หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 632 แรกเห็น!

บทที่ 632 แรกเห็น!
ทั่วทั้งสำนักตกอยู่ในความโกลาหล ความกลัวและความกระวนกระวายใจถาโถมเข้าใส่ทุกชีวิต ในตอนที่ผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณทั้งสามจากไป

พิธีแต่งงานของหลี่อู๋เฉินและโจวเหมยสิ้นสุดลงในตอนนั้น ขณะที่ทั้งสำนักกำลังจมดิ่งอยู่ในความกังวลและความกลัว หวังเป่าเล่อก็เรียกเจ้าเยี่ยเหมิง ประมุขสำนักสวี และต้นไม้ยักษ์มา เพื่อหารือสิ่งที่เกิดขึ้น

ทั้งสี่สรุปกันว่าประมุขสำนักสวีและต้นไม้ยักษ์จะเป็นผู้เตรียมการรับมือสถานการณ์ร้ายแรงสูงสุด โดยหากจำเป็นจริงๆ จะต้องอพยพทุกคนผ่านวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายลับ ที่ประมุขสำนักแอบสร้างขึ้นมา

ทั้งสองต้องเตรียมการอย่างไม่ให้ใครจับได้ พร้อมกับเตรียมตัวรับการอพยพไปด้วย ประมุขสำนักสวี รวมถึงต้นไม้ยักษ์และเจ้าเยี่ยเหมิงที่เพิ่งรับรู้การมีอยู่ของวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายที่สองเป็นครั้งแรก ต่างตั้งใจตระเตรียมเรื่องนี้ด้วยความระมัดระวังสูงสุด

ทั้งสามจากไปด้วยหัวใจหนักอึ้ง จิตใจมืดมิดด้วยความกังวล หวังเป่าเล่อยืนอยู่เพียงคนเดียวในหอคอยที่สูงที่สุดของตำหนักประจำตัว สายตามองไปยังท้องฟ้าไกลและทะเลเพลิง ชายหนุ่มก็เป็นกังวลมากเช่นกัน

เสียงนั้นอาจเป็นเพียงเสียงเรียกขอความช่วยเหลือธรรมดา แต่เขาแน่ใจว่าทุกคนรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ปกติ รวมถึงตัวเฟิ่งชิวหรันเองด้วย กระนั้นในบางสถานการณ์อารมณ์ก็อยู่เหนือเหตุผล ด้วยเหตุนี้นางจึงเลือกมุ่งหน้าไปยังต้นเสียงเพื่อสืบดูให้รู้ความ

หวังเป่าเล่อเข้าใจดีว่าเหตุใดนางจึงทำเช่นนั้น และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ลางสังหรณ์นี้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ลมแรงเริ่มพัดโหมให้เสื้อผ้าของเขาปลิวสะบัด ขณะที่ชายหนุ่มหลับตาลง

“พายุกำลังจะมา…” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง เขามองลงไปยังหุบเขาเบื้องล่าง เห็นผู้ฝึกตนมากมายเดินขวักไขว่อยู่ในสำนักรอบกายเขา หลังจากผ่านไปนานหวังเป่าเล่อก็นั่งลงและเริ่มฝึกปราณ

อัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูงกล่าวเอาไว้ว่า ไม่ว่าอนาคตจะมีสิ่งใดรออยู่ สิ่งเดียวที่ทำได้คือการใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน

เวลาเดินหน้าผ่านไปเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อยังคงฝึกปราณรอ และทั้งสำนักก็ยังคงพูดคุยเรื่องนี้ไม่หยุดหย่อน ห้าวันผ่านไปในรูปการณ์นี้

ในวันที่ห้า เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มเคลื่อนคล้อย สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อกังวลใจที่สุดไม่ได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด เฟิ่งชิวหรันและผู้อาวุโสอีกสองคนกลับมาถึงเรียบร้อย ทั้งสามดูอมทุกข์ สีหน้าแสดงความรู้สึกมากมายที่ผสมปนเป

หวังเป่าเล่อได้รับเชิญให้เข้าหารือทันทีที่ทั้งสามกลับมา เขาจึงไปที่ตำหนักของเฟิ่งชิวหรันตามคำเชิญ ผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณทั้งสามรออยู่แล้วข้างใน ท่ามกลางความเงียบงัน

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยิ้มและพยักหน้าให้หวังเป่าเล่อ เมี่ยเลี่ยจื่อที่โดยปกติมักจะทักทายเขาด้วยไอเย็นและพยายามไม่มีปฏิสัมพันธ์กับเขาโดยสิ้นเชิง ในตอนนี้มีแววตาลำบากใจชัดเจน ความดุร้ายอันเป็นวิสัยปกติของเขาหายไป

เฟิ่งชิวหรันมีสีหน้าจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่มีใครทราบว่านางคิดสิ่งใดอยู่

หวังเป่าเล่อสังเกตสีหน้าของทั้งสาม ฟันเฟืองในสมองเริ่มเดินหน้าอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแต่นั่งลงที่เก้าอี้ตัวที่สี่ในโถงเท่านั้น ดวงตาจับจ้องอยู่ที่เฟิ่งชิวหรัน

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ สตรีนางเดียวในโถงนั้นก็หลับตาลง ทั้งโถงตกอยู่ในความเงียบงัน เวลาผ่านไปนานแสนนานท่ามกลางความเงียบนี้…เฟิ่งชิวหรันลืมตาขึ้นในที่สุด ดวงตาทั้งสองของนางบัดนี้เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นแน่วแน่ ในตอนนั้นเองที่เมียเลี่ยจื่อเอ่ยปากขึ้น

“เราต้องช่วยเขา!

“ต่อให้เป็นกับดักก็ไม่สำคัญ ตราบใดที่ยังมีความเป็นไปได้ว่าท่านอาจารย์ลุงยังมีชีวิตอยู่ จะเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ไม่ได้เป็นอันขาด เราต้องทำอะไรสักอย่าง!”

หวังเป่าเล่อยังคงเงียบขณะฟังคำของเมี่ยเลี่ยจื่อ เฟิ่งชิวหรันตัวสั่นก่อนเอ่ยปากขึ้นเช่นกัน คำพูดของนางเจือไปด้วยความขมขื่น

“เราตรวจสอบที่มาของเสียงเรียบร้อยแล้ว เป็นเรือรบของตระกูลไม่รู้สิ้น เราไม่ได้เข้าไปใกล้แต่ตรวจสอบดูจากระยะไกล แต่ก็รู้อยู่เป็นทุนเดิมจากสงครามเมื่อครั้งก่อนว่ามีเรือรบลักษณะนี้อยู่ไม่ถึงสิบลำ เราไม่ทราบว่ามีสิ่งใดรออยู่ในเรือ เหตุใดมันจึงปรากฏขึ้นอีกครั้ง และอะไรกันที่เป็นแผนการของพวกตระกูลไม่รู้สิ้นที่หลงเหลืออยู่…หากเราเข้าไปในเรือรบนั้น ทั้งสำนักอาจเป็นอันตรายได้!” เฟิ่งชิวหรันส่ายหน้าขณะพูด หัวใจของนางเจ็บปวดนัก นางต้องการช่วยบิดาของตนแต่ก็ไม่อยากนำทั้งสำนักมาเสี่ยง ด้วยเหตุนี้นางจึงตั้งใจว่าจะเข้าไปในเรือรบนั้นคนเดียว

“สำนักวังเต๋าไพศาลล่มสลายลงจนถึงจุดที่ว่าเราไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว หากเราช่วยผู้อาวุโสของตนเองไม่ได้ แล้วจะยังมีอยู่ไปเพื่อสิ่งใดกันเล่า ความหวังลมๆ แล้งๆ เช่นนั้นหรือ”

“หากเป็นเช่นนั้น ข้า เมี่ยเลี่ยจื่อคนนี้ ขอต่อสู้จนถึงที่สุดเสียยังดีกว่า!” เมี่ยเลี่ยจื่อทัดทาน ดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ เมื่อเห็นเฟิ่งชิวหรันเลือกล่าถอย เขาจึงหันไปหาโยวหรันและหวังเป่าเล่อแทน

“พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไร”

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันไตร่ตรองอยู่สักพักก่อนพยักหน้า

“ข้าเห็นด้วยกับเมี่ยเลี่ยจื่อ การปรากฏตัวของเรือรบนั้นน่าสงสัย แต่หากยังมีผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นหลงเหลืออยู่จากสงครามเมื่อครั้งนั้น พลังปราณของพวกมันคงไม่สูงมาก มิเช่นนั้นคงไม่เลือกเผยตัวในตอนนี้ ข้าว่าพวกเราควรเดินหน้าโจมตี!”

เมื่อได้ยินคำพูดของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน เมี่ยเลี่ยจื่อก็หันมาหาหวังเป่าเล่อต่อ เฟิ่งชิวหรันเองก็เช่นกัน ทั้งสองต่างรอคำตอบของเขา

หวังเป่าเล่อคิดโดยยังไม่เอ่ยสิ่งใด ทั้งเมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรันเห็นพ้องต้องกันเรียบร้อย เฟิ่งชิวหรันอาจพูดอีกอย่าง แต่เรื่องนี้เกี่ยวกับบิดาของนาง ความคิดที่แท้จริงของนางไม่ต้องเอื้อนเอ่ยก็รู้ดีว่าคือสิ่งใด

แม้ทั้งสามจะให้เขาเป็นคนเลือก แต่หวังเป่าเล่อก็รู้ว่าตนเองมีเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้น

เมื่อชายหนุ่มคงความเงียบ มติที่ประชุมก็เป็นเอกฉันท์ในที่สุด ผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณทุกคนและผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในส่วนมากจากสำนักวังเต๋าไพศาลจะเข้าร่วมปฏิบัติการนี้ โดยจะแบ่งออกเป็นสามกลุ่มใหญ่ แต่ละกลุ่มนำโดยผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณทั้งสามคน เป้าหมายของภารกิจก็คือการแทรกซึมเข้าไปในเรือรบ เพื่อทำการสำรวจพื้นที่!

ขนาดของเรือรบนั้นใหญ่มากเสียจนต้องการคนจำนวนมากในการสำรวจ ซึ่งจะทำให้ปฏิบัติการช่วยเหลือเป็นไปอย่างรวดเร็ว ผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณทั้งสามเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเสียงร้องให้ช่วย รวมถึงพิกัดระหว่างตัวดาบและด้ามดาบที่เรือรบตั้งอยู่ ให้ทั้งสำนักได้รับทราบ ข่าวนี้ทำให้ทั้งสำนักตกอยู่ในความโกลาหลอีกครั้ง

สำนักวังเต๋าไพศาลเริ่มเตรียมการปฏิบัติภารกิจอย่างรวดเร็ว พวกเขาปลุกวงแหวนปราณเพื่อนำเอาสมบัติที่เก็บรักษาไว้ออกมา ซึ่งก็คือยันต์ระเบิดเคลื่อนย้าย นอกจากนี้ทุกคนยังได้รับยันต์เคลื่อนย้ายส่วนตัว ที่เอาไว้ใช้เพื่อนำตัวเองออกมาจากสถานการณ์อันตราย

ราคาสมบัติเวทและโอสถบางชนิดก็ถูกปรับลดลงเช่นกัน เพื่อให้ผู้ปฏิบัติภารกิจซื้อมาตุนได้ง่ายขึ้น

ท้ายที่สุด เมี่ยเลี่ยจื่อก็ประกาศว่าทุกคนจะออกเดินทางในเวลาเจ็ดวัน ผู้เข้าร่วมภารกิจต่างแยกตัวกันไปถือสันโดษ เพื่อรักษาสภาพร่างกายให้สมบูรณ์ที่สุดก่อนเริ่มงานจริง

เจ็ดวันผ่านไป ทั่วสำนักวังเต๋าไพศาลเต็มไปด้วยกิจกรรมมากมาย วงแหวนปราณเริ่มทำงาน ผู้ฝึกตนหลายร้อยคนเหาะขึ้นไปในอากาศ เปลี่ยนสภาพเป็นสายรุ้งที่ทะยานไปข้างหน้า สู่เรือรบด้วยความน่ายำเกรง!

ในนั้นมีศิษย์เองของเฟิ่งชิวหรันและโยวหรันอยู่ด้วย แต่ก็ยังมีใบหน้าที่คุ้นเคยที่หายไปเช่นกัน อันได้แก่ ตู้กูหลิน จั่วอี้ฟาน ต้นไม้ยักษ์ และประมุขสำนักสวี ประมุขสำนักคือผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณคนเดียวที่ไม่ได้เข้าร่วมภารกิจ อันเป็นผลมาจากความสำเร็จของการต่อสู้อย่างหนักของหวังเป่าเล่อ ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐที่เข้าร่วมมีเพียงหวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิง และกงเต๋าเท่านั้น

ทั้งสามต้องเข้าร่วมเนื่องจากได้รับตำแหน่งศิษย์ของสำนักวังเต๋าไพศาลเป็นที่เรียบร้อย และมีชื่อสลักอยู่บนแท่นสลักเต๋า ทำให้มีอำนาจควบคุมวงแหวนปราณบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ ทั้งสามจะทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมระหว่างผู้ที่อยู่ข้างในและข้างนอกเรือรบ ขณะที่ผู้ฝึกตนแต่ละกลุ่มเริ่มเข้าพื้นที่

หากหวังเป่าเล่อและคนอื่นต้องการเดินทางไปยังบริเวณตัวดาบ พวกเขาจะต้องทำการเคลื่อนย้ายหลายรอบกว่าจะไปถึง แต่ด้วยความที่นี่เป็นภารกิจใหญ่ ทั้งสำนักจึงปลุกวงแหวนปราณทั้งหมดเพื่อทำให้การเดินทางง่ายขึ้น ความเร็วของทุกคนเพิ่มขึ้นสูงมากจนไม่น่าเชื่อ จนใช้เวลาเพียงสองวันเท่านั้น…ภาพของเรือรบขนาดยักษ์ที่ติดอยู่ตรงกลางระหว่างกำแพงกัน ก็ปรากฏขึ้นในสายตา!

ภาพนั้นทำให้หวังเป่าเล่อสั่นสะท้านไปทั้งกายใจ จนต้องอุทานเมื่อได้เห็น เรือนั้นใหญ่มหึมาเกินบรรยาย แผ่นวงแหวนทั้งสามที่เป็นตัวเรือเปรียบเสมือนดาวหนึ่งดวง แต่ละวงแหวนเปรียบเสมือนโลกของตนเอง

พลังที่เรือรบปล่อยออกมาทำให้ผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในสะท้าน ความกลัวผุดขึ้นในจิตใจ

เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าเองก็มีปฏิกิริยาเดียวกัน กระนั้นพวกเขาก็ยังได้รับการปกป้องจากสถานะศิษย์ของสำนัก ด้วยพลังของวงแหวนปราณบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ จึงทำให้ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแรงกดดันได้เร็วกว่าคนอื่น แต่ถึงจะมีตัวช่วย ใบหน้าของพวกเขาก็ยังดูซีดเซียวอยู่

แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันนัก มีเพียงผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณทั้งสามเท่านั้นที่ไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากทรงพลังมากพอจนแทบจะบรรลุไปเป็นขั้นจิตวิญญาณอมตะแล้ว ส่วนหวังเป่าเล่อมีตำแหน่งของศิษย์อุปถัมภ์คอยช่วยเหลืออยู่ จึงทำให้ต่อสู้กับแรงกดดันได้ ด้วยพลังปราณที่แก่กล้าขึ้นจากอำนาจของวงแหวนปราณบนกระบี่

“ตามที่วางแผนกันไว้ เราจะแบ่งออกเป็นสามกลุ่มเพื่อแทรกซึมเข้าไปในเรือรบ ภารกิจหลักของเราคือปฏิบัติการช่วยเหลือ แต่หากสถานการณ์ย่ำแย่ลง จงปลุกพลังของยันต์เคลื่อนย้ายของตนเองทันที และรีบหนีออกมาให้เร็วที่สุด!” เฟิ่งชิวหรันหายใจเข้าลึกมองใบหน้าทุกคนในที่แห่งนั้น นางอธิบายรายละเอียดของภารกิจอย่างเคร่งขรึมจริงจัง หวังเป่าเล่อพยักหน้ารับ ผู้ฝึกตนทั้งหมดแยกตัวออกเป็นกลุ่มตามคำสั่ง

ทุกคนเข้ากลุ่มตามฝ่ายที่ตนเองสังกัด ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐทั้งสามคนเข้ากลุ่มของเฟิ่งชิวหรัน เมื่อแบ่งกลุ่มเรียบร้อย ทุกคนก็พร้อมเดินหน้าต่อ ก่อนที่จะแยกย้ายไปตามทางของตนเอง ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็พูดเตือนด้วยสีหน้าจริงจัง

“ทุกคนจงเตรียมใจให้พร้อมเสมอ แม้ว่ายันต์จะถูกออกแบบมาเพื่อใช้เคลื่อนย้ายพวกเจ้าออกจากเรือรบ แต่ก็อาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่ทำให้ใช้ไม่ได้ผลก็เป็นได้ ข้อมูลที่รวบรวมมาได้จากการสำรวจเรือรบเมื่อหลายวันก่อน บ่งชี้ว่าการเข้าไปยังอาณาเขตเรือรบของตระกูลไม่รู้สิ้นนั้นยากลำบากมาก มีผู้เคยพยายามเข้าไปได้สำเร็จ แต่ก็ถูกเคลื่อนย้ายออกมาอีกครั้ง

“นี่เป็นระบบป้องกันตนเองของเรือรบตระกูลไม่รู้สิ้น ด้วยเหตุนี้ หากพวกเจ้าคนใดเข้าไปไม่ได้และถูกดีดออกจากเรือ จงมารวมตัวกันที่นี่ เราจะมาคุยกันใหม่ว่าจะทำสิ่งใดเป็นการต่อไป”

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset