หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 593 ตำหนักวังบูชา!

บทที่ 593 ตำหนักวังบูชา!
หวังเป่าเล่อมีมาดของผู้ยิ่งใหญ่มั่งคั่งที่ควรค่าแก่การเคารพ เมื่อเขาใช้แต้มการรบที่ได้มาจากธุรกิจเกม ซื้อกระบวนเวทจำนวนมากจากหอตำรากระบวนเวทไพศาล ผู้คนมากมายห้อมล้อมเขาเพื่อสังเกตการณ์ ขณะที่ชายหนุ่มส่งกระบวนเวทกลับไปสหพันธรัฐที่ละอันผ่านวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย ส่วนด้านสหพันธรัฐนั้นกำลังตกใจเป็นล้นพ้น!

หลี่ซิงเหวินที่ยืนอยู่นอกวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายบนดาวพุธ ดวงตาแทบหลุดออกจากเบ้า เขามองไปที่กระบวนเวทที่ปรากฏขึ้นทีละอันกลางวงแหวนปราณที่ทอแสงเรืองรอง ด้วยสายตาเหมือนต้องมนต์สะกด

ส่วนต้วนมู่ฉือก็เริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย ตั้งแต่หวังเป่าเล่อส่งกระบวนเวทสิบแปดวิชากลับมาเมื่อก่อนหน้า เขาก็เริ่มจับตาสังเกตการณ์เรื่องนี้อยู่ทุกความเคลื่อนไหว ผ่านนวัตกรรมภาพฉายของสหพันธรัฐ

ภาพฉายของต้วนมู่ฉือหันหลับขวับมาในทันที เมื่อจับได้ว่าวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเริ่มเรืองแสง ตอนแรกเขาดีใจกับภาพที่เห็น แต่ความดีใจนั้นก็คงอยู่ได้แค่ยี่สิบลมหายใจเท่านั้น เมื่อเห็นว่าทุกวินาทีจะมีกระบวนเวทใหม่ปรากฏขึ้น ต้วนมู่ฉือก็เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง หัวใจสั่นระรัวไปหมด

“ยี่สิบเอ็ด ยี่สิบสอง…”

“สามสิบเจ็ด สามสิบแปด…”

“สี่สิบสอง สี่สิบสาม…”

ผู้ที่ตกใจไม่แพ้กันคือผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐที่ยืนอารักขาอยู่ ทุกคนตาเบิกกว้างเมื่อเห็นแสงเรืองรองที่ใจกลางวงแหวนเคลื่อนย้าย และจำนวนกระบวนเวทที่ถูกส่งกลับมา แม้จะมีกระบวนเวทมากมายปรากฏขึ้นที่ใจกลางวงแหวนนี้ในปีที่ผ่านมา แต่ปรากฏการณ์ในครั้งนี้ถือว่ามาแรงแซงโค้งไปอย่างเทียบกันไม่ติด!

ทั่วทั้งบริเวณตกอยู่ในความเงียบงัน ต้วนมู่ฉือสำลักความตกใจ แต่กระบวนการเคลื่อนย้ายยังไม่จบลงเพียงแค่นั้น จนกระทั่งเวลาหนึ่งร้อยยี่สิบลมหายใจผ่านไป

จำนวนกระบวนเวทที่ถูกส่งกลับมาในครั้งนี้ คือหนึ่งร้อยสี่สิบกระบวนเวท!

กระบวนเวทยี่สิบวิชาสุดท้ายถูกโยนมาพร้อมกันในคราวเดียว ราวกับว่าคนที่ส่งกลับมาเริ่มหงุดหงิดกับความช้าของระบบ…

ภาพนี้ทำให้ทุกคนในสหพันธรัฐที่กำลังเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ตกใจเป็นล้นพ้น จนอดอุทานออกมาไม่ได้

“หนึ่งร้อย… สี่สิบวิชา!”

“นั่นกระบวนเวทจริงๆ นะหรือ ทำไมข้ารู้สึกเหมือนผักปลาที่เหมาเข่งซื้อมามากกว่า”

ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอื้ออึง หลี่ซิงเหวินควบคุมตนเองให้ยังใจเย็นอยู่ได้ ขณะรีบไปคว้าเอากระบวนเวททั้งหนึ่งร้อยสี่สิบวิชานั้นเอาไว้ หลังจากที่ลองอ่านดูทีละอัน สีหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดดูประหลาด แต่ก็ไม่ได้ดูเหนือความคาดหมายแต่อย่างใด ท่านหันไปมองต้วนมู่ฉือที่กำลังตกใจ

“มู่ฉือ เจ้าต้องตระเตรียมอะไรบางอย่างแล้ว ดูเป็นไปได้มากว่าเจ้าจะต้องลงจากเก้าอี้ เมื่อหวังเป่าเล่อกลับมาจากดวงอาทิตย์…”

“ทั้งหมดนี้มาจากหวังเป่าเล่อหรือ” ต้วนมู่ฉือตัวสั่น เขาไม่เชื่อจึงรีบรุดเข้ามาดูกระบวนเวททั้งหมดด้วยตนเอง ยิ่งตรวจดูมากเท่าไหร่ สีหน้าของต้วนมู่ฉือก็ยิ่งกระอักกระอ่วนมากขึ้นเท่านั้น ในใจของประธานสหพันธรัฐเต็มไปด้วยความรู้สึกอับจนหนทางและความสุขไปในเวลาเดียวกัน สุดท้ายแล้วต้วนมู่ฉือก็ถอนหายใจยาวออกมา เขารู้สึกเหมือนว่าตนเองได้จัดการเลื่อยขาเก้าอี้ของตนเองเสียเสร็จสรรพ ถึงจะส่งจินตั้วหมิงไปสู้แล้ว แต่หวังเป่าเล่อก็ยังคงถือไพ่เหนือกว่าอยู่ดี

“ข้าว่าเรื่องนี้ต้องฉลอง ฮ่าๆ ข้ารอให้หวังเป่าเล่อกลับมารับตำแหน่งประธานสหพันธรัฐไม่ไหวแล้ว!” ต้วนมู่ฉือกระแอมกระไอด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เขาดูมั่นใจเป็นอันมาก จนทำให้ใครก็อ่านไม่ออกว่าจริงๆ แล้ว ลึกๆ ในใจของเขาเป็นอื่นหรือไม่ หลี่ซิงเหวินกระแอมก่อนกล่าวเตือนความจำ

“เมื่อรวมกับกระบวนเวทที่หวังเป่าเล่อส่งมาเมื่อก่อนหน้า ก็เป็นหนึ่งร้อยห้าสิบแปดพอดี…”

เมื่อได้ยินดังนั้น ท่านประธานสหพันธรัฐก็ตัวสั่น

บัดซบเอ๊ย… ข้ายังเป็นประธานสหพันธรัฐมาไม่ถึงสิบปีเลย… หากข้าขอสละตำแหน่งเองหลังจากทิ้งผลงานเอาไว้ก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นแบบนี้จะดูเหมือนโดนบังคับให้สละเก้าอี้มากกว่า นี่มันบ้าอะไรกัน แบบนี้ข้าก็เสียหน้าสิ! ต้วนมู่ฉือกระวนกระวายเป็นอันมาก เขาคิดว่าตนเองยังโชคดีอยู่ที่มีปราณระดับจุติวิญญาณ ต่อให้เขาไม่ยอมลงจากตำแหน่งเอง หวังเป่าเล่อก็ยังเอาชนะเขาไม่ได้ในการประลองอยู่ดี… แต่เมื่อนึกถึงข้อมูลล่าสุดที่ได้มาจากสำนักวังเต๋าไพศาล เกี่ยวกับความสามารถในการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อแล้ว เขาก็หมดความมั่นใจอย่างรวดเร็ว

หรือว่าข้าควรจะเปลี่ยนระบบโครงสร้างอำนาจในสหพันธรัฐมันเสียเลย ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะกลับมา เช่น เพิ่มจำนวนลำดับขั้นของขุนนางเหนือระดับสองชั้นรองขึ้นมาอีกสิบขั้น เขาถอนหายใจเพราะรู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ก่อนอารมณ์จะเริ่มดิ่งสู่ความหัวเสียอย่างรวดเร็ว

ขณะที่ต้วนมู่ฉือกำลังหงุดหงิดกระวนกระวายใจอยู่นั้น หวังเป่าเล่อที่อยู่ในลานสาธารณะของสำนักวังเต๋าไพศาล บนกระบี่สำริดเขียวโบราณ กำลังยืนตบพุงตนเองอย่างพออกพอใจในผลงาน แม้จะไม่เห็นสีหน้าของต้วนมู่ฉือในตอนนี้ แต่ชายหนุ่มก็เดาได้ว่าประธานสหพันธรัฐ คงกำลังทรมานใจกับเมฆดำทะมึนที่ลอยต่ำอยู่เหนือศีรษะ

ริอาจจะมาแข่งกับข้าเช่นนั้นหรือ เจ้าต้วนมู่น้อย ถ้าคิดว่าการส่งกระบวนเวทกว่าร้อยวิชากลับไปเป็นจุดจบ ก็คิดใหม่เสียเถิด ข้าจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากกว่านั้นอีก การต่อสู้แย่งเก้าอี้สูงสุดในอาณาจักรของเราสองคน ยังไม่จบลงเพียงเท่านี้หรอกนะ! หวังเป่าเล่อกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก เขาเชิดคางขึ้นด้วยความทะนงตน ศิษย์จากสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลรอบกายต่างมองเขาด้วยความตกใจ ชายหนุ่มเดินออกจากลานสาธารณะ เพื่อมุ่งหน้าไปยังถ้ำที่พักของเฟิ่งชิวหรัน

หวังเป่าเล่อไม่ได้พาเจ้าลามาด้วย เนื่องจากเจ้าลาของเขากำลังใจจดใจจ่อกับการเล่นเกม จนไม่ทำอะไรนอกจากออกไปนอกบ้านเป็นบางครั้งเพื่อหาของกิน ซึ่งช่วยลดภาระการดูแลมันไปได้มาก

กว่าหวังเป่าเล่อจะไปถึงถ้ำที่พักของเฟิ่งชิวหรันก็เกือบเย็นแล้ว ส่วนเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าก็รีบกระหืดกระหอบมา ทันทีที่ได้รับข้อความ

ทั้งสามเจอกันที่หน้าที่พักของเฟิ่งชิวหรัน ก่อนทักทายท่านผู้อาวุโสอย่างพร้อมเพรียงกัน เฟิ่งชิวหรันส่งใบต้นไฮยาซินสามใบให้หวังเป่าเล่อ ดวงตาเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา

นางตกลงอนุญาตให้หวังเป่าเล่อแบ่งใบทั้งสามให้เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าด้วย เนื่องจากเฟิ่งชิวหรันทราบว่าเจ้าเยี่ยเหมิงก็ได้รับกระบวนเวทจากดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้นมาด้วยเช่นกัน จึงทำให้นางได้รับตำแหน่งศิษย์สำนักในไปโดยปริยาย แม้จะตกรอบการแข่งขันก็ตามที

เฟิ่งชิวหรันเองให้ความสำคัญกับสถานะนั้นเป็นอันมาก ส่วนสำหรับกงเต๋า แม้เขาจะไม่ได้รับวิชาจากดินแดนแห่งการสืบทอดมาเหมือนจั่วอี้ฟาน แต่หากหวังเป่าเล่อเลือกส่งใบไม้ให้จั่วอี้ฟานที่ไม่ได้เข้าแข่งขันแทน คงจะไม่เหมาะสมเป็นอันมาก

ยังโชคดีที่จั่วอี้ฟานเองก็เข้าใจในเรื่องนี้ จึงไม่ได้ประท้วงอะไร เฟิ่งชิวหรันไม่ต้องการแทรกแซงการตัดสินใจระหว่างหวังเป่าเล่อและสหาย จึงเดินพาทั้งมายังภูเขาบนเกาะหลักของตำหนัก หลังจากที่มอบใบไม้ให้ผู้ชนะเรียบร้อยแล้ว

กระบวนการตระเตรียมวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายบนภูเขาเสร็จสมบูรณ์แล้ว เมี่ยเลี่ยจื่อและโยวหรันไม่ได้มาด้วย เนื่องจากเรื่องนี้จัดการฝ่ายของเฟิ่งชิวหรันเท่านั้น แต่ผู้ที่มาร่วมสังเกตการณ์ด้วยคือประมุขสวี หลังจากที่ตรวจดูว่าปลอดภัยดี ประมุขสวีก็ทักทายทั้งสามด้วยการทำมือคารวะ และรอยยิ้มบนใบหน้า

“ข้าขออวยพรให้พวกเจ้าทั้งสามเดินทางโดนปลอดภัย ไปสู่จุดสูงสุด และได้รับสถานะของศิษย์แห่งสำนักวังเต๋าไพศาลมาครอบครอง!”

หวังเป่าเล่อมองประมุขสวีในมุมใหม่เรียบร้อย จึงทำมือคารวะตอบกลับไปเช่นกันเพื่อรับคำอวยพรนั้น เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าก็คารวะท่านกลับเช่นกัน หลังจากนั้นทั้งสามก็หันมามองหน้ากัน ก่อนก้าวขึ้นไปบนวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายอย่างพร้อมเพรียง

ผู้ฝึกตนจากฝ่ายของเฟิ่งชิวหรันสร้างผนึกมือ วงแหวนปราณเคลื่อนเริ่มเดินเครื่อง สีหน้าของเฟิ่งชิวหรันเคร่งขรึมจริงจัง นางมองสามสหายและกล่าวเตือนพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย

นางบอกให้พวกเขาตื่นตัวระวังตนอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังบอกวิธีการเข้าไปยังตำหนักวังบูชาอีกด้วย

“ตำหนักวังบูชานั้นมีสองส่วนด้วยกัน ส่วนแรกคือเส้นทางชัชวาล ส่วนที่สองคือเจ็ดวังบูชา เส้นทางชัชวาลนั้นไม่มีภัยอันตรายใดๆ เนื่องจากเป็นส่วนที่ใช้ทดสอบเพียงเท่านั้น ว่าพวกเจ้าควรค่าพอที่จะเข้าไปยังเจ็ดวังบูชาหรือไม่ ส่วนเจ็ดวังบูชานั้นเป็นสถานที่ที่อันตรายอย่างแน่นอน!

“พวกเจ้าทั้งสามต้องตื่นตัวอยู่เสมอ อย่าเอาชีวิตไปทิ้งเพียงเพื่อการทดสอบนี้ จากความเข้าใจของข้า หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงได้รับวิชาสืบทอดมาจากดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้นมา ทันทีที่เข้าไปยังตำหนัก พวกเจ้าจะได้รับการยกเว้น ไม่ต้องทดสอบด่านแรกๆ และเข้าไปรับการทดสอบการเป็นศิษย์สืบทอดได้ในทันที!

“เมื่อทำสำเร็จ พวกเจ้าจะได้เป็นศิษย์สืบทอดแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล!

“ท้ายที่สุดแล้ว ขอให้พวกเจ้าโชคดี!”

เฟิ่งชิวหรันสร้างผนึกมือและชี้ไปยังวงแหวนปราณ เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่ว หวังเป่าเล่อและสหายที่อยู่ในวงแหวนปราณสายตาพร่ามัวในบัดดล ทั้งสามรู้สึกถึงแรงบีบอัดที่กระทำต่อร่างของพวกเขา อันเป็นสัญญาณว่าทั้งสามกำลังเคลื่อนย้ายไปยังจุดหมายปลายทาง หลังจากที่พวกเขาจากไปแล้ว วงแหวนปราณก็ใช้เวลานานพอตัวกว่าจะกลับมาอยู่ในสภาพปกติ

“หวังว่าทั้งสามจะเดินทางกลับมาอย่างปลอดภัย” หลังจากที่คณะของหวังเป่าเล่อจากไปแล้ว ประมุขสวีจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพก็พึมพำกับตนเอง ก่อนหันมามองเฟิ่งชิวหรันพร้อมกระแอมกระไอ

“ท่านผู้อาวุโสชิวหรัน ท่านตัดสินใจแล้วหรือยัง ซิงเหวินพี่ข้านั้นรักเจ้าด้วยใจจริง”

เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชิวหรันก็เริ่มปวดหัวขึ้นมาทันที นางจ้องประมุขสวี

“ให้หลี่ซิงเหวินมาบอกข้าด้วยตนเองเถิด!” แล้วนางก็รีบรุดจากไป

ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ จากฝ่ายของเฟิ่งชิวหรันมองหน้ากันก่อนจะจากไปเช่นกัน หลายคนเก็บความลับไว้ไม่ได้ จึงเริ่มเอาเรื่องนี้ไปพูดคุยกันในมุมข่าวและเรื่องซุบซิบบนเครือข่ายวิญญาณ เรื่องราวระหว่างหลี่ซิงเหวินและเฟิ่งชิวหรันแพร่กระจายไปในโลกเครือข่ายวิญญาณอย่างรวดเร็ว!

ในเวลาเดียวกันนั้น เทือกเขาหน้าตาประหลาดตั้งตระหง่านอยู่ในบริเวณต้องห้าม ในส่วนลึกของตัวดาบ!

เทือกเขานี้มีทางเดินทางเดียว แต่มีทั้งหมดเจ็ดยอดด้วยกัน แต่ละยอดลดหลั่นกันไปเหมือนขั้นบันได โดยยอดถัดไปสูงกว่ายอดก่อนหน้า!

รอบเทือกเขานั้นไม่มีทะเลเพลิงห้อมล้อม แต่ถูกโอบด้วยสายฟ้าสีดำนับไม่ถ้วน ที่ฟาดฟันอากาศอย่างไม่หยุดยั้ง ปรากฏการณ์นี้ทำให้ยอดเขาทั้งเจ็ดดูน่าพรั่นพรึงมาก!

บนยอดเขาแต่ละยอดมีวังใหญ่โตอลังการณ์ตั้งอยู่ เส้นทางเส้นเดียวที่ทอดผ่านเทือกเขาเรืองแสงขึ้น ก่อนที่หวังเป่าเล่อและสหายจะปรากฏกายขึ้น!

เสียงฟ้าคำรามดังต้อนรับทั้งสามในทันที สายฟ้าพิโรธทวีความรุนแรงขึ้นอีก จนส่องให้เห็นป้ายที่ระบุว่าเส้นทางขึ้นเขานี้กำลังปิดปรับปรุง ทั้งสามมองเห็นคำสามคำที่ระบุไว้ชัดเจนบนป้าย!

ตำหนักวังบูชา!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset