หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 570 มองผ่านฟากฟ้า!

บทที่ 570 มองผ่านฟากฟ้า!
การต่อสู้ระหว่างหวังเป่าเล่อและโจวชู่เต๋าทำให้เกิดคลื่นปะทะกระจายทั่วทิศ ผู้ที่เฝ้าดูเหตุการณ์ต่างตื่นตะลึงเมื่อได้เห็นโจวชู่เต๋าคาดการณ์การโจมตีของอีกฝ่ายและหวังเป่าเล่อที่คอยใช้กลลวงล่อ

ยิ่งได้เห็นการตายอันน่าเวทนาของผู้ฝึกตนทั้งสามที่แอบซุ่มโจมตี ทั้งวิธีการและความเร็วที่ใช้ในการสังหารบ่งบอกได้ว่าหวังเป่าเล่อมีความสามารถเทียบเท่ากับเหล่ายอดฝีมือขั้นกำเนิดแก่นใน สามารถกำจัดผู้ที่มีระดับเทียบเท่ากันได้อย่างง่ายดาย!

ที่สำคัญคือชายหนุ่มยังอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลางเพียงเท่านั้น!

สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความหวาดกลัวให้กับทุกคนจนไม่กล้าคิดย่างกรายเข้ามาใกล้ ไม่มีใครคิดอยากจะหาจังหวะเข้าโจมตีอีก ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลที่จับตาดูการต่อสู้ครั้งนี้อยู่ต่างเหลือบมองเหล่าพันธุ์กล้าสหพันธรัฐ

หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้คงไม่มีใครกล้าพูดว่าไม่มีผู้กล้าแกร่งในสหพันธรัฐได้อีก!

พันธุ์กล้าในสหพันธรัฐรู้สึกฮึกเหิม ตั้งแต่มายังสำนักวังเต๋าไพศาลบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ พวกตนต้องใช้ชีวิตอยู่ราวกับเป็นเพียงชนชั้นล่าง

ทั้งถูกศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลดูถูกเหยียดหยาม ไหนจะท่าทีแข็งกร้าวเย็นชาที่ต้องพบเจอตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาได้สร้างความแค้นเคืองทับถมขึ้นในใจ พวกเขาต่างคอยระมัดระวังการกระทำของตัวเอง บางคนถึงกับคิดจะประจบเอาอกเอาใจเหล่าศิษย์สำนักวังเต๋า

แต่ในตอนนี้ ความคิดเหล่านั้นก็พลันเลือนหาย กลายเป็นความภาคภูมิใจและทะนงตนเข้ามาแทนที่ การกระทำของหวังเป่าเล่อพิสูจน์ให้เห็นถึงคุณค่าของเหล่าพันธุ์กล้าสหพันธรัฐ!

แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะเป็นผู้กล้าแกร่งเพียงคนเดียว แต่อย่างน้อยตัวตนของพวกเขาก็เป็นที่ประจักษ์ในสายตาคนอื่นเสียที!

หลายคนเข้าใจเรื่องนี้ เหล่าศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลที่พบกับความรู้สึกมากมายอัดแน่นอยู่เต็มอกจึงเริ่มผ่อนปรนท่าทีและสายตาอันแข็งกร้าวที่มีต่อเหล่าพันธุ์กล้า พวกเขาเฝ้าจับตาดูการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อผ่านจออย่างเคร่งขรึม ดวงตาปรากฏความเคารพยกย่องต่อชายหนุ่มในจอ

แต่ในใจนั้นกลับทำใจยอมรับไม่ได้ว่าหวังเป่าเล่อและสหพันธรัฐจะแข็งแกร่งกว่าที่พวกตนคิด โชคดีที่ก่อนการเคลื่อนย้ายในครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงแค่หวังเป่าเล่อที่ได้แสดงฝีมืออันเก่งกาจ แต่ยังมีตู้กูหลินด้วยเช่นกัน!

การต่อสู้ระหว่างตู้กูหลินและสวีหมิงสร้างแรงสั่นสะเทือนเขย่าฟ้าดินไม่ต่างกัน ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลในลานกว้างต่างคึกกันยกใหญ่เพราะทั้งคู่เป็นศิษย์สำนักวังเต๋าเช่นกัน ความร่าเริงลำพองยิ่งทวีคูณหนักขึ้นทำให้เกือบจะกลบความอึดอัดในใจที่เกิดขึ้นเพราะหวังเป่าเล่อไปหมด!

ตู้กูหลินเก่งกาจสมชื่อ แม้สวีหมิงจะเป็นศิษย์เอกคนหนึ่ง สามารถล้มผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในมากหน้าหลายตาได้ แต่ก็ยังห่างชั้นกับตู้กูหลินอยู่มาก!

สวีหมิงและตู้กูหลินสู้กันอยู่บนที่โล่งกว้างแห่งหนึ่ง บนพื้นปรากฏรอยแตกมากมาย ทั้งพื้นที่ได้ยินแต่เสียงกรีดร้องของสวีหมิง ร่างของชายหนุ่มถูกส่งทะยานขึ้นฟ้าก่อนจะร่วงหล่นกระแทกพื้นซ้ำไปมา พอหยัดยืนขึ้นมาได้ใหม่ก็โดนส่งขึ้นกลางอากาศอีกครั้ง!

ตู้กูหลินยืนหน้านิ่งอยู่กลางอากาศ ไม่ได้ปริปากพูดอะไรตั้งแต่เริ่มสู้ ถือเป็นชะตากรรมอันหลีกเลี่ยงไม่ได้ของสวีหมิง ไม่ว่าชายหนุ่มจะพยายามเช่นไร จะระเบิดสมบัติเวท ใช้ไพ่ตายที่มี หรือเสริมพลังด้วยกระบวนเวทอย่างไรก็ล้วนไร้ประโยชน์!

ความพยายามทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้นจนจบถูกสยบได้ด้วยหมัดเดียวของตู้กูหลิน!

สวีหมิงแพ้อย่างราบคาบ ตั้งแต่เริ่มต้นจวบจนปัจจุบัน ชายหนุ่มเลือดไหลไม่หยุด ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ความโกรธแค้นและสิ้นหวังในใจกลายเป็นเครื่องทรมานทำให้ตนคลุ้มคลั่ง

“ตู้กูหลิน! คู่ต่อสู้ของเจ้า…คือข้า!” สวีหมิงกระอักเลือดออกมาหลังจากโดนเสยร่วงลงพื้นอีกครั้ง เขายืนขึ้นอย่างทุลักทุเล เลือดไหลอาบจากหน้าผากผ่านดวงตาเปลี่ยนสีโลกกว้างในสายตาเป็นสีเลือด ดวงตาของชายหนุ่มดูน่าพรั่นพรึง แต่น้ำเสียงที่พูดออกมากลับไม่มีความดุร้ายแฝงอยู่ สัมผัสได้เพียงความขมขื่นเพียงเท่านั้น

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ…ตั้งแต่ปล่อยหมัดที่สอง ตู้กูหลินผู้เงียบขรึมก็เลิกสนใจสวีหมิงไป เอาแต่เงยหน้ามองแผนที่บนฟ้าตรงจุดที่หวังเป่าเล่อเข้าปะทะกับโจวชู่เต๋า

แม้ชายหนุ่มจะไม่สามารถเห็นการต่อสู้ได้ แต่ดวงตาก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง ส่วนสวีหมิงนั้นเป็นเพียงแค่…

คนไร้ค่า!

การถูกอีกฝ่ายเมินเป็นสิ่งที่ทำให้สวีหมิงเจ็บปวดใจมากที่สุด เขาเองก็เป็นศิษย์เอก ก่อนหน้านี้มีความมั่นใจอยู่เต็มอก แต่การต่อสู้ครั้งนี้ก็ทำให้ชายหนุ่มได้ตระหนักว่าตนเป็นเพียงคนไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าตู้กูหลิน

สวีหมิงรู้สึกขมขื่นที่ตนทำอะไรไม่ได้ แต่ก็ยังขุ่นเคืองอยู่ในใจ เขาหายใจถี่รัว จิตวิญญาณนักสู้ลุกไหม้ขึ้นในแววตา ชายหนุ่มเตรียมโจมตีอีกครั้งแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าจะล้มเหลว!

ทันใดนั้น ตู้กูหลินก็พูดขึ้น

“อ่อนแอ…เกินไป”

“เจ้าจะต้องตายในหมัดต่อไป ข้าขี้เกียจเกินกว่าจะฆ่าเจ้า ดังนั้น…ส่งกุญแจมาเสียดีกว่า” ตู้กูหลินละสายตาจากแผนที่บนฟ้าลงมามองสวีหมิงพร้อมกับพูดขึ้นอย่างใจเย็น สีหน้าของชายหนุ่มยังดูเย็นชาไม่แปรเปลี่ยน

สายตาที่มองมาและน้ำเสียงที่ดังขึ้นทำให้สวีหมิงตัวสั่นเทิ้ม สัญชาตญาณบอกตนเองว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นเรื่องจริง!

ถ้าตนโจมตีต่อ ทันใดที่ถูกส่งลอยขึ้นบนอากาศคงจะสิ้นลมไป…

จะสู้หรือจะถอยดี

ท่ามกลางความเงียบ สวีหมิงรู้สึกขมขื่นและหมดหนทางทำอะไร จิตวิญญาณนักสู้ในตาค่อยๆ เลือนหาย เขารู้ว่าถ้าพุ่งเข้าไปแล้วรอดกลับมาได้ก็คงพิการ แต่ใจจริงลึกๆ ก็ยังไม่อยากตาย

สวีหมิงโยนกุญแจยี่สิบดอกไปให้พร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่น จากนั้นร่างกายก็หมดเรี่ยวแรงร่วงหล่นลงกับพื้น เขาเงยหน้าขึ้น ไม่หันมองตู้กูหลินแต่เป็นสนามรบอีกแห่งบนแผนที่

“นั่นหวังเป่าเล่อหรือเปล่า…” ชายหนุ่มพูดพึมพำ ตู้กูหลินละสายตาจากแผนที่และหันไปมองทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นจุดที่หวังเป่าเล่อและโจวชู่เต๋ากำลังปะทะกันอยู่

ฝั่งทิศตะวันตกเฉียงใต้ หลังจากสวีหมิงพ่ายแพ้และสูญเสียกำลังใจในการต่อสู้ไป การต่อสู้ระหว่างหวังเป่าเล่อและโจวชู่เต๋าเองก็กำลังเดินทางมาถึงช่วงสุดท้าย โจวชู่เต๋าตื่นตะลึงไปแต่ก็ยังสามารถคุมเกาะเหล็กหมาดเข้าป้องกันได้อย่างรวดเร็ว เขาสังเกตเห็นเส้นปราณสีเลือดที่ปรากฏขึ้นบนมือขวาของอีกฝ่าย

เส้นปราณสีเลือดแผ่ขยายไปทั่วร่าง ปรากฏบนส่วนต่างๆ บนร่างกายของหวังเป่าเล่อ โครงร่างมนุษย์พลันปรากฏขึ้นรอบตัวชายหนุ่มในพริบตา!

พลังรัศมีดูชั่วร้ายและแกร่งกล้า มาในรูปลักษณ์แสนไร้เทียมทาน พลังรัศมีที่ชายหนุ่มปลดปล่อยออกมาเสริมด้วยปราณกังวานภายในกายทำให้เขาเป็นดั่งเทพ!

“จบตรงนี้!” หวังเป่าเล่อพูดขึ้นอย่างใจเย็น อารมณ์ความรู้สึกพลอยได้รับอิทธิพลไปด้วย น้ำเสียงเย็นชาของเขาฟังดูเหี้ยมโหด ชายหนุ่มขยับร่าง พุ่งตรงเข้าไปปล่อยหมัด!

หมัดทรงพลังเกินขีดจำกัดขั้นกำเนิดแก่นในพุ่งทะยานไปในอากาศ คลื่นพลังปั่นป่วนฟ้าดิน ฝากรอยแตกไว้บนพื้นพสุธาปรากฏขึ้น!

มองจากไกลๆ จะเห็นเหมือนชายหนุ่มเป็นดั่งพายุสีโลหิต อัสนีกัมปนาทฟาดผ่ารอบๆ ราวกับว่าหมู่มารกำลังระบำผ่านฟากฟ้าพุ่งตรงไปยังโจวชู่เต๋า!

หมัดที่ห้าของจริง!

เสริมพลังจากปราณกังวานสองเท่าตัว!

เกราะจักรพรรดิลักเพลิงขั้นแรกเสริมพลังไปอีกสามเท่า!

เสียงดังสนั่นสั่นสะเทือนทั่วบริเวณ พายุสีโลหิตพุ่งตรงเข้าไปปะทะเกราะเหล็กหมาดที่โจวชู่เต๋าควบคุมอยู่ ทันใดที่พายุพุ่งเข้าใส่ เกราะเหล็กหมาดก็สั่นไหวอย่างรุนแรง เริ่มปริแตกจนเกิดเสียงดัง ก่อนจะถูกทลายลงในพริบตาจากพายุทรงอำนาจ!

พายุสีโลหิตพุ่งตรงไปไม่หยุด ส่งคลื่นปะทะกระจายไปรอบทิศ ก่อนจะเคลื่อนตัวไปอยู่เบื้องหน้าโจวชู่เต๋าอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มรีบหยิบเอาสมบัติเวทป้องกันตนมากมายออกมาขณะกระอักเลือดสดออกจากปาก พยายามใช้พลังทั้งหมดที่มีในการต้านพลัง

แต่สมบัติเวทล้วนไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพายุสีโลหิต ทุกชิ้นถูกบดขยี้เป็นผุยผงเมื่อพายุเคลื่อนผ่าน โจวชู่เต๋าลนลานเมื่อเห็นพายุเคลื่อนเข้ามาใกล้ รีบกวาดมือร่ายรำพยายามป้องกันครั้งสุดท้าย เขาคุมร่างมายาพุ่งผ่านตนเองเข้าไปต้านพายุไว้!

แต่ก็ไร้ประโยชน์!

เกิดเสียงดังก้องทั่วบริเวณ พายุสีโลหิตบดขยี้ร่างมายาจนราบคาบในพริบตา ก่อนจะเคลื่อนตัวไปประชิดโจวชู่เต๋าที่กำลังสิ้นหวัง

พายุพลันเลือนหายก่อนจะกลายเป็นกำปั้นเกราะจักรพรรดิ!

เส้นผมของโจวชู่เต๋าพัดปลิวไปด้านหลัง เขามองกำปั้นทรงพลังเบื้องหน้าที่เต็มไปสัมผัสโหดเหี้ยม พลันรู้สึกขมขื่นขึ้นมาในใจทันใดที่เสียงเย็นชาของหวังเป่าเล่อดังขึ้น

“เจ้าแพ้แล้ว”

ชายหนุ่มหลับตา ความขมขื่นในใจทวีคูณมากขึ้น เขาถอนหายใจ ก่อนจะลืมตาขึ้นมามองด้วยความเกรี้ยวกราด จากนั้นก็โยนกุญแจให้พร้อมกับเรียกชาติภพเก้าสมัยกลับคืน โจวชู่เต๋ายืนตัวสั่นเทิ้มขณะถอนหายใจขึ้นอีกครั้ง

“ข้าไม่น่าปล่อยเหล่าหญิงชราไป…ทำไมข้าต้องสร้างปัญหา…”

หวังเป่าเล่อยืนนิ่ง ไม่ได้หันไปมองกุญแจที่อีกฝ่ายโยนให้ เขาสัมผัสอะไรบางอย่างได้จึงเงยหน้ามองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งเป็น…จุดที่ตู้กูหลินปรากฏอยู่บนแผนที่!

ขณะหวังเป่าเล่อมองตรงไปยังทิศทางเบื้องหน้า ตู้กูหลินก็มองตรงกลับมาไม่ต่าง ทั้งสองไม่สามารถเห็นกันและกันได้เนื่องจากอยู่ห่างกันไกล แต่ก็ไม่ได้หยุดยั้งความกระหายอยากต่อสู้และห้ามไม่ให้ทั้งสองมองไปทางทิศทางอีกฝ่ายได้!

ศิษย์ในลานกว้างเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ภาพหวังเป่าเล่อและตู้กูหลินประสานสายตาจากสองหน้าจอสร้างภาพจำตราตรึงใจฝูงชนตรงนั้น

ทั่วทั้งลานกว้างตกอยู่ในความเงียบงัน ก่อนเสียงพึมพำของใครคนหนึ่งจะดังขึ้น

“สมกับเป็นยอดฝีมือ!”

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset