เจ้าเยี่ยเหมิงพูดเกี่ยวกับผู้เข้าทดสอบที่มองไม่เห็นบนแผนที่ท้องฟ้ายามค่ำคืน แผนที่จะช่วยให้พวกเราคนหนึ่งหยัดยืนอยู่ได้จบกว่าจะจบการประลอง และกระทั่งความมั่นใจของนางในการเวลาของการทดสอบนี้ เจ้าเยี่ยเหมิงยังได้พูดถึงการวางแผนซุ่มโจมตีในแผนการที่สองของนาง เพื่อให้พวกเขาได้เป็นกลุ่มสุดท้ายที่เหลือรอด เขาอดคิดถึงแผนการในการซุ่มโจมตีรูปแบบต่างๆ ขึ้นมาไม่ได้ จากนั้นกงเต๋าก็หันไปมองหวังเป่าเล่อเช่นกัน

หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าสัญชาติญาณของเขามาจากไหน มันมาจากสิ่งที่ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในคนอื่นๆ ไม่มี มีเพียงผู้ที่อยู่ในขั้นจุติวิญญาณเท่านั้นจะมีได้ สิ่งนั้นก็จิตสัมผัสวิญญาณนั่นเอง

แผนของเจ้าเยี่ยเหมิงไปด้วยกันได้ดีกับเคล็ดวิชาการฝึกปราณของนาง แต่ว่า…ไม่ใช่วิธีแบบของข้า! ท่ามกลางความเงียบสงัด หวังเป่าเล่อเริ่มคิดอะไรได้ชัดเจนขึ้น

อัสนีแห่งเต๋าที่ข้าฝึกมุ่งเน้นไปที่การเอาชนะคะคานศัตรูด้วยพลังของสายฟ้า มันพูดถึงการคำลายคาถามากมายนับไม่ถ้วนด้วยสายฟ้าเส้นเดียว! วิชาลักอัคคีก็แย่งชิงเอาเจตจำนงค์ของวิญญาณนับพันนับหมื่น เมื่อมารวมกับเกราะจักรพรรดิ เป้าหมายจึงเป็นการเอาชนะและบดขยี้ศัตรูด้วยกำลัง มันเป็นตัวแทนของการมุ่งตรงไปข้างหน้าและไปหันหลังกลับมามอง…แม้จะไม่มีทางไปต่อ ก็จะต้องสร้างทางขึ้นมาเอง! เมื่อคิดได้เช่นนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็ชัดเจนสำหรับหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มรู้สึกดีขึ้น พลังปราณของเขาเริ่มจะหมุนวนด้วยพลังชีวิต ราวกับว่าเป็นเสียงสะท้อนของความคิดของเขาเอง มีรัศมีที่แม้แต่หวังเป่าเล่อก็สัมผัสไม่ได้มาก่อนเริ่มก่อตัวขึ้นรอบกายเขา!

รัศมีนั้นสัมผัสไม่ได้ แม้กระทั่งเจ้าเยี่ยเหมิงกับกงเต๋าก็ไม่รู้สึกถึงมัน แต่หากหลี่ซิงเหวินอยู่ใกล้ๆ เขาคงจะสัมผัสถึงมันได้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงปราณกังวานและการที่รัศมีนี้ปรากฏขึ้น ครั้งแรกนั้นย้อนกลับไป ณ เวลาที่เขายังอยู่ที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เมื่อหลี่ซิงเหวินเลือกจะทดสอบหวังเป่าเล่อโดยการรับหมัดจากเขา หวังเป่าเล่อผสมหมัดนั้นกับคาถาของเขา ต้องทำเช่นนั้นเท่านั้นจึงจะเข้าถึงปราณกังวานได้!

สหพันธรัฐเรียกมันว่าปราณกังวาน สำนักวังเต๋าไพศาลรู้จักพลังนี้ด้วยอีกชื่อหนึ่ง ก็คือชื่อ…เต๋าลึกลับไร้ที่เปรียบ!

เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางคลื่นปราณกังวาน หวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้นช้าๆ มีความบ้าคลั่งจางๆ ฉายอยู่ในแววตา ความรู้เดียวกันกับที่ปรากฏขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อนที่เขายังอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิงในชุดเกราะจักรพรรดิของเขาเอง

“เยี่ยเหมิง การวิเคราะห์ของเจ้าทั้งมีประโยชน์และไม่มีประโยชน์ในเวลาเดียวกัน…ไม่จำเป็นต้องสังเวยพวกเจ้าทั้งสองเพื่อปกป้องข้าหรอก มองดูแผนที่บนท้องฟ้าเสีย มีกุญแจสามดอกกำลังมุ่งตรงมาหาเรา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเล็งพวกเราเอาไว้ เพราะเหตุนี้…วิธีการของข้ามีเพียงสองคำสั้นๆ เท่านั้น…”

“เราสู้!”

มีประกายอันน่าจะสะพรึงกลัวฉายวาวขึ้นในตาหวังเป่าเล่อทันทีที่เขาพูดจบ เขาก้าวขาออกมาอย่างปุบปับก่อนจะพุ่งตัวออกไป จุดมุ่งหมายของเขาอยู่ที่…กุญแจทั้งสามดอกที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาหาพวกเขาทั้งสามอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มพุ่งตรงเข้าไปใส่ทันที!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset