บนลานจัตุรัสสาธารณะบนยอดเขาของเกาะหลักสำนักวังเต๋าไพศาลบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ วังวนขนาดใหญ่ลอยคว้างอยู่บนอากาศ ปลดปล่อยเอาแรงดูดกลืนมหาศาลออกมา ภายในชั่วพริบตาก็ดูดเอาผู้ฝึกตนหกร้อยคนบนจัตุรัสนั้นขึ้นไปอย่างไร้ทางต่อต้าน!
ขณะที่กำลังจะถูกดูดเข้าไปในพายุนั่นเอง พายุนั้นก็เริ่มสั่นไหวขึ้นมาและแบ่งตัวออกเป็นพายุขนาดย่อมกว่าสามลูกอยู่กลางอากาศ
พายุหมุนทั้งสามดึงดูดผู้เข้าร่วมทั้งสามกลุ่มเข้าไปแยกกัน แปลว่าไม่ว่าจะอยู่กลุ่มใดเมื่อเข้าไปถึงสถานที่ทดสอบก็จะปลอดภัยอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ตู้กูหลินและผู้ฝึกตนฝ่ายเขาเข้าไปในวังวนอันแรก โจวชู่เต๋าและฝ่ายของเขาที่อยู่ภายใต้โยวหรันเข้าไปในวังวนอันที่สาม ในขณะที่หวังเป่าเล่อและทุกคนที่อยู่ใต้เฟิ่งชิวหรันเข้าถูกดูดเข้าไปในวังวนลูกที่สอง
แม้ว่าการอธิบายปรากฏการณ์นี้จะดูยุ่งยากและยาวนาน แต่ในความเป็นจริง เหตุการณ์พายุหมุนแบ่งตัวและดูดเอาทั้งสามฝ่ายเข้าไปนั้นเกิดขึ้นในพริบตา ในวินาทีเดียว…ผู้ฝึกตนทั้งหกร้อยคนที่ยืนอยู่บนจัตุรัสสาธารณะก็หายวับเข้าไปในวังวนทั้งสาม
หลังจากที่ดูดเหล่าผู้ฝึกตนเข้าไปแล้ว พายุหมุนทั้งสามใบอากาศก็เริ่มหมุนวน ก่อปรากฏรูปภาพจำนวนมากขึ้นบนวังวนเหล่านั้น เป็นภาพเคลื่อนไหวที่จับตามองผู้เข้าร่วมการทดสอบทุกๆ คนอยู่!
ในขณะที่รูปภายของบรรดาผู้เข้าทดสอบปรากฎขึ้นในกระแสวนทั้งสาม กลุ่มผู้ฝึกตนที่รายล้อมอยู่รอบจัตุรัสสาธารณะก็พากันนั่งลง ทุกคนเงยศีรษะขึ้นจ้องมองขึ้นฟ้า บ้างก็เริ่มพูดคุยกัน เห็นได้ชัดว่ากำลังพากันคาดเดาว่าผู้ที่จะได้สามอันดับแรกจะเป็นใคร!
ไม่ใช่เพียงพวกเขาเท่านั้น แต่เมี่ยเลี่ยจื่อ เฟิ่งชิวหรัน และโยวหรัน พร้อมด้วยบรรดาผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณคนอื่นๆ หลังจากที่ให้ศิษย์จำนวนหนึ่งยกเก้าอี้มาให้ ก็พากันนั่งลงรอชมผลสรุปของการทดสอบ
แม้อาจจะใช้เวลาหลายวันกว่าจะรู้ผล แต่สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว เวลาหลายวันก็ผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาเฝ้ารอ
เมี่ยเลี่ยจื่อดูจะภูมิใจเป็นพิเศษ สายตาของเขาจับจ้องไปที่ตู้กูหลินเท่านั้น ชายหนุ่มเป็นอาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุดของเขา อาวุธที่เขาเดิมพันทุกอย่างลงไป เป็นอาวุธลับที่เขาจะใช้เพื่อเอาชนะเฟิ่งชิวหรันและโยวหรัน!
“ยุคของเราจะมาถึง เพียงแค่หลินเอ๋อร์ปลดปล่อยศักยภาพที่แท้จริงออกมาเท่านั้น!” เมี่ยเลี่ยจื่อพึมพำอยู่คนเดียว สีหน้าที่เคยเย็นชาก็ต้องหลบทางให้กับรอยยิ้มบางๆ ที่เปี่ยมได้ด้วยความใฝ่ฝันและคาดหวัง
เฟิ่งชิวหรันนั้น แน่นอนว่า จะไม่ละสายตาไปไหน การทดสอบครั้งนี้สำคัญเกินไป แม้ว่านางจะไม่ค่อยมั่นใจนักกับผลที่จะออกมา นางก็จำเป็นต้องอยู่ดูผลให้รู้ด้วยตาตนเอง
โยวหรันเป็นคนเดียวที่มีรอยยิ้มอยู่ตลอดไม่เคยจาง เขาดูไม่ร้อนรนใจนัก เขาจ้องมองอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะหลับตาลง
ในขณะที่บรรดาผู้ชมด้านนอกเฝ้าดูอย่างตั้งใจ ผู้เข้าร่วมก็เข้าไปถึงหลุมดำ พวกเขาวิงเวียนกับเล็กน้อยจากการถูกเคลื่อนย้าย แต่เมื่อกลับมามองเห้นได้ชัดเจนเช่นเดิม พวกเขาก็มาปรากฏอยู่ในโลกที่แสนจะแปลกประหลาด!
สถานที่นั้นดูออกจะคับแคบไปสักหน่อยเมื่อเทียบกับความกว้างขวางของกระบี่สำริดโบราณ แต่ทว่าก็ยังเป็นอาณาบริเวณที่กว้างพอควรหากเทียบกับโลก อันที่จริงแล้ว ขนาดของสถานที่นี้แทบจะเทียบเท่ากับโลกได้เลย มีทิวเขากระจายอยู่ทั่วไป และมีทะเลและผืนป่าปกคลุมไปทั่ว บนท้องฟ้าตรงหน้ามีดวงอาทิตย์เจ็ดดวงฉายแสงแรงกล้า ปกคลุมแผ่นดินด้วยความร้อนระอุ
อาณาเขตสามแห่งในโลกนี้ส่องสว่างด้วยแสงจากการเคลื่อนย้าย หนึ่งในอาณาเขตนั้นอยู่ใกล้ทิวเขา เมื่อแสงจางหายไป เงาร่างของหวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิง กงเต๋า ลู่หยุน สวีหมิง และผู้ฝึกตนคนอื่นๆ จากฝ่ายเฟิ่งชิวหรันก็ปรากฏชัดเจนขึ้นจนกระทั่งเป็นร่างชัดเจนขึ้น
ทุกคนไม่มีเวลาปรับตัวกับการเคลื่อนย้ายเท่าใดนัก ทันทีหลังจากที่ได้รับการเคลื่อนย้ายมายังสถานที่ใหม่ พวกเขาก็ตื่นตะลึงเมื่อมองเห็นกุญแจที่ส่องแสงเรื่อเรืองอยู่ในมือ ไม่ใช่กุญแจธรรมดา คลื่นพลังที่มันแผ่ออกมานั้นทำให้ผ่อนคลาย และดูเหมือนว่ามันจะมีคุณสมบัติในการทำให้พลังปราณอยู่ตัว
กฎที่เมี่ยเลี่ยจื่อประกาศนั้นผุดขึ้นมาในใจของทุกคนทันทีที่มองเห็นกุญแจ ทุกๆ คนเริ่มมองไปรอบกายอย่างระแวดระวัง หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าไม่มีอันตราย พวกเขาจึงเริ่มออกสำรวจสิ่งรอบข้าง พวกเขาศึกษากุญแจในมืออย่างพินิจพิเคราะห์อีกด้วย บ้างก็พยายามเอาเก็บเอาไว้ในกระเป๋าคลังเก็บ แต่เมื่อทำไม่ได้จึงต้องถือไปอย่างนั้น
คนจำนวนหนึ่ง เมื่อมองเห็นแผ่นดินกว้างใหญ่และพระอาทิตย์ในอากาศก็พากันส่งเสียงอย่างตื่นตกใจ
“พื้นดินหรือ”
“สมจริงเกินไปแล้ว…นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นผืนแผ่นดินกว้างใหญ่เท่านี้…”
“แล้วพระอาทิตย์เจ็ดดวงนั่นเล่า สิ่งนี้คือวงแหวนปราณแห่งความเป็นไปได้ไร้สิ้นสุดอย่างนั้นหรือ”
ขณะที่คนอื่นๆ กำลังพูดคุยกันอยู่เสียงเบา หวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิง และกงเต๋าก็ยืนล้อมกันเป็นวงกลม พวกเขาทดลองแล้วว่ากุญแจไม่อาจถูกเก็บในกระเป๋าคลังเก็บได้ จึงนำกุญแจไปเก็บไว้ใกล้หัวใจก่อนที่จะมองไปรอบกาย พวกเขาเคยเห็นผืนแผ่นดินกว้างใหญ่เช่นนี้จึงไม่ได้ตกใจเท่าบรรดาผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาล แต่ทว่าพวกเขาก็ใช้เวลาไปไม่น้อยเพื่อจ้องมองไปยังพระอาทิตย์ทั้งเจ็ดดวงบนท้องฟ้า ก่อนจะเริ่มพูดคุยกันผ่านข้อความเสียง
“ตามกฎแล้ว พวกเราต้องระวังทุกๆ คนเลย!”
“พวกเราตั้งกลุ่มกันเองดีกว่า ไม่ต้องไปตามคนอื่นหรอก!” ขณะที่ทั้งสามพูดคุยกัน บรรดาศิษย์หลายคนที่อยู่รอบๆ ก็ได้สำรวจบริเวณนั้นเสร็จเรียบร้อย พวกเขามีประกายตาแปลกแปร่ง แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ฝ่ายเดียวกัน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะระวังตัวอยู่นั่นเอง ทุกๆ คนต่างก็อยู่ห่างจากกันพอสมควร บ้างก็เลือกที่จะเดินจากไปทันทีโดยวิ่งเต็มฝีเท้าห่างออกไปเรื่อยๆ บ้างก็คิดอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะไปหาเพื่อนเพื่อตั้งกลุ่มขึ้นมา
ไม่นานนัก ผู้ฝึกตนกว่าร้อยคนจากสองร้อยก็เลือกที่จะออกจากบริเวณนั้นไป ศิษย์เอกของเฟิ่งชิวหรันอย่างลู่หยุนไม่ได้ชายตามองกลุ่มของหวังเป่าเล่อด้วยซ้ำ เขานำศิษย์กว่าสามสิบคนที่เลือกติดตามเขาออกจากบริเวณไป
หวังเป่าเล่อและเพื่อนๆ มองหน้ากันอยู่ไปมา พวกเขาก้าวถอยออกมาด้วยความตั้งใจจะออกจากที่นั่นเช่นกัน กลุ่มของผู้ฝึกตนที่นำโดยสวีหมิงยืนอยู่ใกล้ๆ มีผู้ฝึกตนคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ เขา พลางพูดคุยกันอยู่เงียบๆ เขาหันหน้ามามองและเมื่อมองเห็นหวังเป่าเล่อกำลังเดินออกไป เขาก็รีบพุ่งตัวตามมาทันที
“ทุกๆ ท่าน โปรดรอก่อน!”
ทั้งสามไม่ได้ยืนอยู่ห่างออกไปนัก การเคลื่อนไหวอย่างฉับพลันของอีกฝ่ายทำให้กงเต๋าอยู่ในสภาวะพร้อมต่อสู้ทันที ชายหนุ่มหันไปจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาดุร้ายกระหายเลือด ตาของเจ้าเยี่ยเหมิงก็เปล่งประกายเช่นนั้น นางยกมือขวาขึ้นและเรียกเอาเข็มทิศออกมา มีตัวอักขราจารึกไหลออกมาเป็นสาย กระทบกับแสงแดดเป็นประกายมืดดำ
มีเพียงหวังเป่าเล่อที่ยืนนิ่งเหมือนไม่มีสิ่งใดผิดแปลก ชายหนุ่มหันมามองผู้ฝึกตนที่วิ่งตามมา
เขาไม่ได้ลดความเร็วลงเลยแม้ว่าจะโดนต้อง แต่มาหยุดกึกอยู่เมื่อมาถึงตรงหน้าทั้งสามแล้วเท่านั้น ผู้ฝึกตนคนนั้นเป็นเด็กหนุ่มและดูเหมือนว่าจะอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในขั้นต้น แม้ว่าเขาจะมีระดับการฝึกตนเท่ากันกับเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋า แต่สีหน้าเขาก็ดูหยิ่งยโสมาก รอยยิ้มบนใบหน้าเขาไม่พยายามซ่อนความรู้สึกนั้นแม้แต่น้อย กลับกัน มันเป็นรอยยิ้มที่ดูผิวเผินและไม่จริงใจเอาเสียเลย
“สหายร่วมสำนักเต๋าจากสหพันธรัฐทั้งสาม ข้าชื่อลิ่วเหวินจู่!” ชายหนุ่มพูด ก่อนยกมือขึ้นประสานทักทายพวกเขาอย่างไว้เชิง ชายหนุ่มไม่ได้เปิดโอกาสให้โต้ตอบเพราะเขาพูดต่อทันที
“สหายร่วมสำนักเต๋า การทดสอบนี้อันตรายยิ่งนัก เป็นการทดสอบไม่ใช่แต่เพียงระดับการฝึกตนเท่านั้น แต่ยังเป็นการทดสอบความเข้าใจของกฎอีกด้วย ข้าจะพูดตามจริง พวกท่านคงอยู่รอดได้ไม่นานนัก เพราะเหตุนี้ ได้โปรดส่งกุญแจของท่านมาให้กับศิษย์พี่ใหญ่สวีหมิงได้หรือไม่” แม้ว่าจะเป็นประโยคคำถาม แต่น้ำเสียงของชายหนุ่มก็ดูเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ แถมยังฟังดูเหมือนคำสั่งเสียมากกว่า ราวกับว่าการที่หวังเป่าเล่อและเพื่อนจะส่งมอบกุญแจให้เขานั้นเป็นเรื่องถูกต้องสมควรแล้ว ไม่ใช่เรื่องผิดแต่ประการใด
“อันที่จริงแล้ว พวกท่านอาจจะยังไม่รู้ แต่ศิษย์พี่ใหญ่สวีได้สัญญากับอาจารย์เฟิ่งเอาไว้ว่าเขาจะทำทุกทางเพื่อจะไปติดหนึ่งในสามให้จงได้ ผู้อาวุโสเฟิ่งจะมอบใบต้นไฮยาซินที่ได้รับมาให้กับสหพันธรัฐ การที่พวกท่านส่งกุญแจมาให้ศิษย์พี่ใหญ่สวีนี้ ก็เท่ากับเป็นการช่วยเหลือตนเองในทางอ้อมกลายๆ” ลิ่วเหวินจู่พูดไปพลางยิ้มไปพลาง ก่อนจะแบมือขวาออกมาทางทั้งสามคน
เมื่อชายหนุ่มพูดจบ กงเต๋าหรี่ตาลงและมองไปทางหวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิงมีสีหน้าเหมือนครุ่นคิด ทั้งสามจ้องมองกันอยู่ไปมา เหมือนจะรู้ใจกันดีว่าต่างคนต่างคิดอะไรอยู่ เจ้าเยี่ยเหมิงหันไปส่งยิ้มบางๆ ให้ลิ่วเหวินจู่
“ศิษย์พี่เจ้าคะ พวกเราต้องขอโทษด้วย แต่พวกเราตั้งใจจะช่วยลดภาระของผู้อาวุโสเฟิ่งในการทดสอบครั้งนี้ด้วยเช่นนั้น ผู้อาวุโสเฟิ่งเองก็เอ่ยปากขอให้พวกเราช่วยมาแล้ว”
ลิ่วเหวินจู่เลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำปฏิเสธจากเจ้าเยี่ยเหมิง ชายหนุ่มจ้องมองทั้งสาม ก่อนจะหันหลังกลับไปหาสวีหมิงด้วยสายตาขุ่นเคือง เขาเข้าไปกระซิบกับสวีหมิงก่อนจะชี้มาทางหวังเป่าเล่อและเพื่อนๆ สวีหมิงหัวเราะก่อนจะโคลงศีรษะราวกับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร และจึงพูดออกมาอย่างสบายใจ คำพูดของเขาดังแว่วมาถึงหูของหวังเป่าเล่อและเพื่อนด้วยว่า
“ก็แล้วแต่ก็แล้วกัน ข้าอยากจะดูว่าพวกเจ้าจะช่วยแบ่งเบาภาระอาจารย์ข้าได้สักเพียงใด ฮ่ะๆ! ระวังตัวด้วยเล่า!” หลังจากที่พูดจบ เขาก็หันหลังแล้วนำผู้ฝึกตนหลาบสิบคนกระโดดทะยานจากไป