หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 603 แผ่นศิลาอารยธรรมจารึก!

บทที่ 603 แผ่นศิลาอารยธรรมจารึก!
ภารกิจที่เรียกผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นนับร้อยมารวมตัวกันนี้ ใช้เวลาไม่นานก็ปิดฉากลง โดยกินระยะเวลาเพียงหกชั่วโมงเท่านั้น หวังเป่าเล่อไม่ทราบตัวเลขผู้เสียชีวิตจากฝั่งสำนักวังเต๋าไพศาล แต่จากที่เขาเห็นด้วยตาตนเองก็มากกว่าสี่สิบคนอย่างแน่นอน

ท้ายที่สุด ผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณก็ผนึกกำลังกันกวาดล้างเมืองนั้นให้หายไปจากแผนที่โดยสิ้นเชิง โดยไม่ทิ้งไว้แม้แต่ซากให้ได้ดูต่างหน้า

ส่วนผู้ฝึกตนที่ถูกเรียกตัวมาระหว่างทางนั้น ได้รับอนุญาตให้กลับไปได้เมื่อภารกิจเสร็จสิ้น ต่างคนต่างเดินออกจากที่แห่งนั้นไปตามทางของตนเอง หวังเป่าเล่อก็มุ่งหน้าไปยังประตูหุบเขาสำนักวังเต๋าไพศาลในทันที

เมื่อได้ร่วมทำภารกิจและเห็นการต่อสู้ของตระกูลไม่รู้สิ้นด้วยตาตนเองแล้ว หวังเป่าเล่อก็ไม่มีปัญหาเรื่องการทำตัวให้กลมกลืนกับพวกนี้อีกต่อไป เขาไม่ได้พยายามกลบเกลื่อนร่องรอยตนเองขณะเดินทางอีกแล้ว แต่พุ่งทะยานไปในอากาศอย่างโจ่งแจ้งแทน

ระหว่างทางชายหนุ่มเจอเข้ากับผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นอยู่บ้างประปราย หวังเป่าเล่อไม่ได้รอให้พวกนั้นหันมามองเขาก่อน แต่กลับมองพวกเขาแทนด้วยสายตาประเมิน เมื่อทั้งสองฝ่ายสบตากัน ธรรมเนียมการพยักหน้าแลกเปลี่ยนก่อนแยกย้ายดูจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาในสังคมนี้

ตลอดทางชายหนุ่มไม่เจออันตรายใดๆ เขากลับมาที่ประตูทางเข้าหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลอีกครั้ง เมื่อมาถึง ชายหนุ่มก็ยืนมองวัตถุเวทรูปเครื่องเจาะ พลางฟังเสียงสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ที่วัตถุเวทนี้ปล่อยออกมา เสียงของแม่นางน้อยดังก้องในหัว

“เจ้าไปเรียนภาษา… ตระกูลไม่รู้สิ้นมาจากที่ใดกัน!”

“ภาษาของสำนักแห่งความมืดอย่างไรเล่า เจ้าไม่รู้หรือแม่นางน้อย” หวังเป่าเล่อตอบอย่างสงบนิ่ง

คำตอบนี้ส่งให้แม่นางน้อยจมสู่ความเงียบ นางย้อนนึกไปถึงตอนที่หวังเป่าเล่อหายไปชั่วคราว เมื่อครั้งที่ชายหนุ่มเข้าไปอยู่ในวัตถุเวทแห่งความมืด นางพอเดาได้เกิดสิ่งใดขึ้นระหว่างนั้น แต่ก็กลับมารู้สึกอับจนหนทางอีกครั้งเช่นกัน ไม่ว่านางจะเสนอให้เขาทำสิ่งที่ยากเย็นแสนเข็ญจนแทบเป็นไปไม่ได้เพียงใด เขาเพียงแต่ต้องใช้เวลาสักพักก็จะทำสำเร็จเสมอไป

แม่นางน้อยเริ่มปวดหัวตุบเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าหวังเป่าเล่อรู้ว่านางยกเมฆเรื่องสำนักแห่งความมืด แต่ตัวนางก็เชื่อว่าสิ่งที่ตนเองพูดจะยังคงถือว่าจริงอยู่เสมอ ตราบใดที่นางไม่เปิดเผยว่าตนเองโกหก ด้วยเหตุนี้แม่นางน้อยจึงพ่นลมเยาะเย้ยตามนิสัยเดิม

“ข้ารู้อยู่แล้ว ข้าแค่อยากรู้ว่าเจ้าจะรู้หรือไม่!”

“เป็นเช่นนั้นหรือ เหตุใดจึงต้องทดสอบข้ากันเล่า เจ้าไม่ได้ตั้งใจจะให้ข้าเล่นบทวีรบุรุษช่วยผู้คนหรือใช่ไหม เจ้าก็รู้นี่แม่นางน้อย ว่าข้าไม่ใช่คนแบบนั้น” หวังเป่าเล่อยืดเส้นยืดสายอย่างขี้เกียจ ชายหนุ่มโยนความรู้สึกกระอักกระอ่วนเรื่องการสังหารหมู่ผู้รอดชีวิตจากสำนักวังเต๋าไพศาลทิ้งไปเรียบร้อยแล้ว ความคิดของเขาง่ายมาก เขาไม่ใช่พ่อพระนักบุญใดๆ ชีวิตของเขาทำเพื่อสหพันธรัฐเท่านั้น และหน้าที่ของเขาก็คือในฐานะพลเมืองของสหพันธรัฐเท่านั้นเช่นกัน

สหพันธรัฐ และสำนักแห่งความมืด

แม้หวังเป่าเล่อจะสงสารประชากรบนดาวเคราะห์เต๋าไพศาลแต่ก็ทำได้เพียงเห็นใจ ด้วยเหตุนี้เขาจึงถามแม่นางน้อยออกมาเช่นนั้น เพื่อให้นางหยุดคิดว่าจะให้เขากอบกู้สำนักวังเต๋าไพศาลที่เคยรุ่งเรืองเสีย

“ความจริงแล้ว แม้สำนักแห่งความมืดจะล่มสลายลง แต่รากฐานของสำนักนั้นยังคงอยู่ มีผู้หนึ่งที่ทั้งลึกลับและทรงอำนาจจากสำนักแห่งความมืด ที่คอยสอดแนมอยู่ในตระกูลไม่รู้สิ้น นี่เป็นข้อมูลลับที่สำคัญมาก ศาสตร์แห่งความมืดที่ข้าได้ร่ำเรียนมาก็จากท่านผู้นี้เช่นกัน จะเรียกว่าข้าเป็นหนึ่งในศิษย์ของเขาก็ได้!” ฟันเฟืองในหัวของแม่นางน้อยทำงานอย่างหนัก จนทำให้นางสามารถปั้นน้ำเป็นตัวได้ภายในไม่กี่วินาที เมื่อโม้เสร็จเรียบร้อย นางก็อดไม่ได้ที่จะภูมิใจกับไหวพริบที่แสนคมกริบของตนเอง

“ข้าทดสอบเจ้าเพราะข้าอยากรู้ว่าเจ้าได้รับการยอมรับจากท่านอาจารย์ของข้าหรือไม่ หากมีเขาคอยช่วยเหลือ อนาคตของเจ้าคงจะสดใส ไม่มีอะไรที่เจ้าทำไม่ได้เป็นแน่!”

แม่นางน้อยยังคงภาคภูมิใจในความสามารถของตนเองจนพูดต่อได้เป็นฉากๆ หากมีใครเห็นภาพนางในตอนนี้ได้ จะเห็นว่านางกำลังชูกำปั้นไปในอากาศด้วยท่าทีสดใส ราวกับกำลังให้กำลังใจเพื่อนร่วมโลกให้สู้ชีวิตต่อไปอย่างไรอย่างนั้น

สีหน้าของหวังเป่าเล่อยากจะอธิบาย เขาไม่เชื่อสิ่งที่แม่นางน้อยพูดเมื่อก่อนหน้า แต่สิ่งที่นางพูดเมื่อครู่นี้ดูมีเหตุมีผลจนทำให้แม้แต่เขายังเริ่มสงสัยในตนเอง สุดท้ายแล้วชายหนุ่มก็ตัดสินใจจะไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่อยู่ดี

แต่ด้วยความที่ตนเองยังทำภารกิจอยู่ เขาจึงไม่ได้ประกาศออกมาโต้งๆ ว่าไม่เชื่อนาง ชายหนุ่มเพียงแต่พยักหน้าและเออออตามแม่นางน้อยเท่านั้น อันทำให้นางพอใจขึ้นอีกและบอกทางลับให้กับเขาในที่สุด

เมื่อแม่นางน้อยอารมณ์ดีเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่านางน่ารักเหลือเกิน เพราะว่าสตรีนางใดที่เอาใจง่ายก็น่ารักกันทุกคน

เมื่อรู้ว่าทางเข้าลับอยู่ตรงไหน ชายหนุ่มก็แหย่แม่นางน้อยต่อไปขณะพุ่งไปตามทาง ลึกเข้าไปยังประตูเข้าหุบเขาสำนักวังเต๋าไพศาล

ทางลับนี้ถูกซ่อนไว้อย่างดีมาก เต็มไปด้วยฝุ่นและดินทราย รวมถึงชิ้นส่วนที่ผุพังยุบเข้ามาข้างใน แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับหวังเป่าเล่อแต่อย่างใด เขามุ่งไปข้างหน้าอย่างมั่นคง สองชั่วโมงต่อมา ชายหนุ่มก็มาปรากฏกายอยู่ภายในประตูหุบเขาด้านในของสำนัก!

หุบเขานี้ถูกผ่าออกเป็นสองซีกด้วยกัน วัตถุเวทเครื่องเจาะยักษ์เดินหน้าสกัดพลังจักรพิภพของมันออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง จนทำให้ภายในหุบเขามีรอยแยกมากมาย ทำให้เขาเดินทางลำบากขึ้น

กระนั้นก็ใช่ว่าจะผ่านไปไม่ได้เลยทีเดียว เพียงแต่ต้องใช้เวลาหน่อยเท่านั้น หลายชั่วโมงต่อมา ชายหนุ่มก็บุกตะลุยลึกเข้าไปในหุบเขาตามการนำทางของแม่นางน้อย จนมาถึงหน้าห้องลับในที่สุด!

กำแพงที่รายล้อมถ้ำเต็มไปด้วยรอยแตกมากมาย นอกจากนี้ในอากาศยังมีกลิ่นอายของคำสาป แม้รอยแยกในกำแพงจะทำให้คำสาปอ่อนกำลังลง แต่ก็ยังทรงพลังมากพอที่จะทำให้วิญญาณของหวังเป่าเล่อแทบขาดเป็นชิ้น วิญญาณของชายหนุ่มสั่น จิตใจว่างเปล่ากลวงโบ๋ ร่างของเขาโซเซไปมาจนแทบสลบ

โชคดีที่ในตอนนั้นเอง ประกายจรัสดาวที่ห่อหุ้มร่างของชายหนุ่มไว้ก็ปล่อยพลังอันแสนอ่อนโยนออกมา เพื่อปลุกให้เขาตื่นจากภวังค์ ชายหนุ่มรีบล่าถอยในทันที พร้อมด้วยใบหน้าซีดเผือดและร่างกายสั่นเทิ้ม แม้จะมีกฎจักรวาลไพศาลปกป้องอยู่ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังรู้สึกได้ถึงอันตรายร้ายแรงเบื้องหน้าตน

“แม่นางน้อย เจ้าตั้งใจจะฆ่าข้าหรืออย่างไร…” ชายหนุ่มสีหน้าบูดบึ้ง อันตรายที่ร่ายกายเขาสัมผัสได้นั้น เข้มข้นรุนแรงเสียยิ่งกว่าพลังของผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณเสียอีก ประสบการณ์ในนิมิตมืดทำให้เขาพอเดาได้ว่า คำสาปนี้สร้างโดยผู้ที่ทรงพลังเทียบเท่าท่านอาจารย์ของเขาในสำนักแห่งความมืด

นอกจากนี้ด้วยความที่คำสาปถูกทำลายจนไม่สมบูรณ์ จึงทำให้เขายังมีชีวิตรอดอยู่ได้แบบครบสามสิบสอง มิเช่นนั้นแล้วละก็ เขาคงไม่มีโอกาสได้มาเหยียบที่แห่งนี้เลยด้วยซ้ำ วิญญาณของเขาคงแหลกสลายไปเสียตั้งแต่ตอนที่อยู่ไกลออกไปแล้ว

“หน้าที่หลักของคำสาปคือการซ่อนที่แห่งนี้ไว้ให้เจ้าหาไม่เจอ… ไม่ต้องกังวลไป หากคำสาปนี้ยังคงอยู่แปลว่าตระกูลไม่รู้สิ้นยังหาที่แห่งนี้ไม่เจอ รีบเข้าไปเร็ว ศิลาอารยธรรมจารึกที่ข้าต้องการอยู่ข้างในนี้!” แม่นางน้อยกระแอมเพื่อซ่อนความรู้สึกอับอายเอาไว้ ก่อนจะรีบออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว

หวังเป่าเล่อลังเลอยู่นานก่อนตัดสินใจว่าจะบุกเข้าไปอย่างระมัดระวัง แม่นางน้อยพยายามอย่างเต็มที่ในการปกป้องหวังเป่าเล่อด้วยกฎจักรวาลไพศาล เพื่อต่อสู้กับคำสาปร้าย ชายหนุ่มค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้า จนมาถึงหน้าประตูหินทางเข้าห้องลับในที่สุด เขาผลักประตูให้เปิดออกอย่างช้าๆ สูดหายใจเข้าลึก กัดฟัน และเดินเข้าไปในห้อง

ทันทีที่เหยียบเข้าไปภายใน คำสาปก็ส่องแสงจ้าออกมาทันที ลำแสงหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ ลำแสงนั้นทรงพลังมากเสียจนเพียงเส้นเดียวก็ทำให้ชายหนุ่มเสียชีวิตลงได้ในทันที แต่ยังโชคดีที่มีกฎจักรวาลไพศาลปกป้อง เขาจึงยังอยู่รอดปลอดภัย

ลำแสงแต่ละเส้นมาพร้อมเสียงเสียดแหลมเหมือนคมดาบที่ฟาดฟัน ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเสียวสันหลังวาบเมื่อได้ยิน เขาเห็นจุดที่ลำแสงทุกเส้นเชื่อมต่อกัน จุดนั้นลอยอยู่เหนือสิ่งหนึ่งที่มีขนาดเท่าครึ่งฝ่ามือ… ศิลาจารึก!

ศิลาจารึกนั้นดูเหมือนไม่มีอยู่จริง เนื่องจากโปร่งแสงและเต็มไปด้วยอักขระมากมายที่ตัวเขาอ่านไม่ออก นอกจากนี้ยังเต้นตุบๆ เป็นจังหวะตามแสงอีกด้วย ศิลาอารยธรรมจารึกมีกลิ่นอายของความเก่าแก่ที่บอกไม่ถูก ส่งออกมาอย่างเด่นชัด

ทันทีที่สายตาของเขาสบลงบนศิลาจารึก ชายหนุ่มก็รู้สึกราวกับว่าศิลาแผ่นนี้ได้เห็นความตายมามากมายนับไม่ถ้วน เห็นดวงดาวที่ดับสลาย ดวงอาทิตย์ที่สูญสิ้น และความเหี่ยวเฉาทุกสิ่งอย่างในจักรวาลนี้ แต่ในขณะเดียวกัน… ก็เห็นต้นกำเนิดของทุกสิ่ง ชีวิตใหม่ ดาวใหม่ ดวงอาทิตย์ใหม่ และจักรวาลใหม่เช่นกัน!

ราวกับว่าจักรวาลทั้งหมดอาศัยอยู่ภายในศิลาแผ่นนี้ กระนั้นศิลานี้ก็ยังไม่สมบูรณ์อยู่กึ่งหนึ่ง…

“นี่มัน… อะไรกัน…” หวังเป่าเล่อพึมพำ หยุดหายใจไปชั่วขณะ

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ครั้งที่ข้ายังเป็นเด็ก บิดาข้าบอกว่านี่คือพลังแห่งเต๋าที่ผู้ฝึกตนชั้นสูงสุดจากจักรพิภพแห่งเต๋าอื่น จะเข้าใจได้เมื่อถึงขั้นที่หกของการฝึกตน” แม่นางน้อยพึมพำตอบ ส่วนหวังเป่าเล่อก็ตกใจไปเรียบร้อย เวลาผ่านไปนานก่อนที่เขาจะกลับมาได้สติอีกครั้ง เพราะได้ยินเสียงบาดลึกแหลมสูงของลำแสงที่ดังมาเข้าโสตประสาท

“แล้วเราจะหยิบมาได้อย่างไร รีบกันหน่อยเถิด ข้ารู้สึกว่าเสื้อผ้าตัวเองจะกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเร็วๆ นี้!”

“อย่าตื่นตกใจไป ข้าไม่ได้จะให้เจ้าเอาชีวิตมาทิ้งหรอกนะ เอาละ ข้าจะทำให้เจ้านำพลังรอบกายมาใช้ได้ ทั้งพลังจากคำสาปและพลังจากศิลาอารยธรรมจารึก พลังนี้จะทำให้เจ้าหลอมฝักกระบี่สำเร็จ นอกจากนี้ฝักกระบี่ของเจ้าจะยังดูดซับเอาเสี้ยวพลังจากดินแดนแห่งนี้เข้ามาด้วย เพื่อสร้างรากฐานให้ฝักกระบี่ของเจ้าพัฒนาเป็นวัตถุเวทชั้นสูงสุดต่อไป!”

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset