หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 594 เส้นทางชัชวาล!

บทที่ 594 เส้นทางชัชวาล!
หลังจากที่ปรับตัวให้ชินกับอาการที่ตามมาหลังการเคลื่อนย้าย และสภาพแวดล้อมใหม่รอบตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กงเต๋าก็พูดขึ้นโดนฉับพลัน

“เป่าเล่อ เยี่ยเหมิง ข้าไปหาอี้ฟานเมื่อหลายวันก่อน เพื่อให้เขาไปแทนข้า แต่หมอนั่นกลับบอกว่าไม่ต้องการเช่นนั้น…”

“กงเต๋า เจ้าคิดมากเกินไป” หวังเป่าเล่อตบบ่าสหาย พลางส่ายหน้าและยิ้ม ตัวเขาเองก็ไปหาจั่วอี้ฟานเพื่อเสนอข้อเสนอนี้เช่นกัน แต่จั่วอี้ฟานก็ปฏิเสธเขากลับ เพราะว่าตัวจั่วอี้ฟานเองไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขัน และแม้ว่าหวังเป่าเล่อจะมีสิทธ์ตัดสินใจว่าใครจะเข้าร่วมได้ แต่โอกาสนี้ก็เหมาะที่จะเป็นของกงเต๋ามากกว่าอย่างแน่นอน

เมื่อได้ยินดังนั้น กงเต๋าก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกอยู่ภายใน เขาเชิดคางขึ้น มองไปยังเส้นทางที่ทอดยาวอยู่เบื้องหน้าพร้อมสหายทั้งสองข้างกาย

“นี่คงจะเป็นเส้นทางชัชวาลที่ผู้อาวุโสชิวหรันบอกไว้ ข้ารู้สึกได้ถึงไอของวงแหวนปราณที่แผ่ออกมาจากถนนเส้นนี้ ไอนี้เข้มข้นมาก แต่ก็ไม่ได้มีอันตรายแต่อย่างใด!” เจ้าเยี่ยเหมิงสังเกตถนนข้างหน้าอยู่ชั่วครู่ ก่อนเอ่ยคำวินิจฉัยของตนออกมา

“ข้าจะไปก่อนแล้วกัน!” ทันทีที่นางพูดจบ กงเต๋าก็ฉายแววความมุ่งมั่นขึ้นมาในแววตาทันที เขารู้สึกขอบใจหวังเป่าเล่อมากที่ให้โอกาสนี้กับเขา และอยากเป็นคนแรกที่ก้าวไปยังเส้นทางชัชวาลก่อน เพื่อตรวจสอบดูให้แน่ใจแทนเพื่อนทั้งสองว่าไม่มีอันตรายจริงๆ

ดังนั้นกงเต๋าจึงก้าวเท้าเข้าไปยังทางที่ทอดยาวตรงหน้า ก่อนที่หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงจะทันได้ห้าม เมื่อฝ่าเท้าของเขาเหยียบลงบนผืนดิน กงเต๋าก็ตัวสั่นไปทั้งร่าง

สหายทั้งสองรีบพุ่งมาหาเขาทันทีเพื่อสังเกตการณ์ หลังจากที่รออยู่สิบห้านาที ทั้งสองก็เริ่มกระวนกระวายและอยากดึงกงเต๋ากลับมา แต่ชายหนุ่มกลับถอนหายใจยาว

“ข้าเห็นภาพนิมิตเท่านั้น… ไม่มีอันตรายหรอก” ชายหนุ่มก้าวเท้าเดินต่อไปข้างหน้า หลังจากก้าวที่ร้อย เขาก็ตัวสั่นเทาอีกครั้งและนิ่งงันอยู่กับที่

หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงมองกงเต๋า ก่อนหันมามองหน้ากันและพยักหน้าโดยไม่ได้นัดหมาย พวกเขาก้าวเข้าไปบนเส้นทางชัชวาลพร้อมกันแล้วก็พาลตัวสั่นเทา หวังเป่าเล่อรู้แล้วว่ากงเต๋าเห็นสิ่งใด ภาพนิมิตของเขาเลือนรางพร่ามัว ราวกับการเปลี่นแปลกแบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินกำลังอุบัติอยู่ตรงหน้าเขา

สายฟ้าสีดำเบื้องบนหายไปเรียบร้อยแล้ว เปลี่ยนเป็นท้องฟ้าสีฟ้าสดใส พื้นที่ห้ามเข้าที่รายรอบเมื่อก่อนหน้าก็หายไปเช่นกัน แทนที่ด้วยพื้นที่ราบสงบนิ่ง บนท้องฟ้ามีหมู่นกบินว่อนอยู่ แม้กระทั่งยอดเขาสูงทั้งเจ็ดก็ดูน่าเกรงกลัวน้อยลง กลายสภาพเป็นเนินเตี้ยๆ เจ็ดลูกเท่านั้น

ความรู้สึกสงบสุขอบอวลอยู่ในอากาศ ทำให้ผู้ที่อยู่ในโลกแห่งนี้รู้สึกสบายกายสบายใจ หวังเป่าเล่อกระพริบตาปริบ ก่อนสังเกตเห็นลานบนยอดเนินที่เขายืนอยู่

บนลานนั้นมีบ่อน้ำและสุนัขตัวใหญ่นอนเล่นอย่างขี้เกียจอยู่ข้างๆ ชายวัยกลางคนที่ดูไม่ธรรมดา นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ลูบหัวสุนัขของตนไปพลาง เขายิ้มให้เด็กสองคนที่กำลังนำป้ายมาแขวนที่ประตูนอกลาน

เด็กทั้งสองเยาว์วัยและคล่องแคล่วมาก พวกเขาใช้เวลาไม่นานก็แขวนป้ายเสร็จ หวังเป่าเล่อเห็นคำสองคำที่เขียนอยู่บนป้ายในทันที

“ลานไพศาล”

ภาพหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น ก่อนค่อยๆ สลายหายไป ทุกสิ่งกลับมาคงเดิมอีกครั้ง ทั้งสายฟ้าสีดำ พื้นที่ต้องห้ามโดยรอบ และยอดเขาตระหง่านน่าสะพรึงกลัวทั้งเจ็ด!

หวังเป่าเล่อเงียบอยู่สักพัก เมื่อหันไปมองข้างๆ เขาก็เห็นว่าเจ้าเยี่ยเหมิงลืมตาตื่นขึ้นแล้วเช่นกัน

“เส้นทางชัชวาลแสดงประวัติศาสตร์การก่อตั้งสำนักวังเต๋าไพศาลให้เราดูเช่นนั้นหรือ…” นางพึมพำแผ่วเบา หวังเป่าเล่อเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน ทั้งสองก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไป

จากระยะไกล จะมองเห็นหวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงเรียงแถวกันอยู่ ส่วนกงเต๋าอยู่ห่างออกไปร้อยก้าว ทั้งสามกำลังเดินทางไปสู่ยอดเขา ท่ามกลางสายฟ้าสีดำและพื้นที่ต้องห้ามโดยรอบ

หนึ่งร้อยก้าวต่อมา ภาพนิมิตที่สองก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าหวังเป่าเล่อ ท้องฟ้าเป็นสีเทาด้วยเมฆหม่น เมืองถูกสร้างขึ้นบนลานกว้างนั้น เนินเตี้ยๆ กลายสภาพเป็นเทือกเขาสูงใหญ่ ลานกว้างเมื่อก่อนหน้าเปลี่ยนแปลงเป็นตึกนับร้อย พื้นที่สีเขียวปกคลุมทั้งยอดเขา ทำให้บริเวณทั้งหมดดูลึกลับอย่างบอกไม่ถูก

ศิษย์ของสำนักไม่ได้มีอยู่สองคนอีกต่อไป แต่เป็นศิษย์นับหมื่นนับแสนที่กำลังยุ่งวุ่นอยู่กับการทำกิจกรรมของตนเอง แสงอาทิตย์ส่องสว่างบนป้ายที่แขวนอยู่ตรงทางเข้าภูเขา

ป้ายนั้นไม่ได้เขียนว่า ‘ลานไพศาลอีกต่อไป’ หากแต่เป็นคำอื่น!

ตระกูลไพศาล!

ทุกหนึ่งร้อยก้าวที่ก้าวเดิน นิมิตใหม่จะอุบัติขึ้นให้พวกเขาเห็น ยิ่งทั้งสามเข้าไปลึกในหุบเขาเท่าไร แรงกดดันบนตัวพวกเขายิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ราวกับกำลังท้าทายขีดกำกัดของร่างกายทั้งสาม

ในตอนแรกกงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงยังทนแรงกดดันนั้นได้ แต่เมื่อเข้าไปลึกขึ้น ก็เหลือหวังเป่าเล่ออยู่เพียงคนเดียวที่ยังเดินด้วยความเร็วปกติอยู่ เขาช่วยกงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงไม่ได้เลย แต่ก็รู้ดีว่าบนเส้นทางชัชวาลนี้ ไม่ได้มีอันตรายซ่อนอยู่ ดังนั้นแรงกดดันที่พวกเขารู้สึกอยู่นี้ เป็นเหมือนการฝึกร่างกายมากกว่าภัยที่หมายทำร้าย

แน่นอนว่าการฝึกร่างกายไม่จำเป็นสำหรับหวังเป่าเล่อ แต่เป็นโอกาสทองของเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าที่จะทำให้ตนเองแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

หลังจากที่หันไปตรวจดูว่าเพื่อนทั้งสองปลอดภัยดี หวังเป่าเล่อก็ดูนิมิตที่สาม สี่ และห้าต่อไป ราวกับกำลังเล่นเกมอย่างไรอย่างนั้น

ภาพทั้งสามที่เขาดูต่อมานั้นเหมือนกัน โดยแสดงว่าหลายปีต่อมามีอยู่สองสามสำนักย่อยในตระกูลไพศาล ที่มีผลงานและก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูล สำนักย่อยเหล่านั้นปกครองดาวเคราะห์ของตน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุคจักรพิภพ ที่แผ่ขยายอาณาเขตจากดาวดวงเดียวไปเป็นทั้งระบบจักรพิภพ แม้ความยากลำบากในการขยายอำนาจจะไม่ได้อยู่ในนิมิต แต่หวังเป่าเล่อก็เดาได้ว่ากว่าจะมีวันนี้ได้ ต้องใช้ความพยายามของหลายต่อหลายชั่วอายุคน จึงทำให้ตระกูลไพศาลควบคุมจักรพิภพย่อยได้มากมาย จนปกครองได้ทั้งเขต และกลายเป็นตระกูลที่มีอำนาจสูงสุดในบริเวณนั้น!

ระหว่างทางนี้ สำนักได้เปลี่ยนชื่ออยู่สามครั้ง นิมิตที่สามแปรเปลี่ยนเป็นนิมิตที่สี่ที่ใช้ชื่อว่าสำนักศึกษา ก่อนในนิมิตที่ห้าจะเปลี่ยนเป็นวัง ในตอนนั้นเองที่ชื่อของสำนักเปลี่ยนไปเป็น ‘สำนักวังเต๋าไพศาล’!

แม้ภาพนิมิตที่แสดงให้เห็นจะเป็นเพียงเสี้ยวเดียวของสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่ผู้รับสาสน์ก็รู้สึกได้ถึงความรุ่งโรจน์ชัชวาลของสำนักในอดีต จากลานเล็กๆ ค่อยๆ หลายเป็นสำนักที่ยึดครองเขตจักรพิภพทั้งหมด แม้จะไม่ได้มาจากสำนัก แต่หวังเป่าเล่อก็ลุ้นให้พวกเขาเอาชนะอุปสรรคทั้งหมดได้ เขารู้สึกได้ว่าก่อนที่ภัยพิบัติจะเข้ามาทำลายสำนักวังเต๋าไพศาล บรรยากาศของทั้งสำนักคงเต็มไปด้วยความหวัง และความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปสู่อนาคต

เมื่อเดินไปจนสุดถนนสายนี้ ข้าก็คงรู้ประวัติศาสตร์สำคัญทั้งหมดของสำนักวังเต๋าไพศาล อันจะทำให้ข้ารู้สึกภูมิใจในตัวสำนักแห่งนี้เป็นอันมาก… หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึก รู้สึกได้ถึงความเคารพในสำนักที่เริ่มก่อตัวขึ้นในจิตใจ หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าภาพความรุ่งเรืองยิ่งใหญ่ในนิมิต ช่างแตกต่างจากภาพพื้นที่รกร้าง สายฟ้าสีดำ พื้นที่ต้องห้าม และทะเลเพลิง อันเป็นชีวิตจริงของสำนักวังเต๋าไพศาลในตอนนี้เหลือเกิน

เมื่ออดีตอันสวยงามถูแทนที่ด้วยความจริงอันแสนโหดร้าย หวังเป่าเล่อก็ได้แต่ส่ายศีรษะ เมื่อเข้าเดินถึงยอดเขา ชายหนุ่มก็วางก้าวสุดท้ายลงบนเส้นทางชัชวาล

เมื่อเท้าของเขาสัมผัสผืนดิน ภาพนิมิตที่หกก็ปรากฏขึ้น หวังเป่าเล่อคิดว่าตนเองจะเห็นการล่มสลายของสำนัก แต่ภาพที่เห็นตรงหน้ากลับเป็นภาพที่เขาคุ้นเคย

ชายวัยกลางคนผมสีเงินขาวพาเด็กหญิงน้อยแก้มยุ้ยมายังสำนักวังเต๋าไพศาล สำนักต้อนรับการมาถึงของทั้งสองอย่างยิ่งใหญ่ แม้กระทั่งปรมาจารย์สูงสุดยังมาคารวะเขาด้วยตนเอง ในนิมิตนั้น เด็กน้อยมองไปรอบๆ อย่างสนใจใครรู้ ภาพนั้นสลายหายไปกลายเป็นนิรันดร์

“แม่นางน้อย…” หวังเป่าเล่อชะงัก ก่อนพึมพำกับตนเองท่ามกลางความเงียบงัน ภายนั้นค่อยๆ สลายหายไปอย่างช้าๆ หวังเป่าเล่อก้าวออกจากเส้นทางชัชวาล เขายืนอยู่บนยอดเขา เบื้องหน้าเป็นวัง เบื้องหลังเป็นถนนสายที่เคยก้าวเดิน

เวลาเดินผ่านไปอย่างช้าๆ หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงนั้น รอเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าให้มาถึง จิตใจของเขากลับมาสงบนิ่งอีกครั้งขณะยืนมองวังที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า วังนั้นยิ่งใหญ่อลังการด้วยเสาค้ำมโหฬาร ค้ำยันท้องฟ้าที่ทำหน้าที่เหมือนกำแพงไพศาล รูปปั้นหนึ่งตั้งอยู่หน้าวังพร้อมด้วยบรรยากาศของอำนาจอันเปี่ยมล้น วังนี้ดูเก่าแก่เอาการผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายชั่วอายุคน

หวังเป่าเล่อรู้จักคนในรูปปั้น เขาคือชายวัยกลางคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในนิมิตแรกนั่นเอง

ชายผู้นี้คงจำเป็นปรมาจารย์สูงสุดของสำนักวังเต๋าไพศาล!

แม้วังนี้จะตั้งอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของตัวดาบ แต่ก็ยังคงสภาพดีอยู่ได้ เขาที่ยืนอยู่หน้าวังนี้เปรียบเสมือนปุถุชนคนธรรมดา ที่ยืนอยู่แทบเท้ายักษ์ปักหลั่น หวังเป่าเล่อกำลังสังเกตสภาพตรงหน้า ก่อนได้ยินเสียงกระหืดกระหอบเบื้องหลัง กงเต๋ามาถึงแล้ว พร้อมด้วยแววตาโชติช่วง แม้ตัวจะยังสั่นเทาอยู่ ร่างกายของเขาผ่านการฝึกจากแรงกดดันบนเส้นทางชัชวาล อันทำให้เขาแข็งแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ห้านาทีต่อมาเจ้าเยี่ยเหมิงก็มาถึงเช่นกัน

นางมีร่างกายที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาสหายทั้งสาม จึงทำให้นางได้ประโยชน์มากที่สุดจากเส้นทางชัชวาล

“เราเข้าไปยังเจ็ดวังบูชากันเถิด!” หลังจากที่สหายทั้งสองพักจนหายเหนื่อยเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็เอ่ยขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น ดวงตาสว่างจ้าด้วยความมุ่งมั่นคาดหวัง!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset