หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 641 ดวงจิตเทพ!

บทที่ 641 ดวงจิตเทพ!
หวังเป่าเล่อข่มอารมณ์สับสนอลม่านภายในไว้และออกตรวจดูรอบๆ เขาโยกมือขวาขึ้นโบก ส่งหุ่นเชิดสิบสองตัวกระจายออกไปตรวจรอบๆ ชายหนุ่มเริ่มเดินไปทั่วเมือง มองสิ่งปลูกสร้างตามทาง ก่อนจะไปเดินตรงไปยังทิศทางที่สัมผัสได้ถึงพลังรัศมีของสำนักแห่งความมืดได้รุนแรงที่สุด

มองดูก็รู้ว่าเมืองแห่งนี้เคยมีประชากรอยู่มากเลยทีเดียว จากร่องรอยที่เหลืออยู่บ่งบอกว่าชาวเมืองมีการเตรียมพร้อมรับมือหายนะครั้งนี้ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะรอดจากโศกนาฏกรรมไปได้ ทุกคนโดนกำจัดสิ้น แม้แต่ยักษายังโดนฟันขาดเป็นสองส่วน

ความอาลัยเข้าเกาะกุมในใจหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มส่ายหัวและเดินตรงไปยังใจกลางซากเมือง เขาสูดหายใจลึก ก้าวเดินต่อไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดชะงัก ดวงตาฉายแววเคร่งเครียด

หุ่นเชิดตัวหนึ่งจากอีกสิบสองตัวที่ปล่อยไปก่อนหน้าขาดการติดต่อไปโดยไม่ส่งสัญญาณเตือนใดๆ

หวังเป่าเล่อตื่นตัวทันใด รีบมุ่งหน้าไปยังจุดสุดท้ายที่หุ่นเชิดตนนั้นอยู่ก่อนจะขาดการติดต่อ เมื่อเดินไปถึงก็พบกับหุ่นเชิดนอนนิ่งอยู่ตรงหัวมุม

ชายหนุ่มไม่ได้เข้าไปหาหุ่นเชิดในทันที เขาหรี่ตาเล็กและยกมือขวาขึ้นโบก ส่งกระบี่บินพุ่งตรงไปทางหุ่นเชิด เป้าหมายพลันกระตุกและพลิกตัวกลับเมื่อกระบี่บินพุ่งเข้าไปใกล้ แสงสีแดงปรากฏขึ้นด้านใต้หุ่นเชิด มันหลบกระบี่บินและพุ่งตรงไปหาใส่หวังเป่าเล่อ

เหมือนมันจะสัมผัสได้ถึงเปลวไฟสีแดงที่ปรากฏอยู่นอกกายชายหนุ่มเมื่อเข้าใกล้ แสงสีแดงรีบเปลี่ยนทิศ พยายามจะหนีไป

แม้จะเร็วเพียงใด แต่หวังเป่าเล่อก็มีเกราะจักรพรรดิลักอัคคีอยู่ เขายกมือขวาเอื้อมไปคว้าแสงตรงหน้า

แสงสีแดงแท้จริงแล้วเป็นหนอนชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ศพ แต่เป็นสิ่งมีชีวิต มันดิ้นอยู่ในมือชายหนุ่ม บนหัวมีปากขนาดใหญ่ ส่งของเหลวไหลออกมาไม่หยุด ด้านในมีฟันสีดำเรียงรายอยู่ มันร้องคำรามพร้อมกับยิงเขี้ยวใส่หวังเป่าเล่อ พยายามดิ้นตัวอย่างรุนแรงเพื่อหนีไปจากมือของเขา

แต่ร่างสั่นเทาของมันก็บ่งบอกถึงความหวั่นกลัว เมื่อครู่ก็พยายามหลบเลี่ยงหวังเป่าเล่อ เห็นได้ชัดว่ามันกลัวเปลวไฟ!

หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ก่อนจะเหลือบไปเห็นรอยบนหลังของหุ่นเชิด คงจะโดนหนอนตัวนี้โจมตีตอนกำลังสำรวจรอบๆ มันเจาะทะลุร่างหุ่นเชิดพังไปถึงด้านใน

ดูไม่เห็นเก่งเท่าไหร่ เขาคิด ก่อนจะบีบมือที่สวมเกราะแน่น หนอนกรีดร้อง แต่กลับไม่ถูกขยี้ในทันที ชายหนุ่มหรี่ตามอง ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัว เปลวไฟสีดำพลันเคลื่อนเข้าหาหนอนในมือ มันร้องดังลั่น ก่อนจะโดนเปลวไฟเผาเป็นเถ้าถ่านคามือ

เสียงกรีดร้องครั้งสุดท้ายก่อนตายดังก้องไปทั่ว ผืนดินสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อมันกลายเป็นเถ้าธุลี สิ่งปลูกสร้างรอบกายก็สั่นคลอนเช่นกัน ทันใดนั้น ทุกซอกมุมของสิ่งปลูกสร้างทุกหลัง ตั้งแต่พื้นพสุธาไปถึงยอดกระดูกแขนที่ตั้งตระหง่านเหมืองดังภูเขา จู่ๆ ก็มีฝูงหนอนสีแดงหลั่งไหลออกมา!

บางส่วนตัวเล็กเท่าๆ กับตัวที่ตายไป ขณะที่บางตัวมีขนาดใหญ่เกือบร้อยเมตร ตัวที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดโผล่พ้นดินขึ้นมาจากภูเขาที่อยู่ไกลออกไป ก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปหาหวังเป่าเล่อ ลำตัวของมันยาวประมาณสามร้อยเมตร

ซากเมืองและกองศพถูกบดบังโดยกองทัพหนอนจำนวนนับไม่ถ้วน พวกมันเป็นดั่งเส้นขนที่งอกออกมาจากตัวยักษา ดิ้นไปดิ้นมาไม่หยุดอยู่ทั่วบริเวณ

หวังเป่าเล่อหรี่ตามองหนอนแดงมากมายรอบตัว หุ่นเชิดเริ่มขาดการเชื่อมต่อไปทีละตัว

“หนอนสีแดงพวกนี้เป็นเหมือน…เส้นขน” ชายหนุ่มส่ายหน้า แม้จะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหนอนพวกนี้เลยแต่ก็ไม่คิดเป็นกังวลเพราะได้เห็นผลกระทบของเปลวไฟสีดำที่มีต่อหนอนแดงมาก่อนแล้ว เขาสูดหายใจลึก ปล่อยให้เปลวไฟสีดำลุกลามกระจายออกไป เปลวไฟสั่นไหวขณะโหมกระจายตัวไปรอบๆ ปล่อยพลังเย็นเยียบเปลี่ยนพื้นดินให้กลายเป็นเยือกแข็ง

ฝูงหนอนแพ้ทางเปลวไฟสีดำ พวกมันรีบถอยหนี แม้แต่หนอนตัวใหญ่ที่สุดบนแขนของยักษาก็ยังตัวสั่นเทิ้มและล่าถอยไป

เมื่อได้เห็นว่าเปลวไฟสีดำใช้ได้ผลดี หวังเป่าเล่อก็ออกเดินไปด้านหน้า ไม่มีหนอนตัวไหนกล้าเข้าใกล้ พวกมันรีบถอยห่างเปิดทางให้กับชายหนุ่มอย่างว่าง่าย

ตรงกลางเมืองนั้น…มีลานกว้างที่จมลึกลงไปอยู่!

อาจจะไม่เหมาะนักที่จะเรียกว่าลานกว้างเพราะมันมีลักษณะคล้ายกับแท่นสังเวย รอบๆ มีรูปปั้นหันพังประมาณสิบตัว กะดูแล้ว ตรงใจกลางของแท่นสังเวยนี้น่าจะอยู่กึ่งกลางศีรษะของกะโหลกยักษาพอดี!

จุดนี้เองที่มีพลังรัศมีสำนักแห่งความมืดเปล่งออกมารุนแรงที่สุด

หวังเป่าเล่อหันมองซากรูปปั้นรอบๆ ถึงจะมองไม่ออกว่ามีลักษณะอย่างไรเพราะส่วนใหญ่เสียหายไปมากทีเดียว แต่ชายหนุ่มก็มีความรู้สึกว่ารูปปั้นเหล่านี้น่าจะเป็นรูปปั้นของเหล่าบุคคลทรงอำนาจของสำนักแห่งความมืดในอดีต พวกเขาคือเสาหลักของสำนัก เหล่าผู้นำทางวิญญาณที่บรรดาสานุศิษย์แห่งสำนักแห่งความมืดต่างเคารพยำเกรง!

แต่ละตนเป็นตัวแทนของยุคสมัยอันรุ่งเรือง!

ชายหนุ่มหยุดมองรูปปั้นตนหนึ่ง ร่างของเขาสั่นเทิ้มขณะเยื้องย่างเข้าไปใกล้

เขาจ้องมองอยู่เนิ่นนาน รูปปั้นเบื้องหน้านั้นส่วนหัวขาดหายไป แต่ชุดคลุมแสนคุ้นเคยที่เห็นทำให้ชายหนุ่มหายใจถี่รัว หวังเป่าเล่อรู้ว่านี่เป็นรูปปั้นของใคร

“ท่านอาจารย์…” ชายหนุ่มพึมพำขึ้นหลังจากไม่ได้ปริปากพูดอะไรเป็นเวลานาน ความอาลัยอัดแน่นเต็มหัวใจ เขาก้มหัวให้กับรูปปั้นอยู่นานก่อนจะเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็เก็บเอารูปปั้นใส่กระเป๋าคลังเวทไว้

เขาหันไปมองกึ่งกลางของลานที่จมลึก หลังจากหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เดินไปหยุดอยู่ตรงกึ่งกลางกะโหลกยักษา รู้สึกได้ถึงพลังของสำนักแห่งความมืดและเปลวไฟสีดำที่ลุกโชติช่วง

มีบางอย่างแปลกๆ ชายหนุ่มก้าวออกไปสองสามก้าวก่อนจะหยุดมองตรงเท้า จากนั้นก็ถอยกลับไปยังจุดเดิม

ไม่ผิดแน่ เปลวไฟสีดำลุกโชติช่วงที่สุดถ้ายืนตรงนี้! หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาก็สว่างวาบ ยกมือขึ้นประสานเป็นผนึกมือท่วงท่าต่างๆ เปลวไฟสีดำภายในลุกโชนรุนแรงอีกครั้ง ชายหนุ่มนั่งลง จากนั้นก็หลับตา ปล่อยจิตให้ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับเปลวไฟสีดำ พยายามจะเชื่อมจิตกับหัวกะโหลก

ทันใดที่เขาผสานเป็นหนึ่งกับเปลวไฟสีดำและมุดลงไปยังกะโหลกเบื้องล่าง ร่างของชายหนุ่มก็สั่นเทิ้ม ได้ยินเสียงโบราณดังขึ้นในหัว สั่นคลอนจิตไปถึงจิตวิญญาณ

“หัตถ์สื่อวิญญาณ ฝันหมุนวน พรากจุติเกิด หมื่นภัยพิบัติ พันชีวิต ห้าโทษทัณฑ์!”

เสียงที่ดังขึ้นส่งตรงมาจากหลายพันปีก่อน ฟังดูแล้วเหมือนจะมาจากโลกแห่งความตาย ส่งผ่านมาดังก้องอยู่ในโลกแห่งคนเป็น สะท้องดังอยู่ในหัวของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มเห็นแสงไฟจางๆ หกดวงปรากฏขึ้น

นี่มัน…

หวังเป่าเล่อตัวสั่นระริก ก่อนจะลืมตาขึ้นพร้อมกับก้มหัวหอบหายใจ เขาจ้องกะโหลกเบื้องล่างขณะที่เสียงโบราณยังคงดังก้องอยู่ภายใน หมู่ดวงไฟยังเปล่งแสงรางๆ อยู่ในหัว ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแสงวาบ!

“ดวงไฟทั้งหัวดูคล้ายกันกับ…ดวงจิตเทพที่ข้าเคยเจอ เป็นดวงจิตเทพที่จำเป็นในการหลอมอาวุธเวท!” เขากระซิบ ในฐานะบุตรแห่งความมืดและผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวท หวังเป่าเล่อมั่นใจว่ามีดวงจิตหกดวงที่กำลังอ่อนแรงและเกือบจะสลายหายไปอยู่ด้านใต้กะโหลก!

ดวงไฟทั้งหกมีลักษณะเหมือนดวงจิตเทพที่จำเป็นในการหลอมอาวุธเวท!

ชายหนุ่มตาเป็นประกาย รีบผสานจิตเป็นหนึ่งกับเปลวไฟสีดำซ้ำๆ การพยายามซ้ๆ ของเขาทำให้มั่นใจมากขึ้นว่ามีดวงจิตเทพอ่อนแรงหกดวงอยู่ใต้กะโหลกจริง หากปล่อยทิ้งไปเช่นนี้ หลายสิบปีผ่านไป เหล่าดวงจิตอาจจะต้องหายวับไป ไม่สามารถฟื้นฟูกลับคืน

มีอยู่หลายทางที่จะต่อชีวิตดวงจิตเหล่านี้ให้เป็นนิรันดร์ แต่ทางเดียวที่หวังเป่าเล่อสามารถทำได้คือ…หลอมจิตเทพทั้งหกเข้ากับอาวุธเวทเพื่อแปลงพวกมันเป็นวิญญาณวุธ!

นี่คือทางเดียวที่จะช่วจิตเทพทั้งหกดวงได้!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset