บทที่ 650 เต๋ามรณะ!
หวังเป่าเล่อหยิบหน้ากากออกมาทันทีที่ได้ยินเสียง มันไม่ได้เลือนหาย แสดงว่านี่ไม่ใช่นิมิตลวงตา ตั้งแต่ขึ้นมาบนเรือบินรบ เขาก็เริ่มหวาดระแวงสิ่งต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ
“เลิกมองได้แล้ว เป็นความผิดของเจ้าที่แอบขึ้นมาบนสถานที่ชั่วร้ายนี้ ข้าถูกสะกดไว้ตั้งแต่ที่เจ้าขึ้นมาบนเรือบินรบนี่จึงต้องแอบซ่อนตัว ข้าต้องกลับเข้าภวังค์นิทราอีกครั้งเพื่อป้องกันตนเองไม่ให้ถูกกลืนกิน เพราะฉะนั้นข้าจึงตื่นได้ไม่นานนัก!” แม่นางน้อยพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเมื่อเห็นท่าทีของชายหนุ่ม
“ถูกกลืนกินอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อโล่งใจเมื่อพบว่าแม่นางน้อยยังปลอดภัยและทำตัวตามปกติเหมือนทุกครั้ง เขาตื่นตัวเมื่อได้ยินสิ่งที่นางพูด
“เด็กสมัยนี้ใจกล้าหน้าด้านขึ้นทุกวัน จะเฟิ่งชิวหรันก็ดี เมี่ยเลี่ยจื่อก็ดี แม้แต่โยวหรันก็เป็นไปกับเขาด้วย บ้ากันไปหมด เจ้าก็ด้วย เจ้าอ้วน! รู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ที่นี่คือเรือบินรบเต๋ามรณะของตระกูลไม่รู้สิ้น!” แม่นางน้อยว่าด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย หากปรากฏตัวขึ้นได้ คงจะเห็นนางกำลังนวดหน้าผากตัวเองอยู่พร้อมกับชี้นิ้วติเตียนชายอ้วนตรงหน้า
“เต๋ามรณะ ที่นี่ไม่ใช่วังสังเวยอย่างนั้นหรือ” นี่เป็นครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อได้ยินชื่อเต๋ามรณะ
“ช่วงสงครามระหว่างตระกูลไม่รู้สิ้นกับสำนักแห่งความมืด ตระกูลไม่รู้สิ้นได้ทำลายเต๋าสวรรค์และเปลี่ยนกฎแห่งธรรมชาติไป จากนั้นก็ใช้เต๋าสวรรค์ที่ล่มสลายและห้วงอวกาศเป็นเตาหลอม ใช้ดวงดาราเป็นวัสดุหลอมเพื่อสร้างเรือบินรบเต๋ามรณะเก้าหมื่นลำขึ้น เก้าร้อยลำแรกทรงพลังเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับดาราจักร เก้าพันลำต่อมาแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ เรือบินรบลำที่เจ้าขึ้นมานี้ แม้จะเสียหายหนัก แต่ก็มีพลังอยู่ในระดับจิตวิญญาณอมตะ!
“เรือบินรบมรณะเต๋านั้นห้ามไม่ให้สิ่งมีชีวิตขึ้นมา สิ่งมีชีวิตที่ขึ้นมาบนนี้จะถูกสภาพแวดล้อมกัดกินและดูดเอาพลังชีวิตไปเพราะว่ามีเศษเสี้ยวของสวรรค์เต๋าฝังอยู่บนนี้หลายชิ้นรวมถึงเหล่าศพที่ตายในสงครามครั้งก่อน เรือบินรบนี้มีระบบที่จะช่วยให้มันทำงานต่อไปได้ไม่หยุดและต้นตอของทุกสิ่งก็คือชุดคลุมออกศึกตรงหน้าเจ้า!
“ผู้ที่สวมใส่ชุดคลุมนี้จะสามารถควบคุมเรือบินรบลำนี้ได้และยังสามารถสั่งการกองทัพศพที่อยู่บนนี้ได้อีกด้วย!”
หวังเป่าเล่อตาเบิกกว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาหันไปมองชุดคลุมออกศึกด้วยความหิวกระหาย ก่อนจะทันได้พูดอะไรออกไป แม่นางก็ขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงรำคาญใจ
“ทางเดียวที่จะใส่ชุดคลุมได้คือสังเวยเลือดเนื้อและเผาวิญญาณตนเอง ขณะที่ดวงวิญญาณกำลังจะสลายหายไปก็จะสามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งกับชุดคลุมได้และกลายเป็นผู้คุมเรือบินรบมรณะ เพราะฉะนั้นเจ้ากับเรือบินรบก็จะกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อยากลองไหมล่ะเจ้าอ้วน”
“เอ่อ” ชายหนุ่มไม่คิดว่าแม่นางน้อยจะพูดขึ้นเช่นนี้จึงเริ่มลังเลใจ
“ที่จริงก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่นะ หลังจากกลายเป็นเรือบินรบแล้ว เจ้าก็ยังสามารถฝึกวิชาได้ ไม่แน่วันหนึ่งอาจจะเจอเรือบินรบตัวเมียแล้วอยู่กินกันแบบคู่รักก็ได้” แม่นางน้อยพูดเสียงสบายๆ คำพูดของนางทำให้เขาขนลุก รีบส่ายหัวทันที
“ถึงอยากลองก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ ชุดคลุมออกศึกนี้เสียหายไปแล้ว ผู้ที่หลอมวิญญาณเข้ากับชุดถูกคนอื่นฆ่า ทิ้งแผลไว้ตรงหน้าผาก ทางเดียวที่จะรักษาได้ขึ้นต้องสังเวยชีวิต ข้าว่าพวกเจ้าน่าจะโดนล่อลวงมาที่นี่เพราะมันต้องการเลือดเนื้อของพวกเจ้า!
“เลือดเนื้อพวกเจ้าจะกลายเป็นสารอาหารให้กับชุดคลุมออกศึก แม้จะไม่สามารถคุมกองทัพศพบนเรือได้ แต่ก็ทำให้ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้สามารถเดินเรือบินรบมุ่งหน้าไปยังสำนักวังเต๋าไพศาลได้ หากมีสิ่งมีชีวิตไม่เพียงพอก็จะไปยังสหพันธรัฐและจัดการกับสิ่งมีชีวิตทั้งหมด เลือดเนื้อที่สังเวยไปน่าจะทำให้ฟื้นฟูพลังได้มากทีเดียว
“ตระกูลไม่รู้สิ้นยึดภารกิจนี้เป็นหลัก ถ้าข้าคาดเดาไม่ผิด ผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้น่าจะได้รับภารกิจให้มาหยุดยั้งกระบี่สำริดเขียวโบราณระหว่างออกบินหนีและยังคงปฏิบัติภารกิจนี้อยู่ หากล้มเหลวจะพบกับโทษมหันต์ จึงจำเป็นต้องร้องขอความช่วยเหลือ อาจเป็นได้ว่ามีอะไรบางอย่างทำให้เขาไม่สามารถติดต่อกลับไปยังตระกูลได้จึงไม่สามารถขอกำลังเสริมเพิ่มได้ เขาน่าจะคิดว่าตนคงได้รางวัลอย่างงามถ้าสามารถปฏิบัติภารกิจนี้ได้สำเร็จ ทำให้มีแรงจูงใจเพียงพอที่จะลองเสี่ยง!”
แม่นางน้อยอธิบายอย่างละเอียด น้ำเสียงของนางดูสุขุมนุ่มนวล ไม่ได้แฝงไว้ซึ่งความหนักใจ หวังเป่าเล่อกะพริบตา เขาเห็นด้วยกับการคาดการณ์ของแม่นางน้อย แต่ก็รู้จักนิสัยนางดี ถ้านางอธิบายละเอียดเช่นนี้แสดงว่านางต้องมีทางออก ชายหนุ่มกระแอมไอ เอ่ยชมสักพักหนึ่งก็ถามถึงหนทางจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างกังวลใจ
“ง่ายจะตาย ก็แค่เรียกหาศิษย์พี่ของเจ้า เขาคงจัดการได้ด้วยคมดาบเดียว” แม่นางน้อยแค่นเสียงไม่พอใจกับการเอ่ยชมของชายหนุ่ม
หวังเป่าเล่อเงียบไป ถึงจะรู้ว่านั่นคือวิธีที่ง่ายที่สุด แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะเรียกหาศิษย์พี่ได้อย่างไร จึงถอนหายใจพร้อมกับพูดขึ้น
“แล้วถ้าข้าลองขู่ผู้อยู่เบื้องหลังล่ะ ข้าจะบอกไปว่าศิษย์พี่ของข้าเป็นราชันลำดับหนึ่ง การสังหารข้าก็เท่ากับเป็นการฆ่าตัวตาย คิดว่าจะสำเร็จไหม”
แม่นางน้อยเริ่มรู้สึกผิดที่กวนชายหนุ่มไปเช่นนั้น ความคิดของเขาทำให้นางต้องแปลกใจ ถึงกระนั้นก็ดูจะเป็นแผนที่สมเหตุสมผล นางรีบพูดขึ้นอย่างเหนื่อยอ่อน “เลิกเสียเวลากับความคิดบ้าๆ เสียที ศัตรูของเจ้าอาจจะอยากฆ่าเจ้ามากขึ้นถ้าดันบอกไปว่าตัวเองเป็นใคร ตรงหน้าเจ้าคือโอกาสอันหายาก ถึงจะใส่ชุดไม่ได้ แต่เจ้าก็ดูดพลังออกมาได้ ใช้เมล็ดดูดกลืนสูบพลังปราณให้เหี้ยน เจ้าอาจจะช่วยตัวเองและคนอื่นๆ ให้รอดได้”
สิ่งที่นางพูดฟังไม่เห็นเข้าท่าเลยสักนิด หวังเป่าเล่อกำลังจะเอ่ยถามรายละเอียดเพิ่ม แต่แม่นางน้อยก็เงียบหายไป ไม่รู้ว่านางหลับใหลไปอีกครั้งหรือแค่แสร้งทำ
ชายหนุ่มถอนหายใจ ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งดวงตาก็ฉายแววมุ่งมั่น การประกาศตัวตนของตนเองดูจะเป็นการเสี่ยงเกินไป หากไม่เข้าตาจนจริงๆ ก็คงไม่น่าจะต้องใช้วิธีนี้ ดูดพลังจากชุดคลุมออกศึกน่าจะเป็นทางที่ดีที่สุดในตอนนี้
หวังเป่าเล่อไม่ลังเลใจ ส่งร่างอวตารเดินลงทะเลสาบสีทองตรงเข้าไปหยุดอยู่หน้าชุดคลุมออกศึก เขาตรวจชุดคลุมออกศึกจนแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดแปลก จากนั้นก็หลับตาลงและตั้งผนึกมือ ร่างจริงที่นั่งอยู่บนชั้นสองหยิบกระเป๋าคลังเวทออกมาวางและตั้งผนึกมือขึ้นเช่นกัน ร่างอวตารและร่างจริงพลันสลับที่กันด้วยวิชาอัสนีนิรันดร์จำแลงเหมือนกับการเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา!
ร่างอวตารไปปรากฏอยู่บนชั้นสอง ด้านในม่านป้องกันสีฟ้า ขณะที่ร่างจริงไปโผล่อยู่กลางทะเลสาบสีทองในถ้ำ หวังเป่าเล่อนั่งลงข้างชุดคลุมออกศึก เมล็ดดูดกลืนตื่นขึ้น เริ่มดูดพลังจากชุดคลุมผ่านรูโหว่ตรงหน้าผาก!
ชุดคลุมออกศึกเริ่มสั่นไหวเมื่อถูกสูบเอาพลังออกไป พลังปราณจำนวนมากพวยพุ่งออกมาจากรูโหว่ตรงหน้าผากไหลหลากเข้าสู่ร่างกายของหวังเป่าเล่อ!
ปราณวิญญาณมากมายเป็นดังคลื่นถาโถม เมล็ดดูดกลืนตื่นเต้นดีใจ รีบสูบเอาอย่างบ้าคลั่ง ส่งปราณวิญญาณไหลเวียนไปทุกส่วนในร่างกายของชายหนุ่ม ฝักกระบี่ด้านในเริ่มตื่นตัวและดูดเอาพลังปราณเช่นกัน
ชุดคลุมออกศึกพยายามต้านแรงสูบสุดกำลัง แม้จะชะลอหวังเป่าเล่อลงได้ แต่ถ้าให้เวลาสักพัก เขาก็สามารถสูบเอาพลังปราณออกมาจนหมดได้!
ร่างอวตารที่ชั้นสองหยิบเอากระเป๋าคลังเวทขึ้นมาและพุ่งตรงไปยังม่านกำบังสีฟ้าอย่างไม่ลังเลใจ มันตั้งใจจะออกไปตามหาคนอื่นๆ และบอกเรื่องทั้งหมดที่หวังเป่าเล่อพบให้ทุกคนทราบ
การจะทะลุออกไปจากด้านในม่านกำบังสีฟ้านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยหากเปรียบเทียบกับการเข้ามาจากด้านนอกแล้ว นอกจากนี้ ร่างอวตารยังมีกระเป๋าคลังเวทที่ข้างในเต็มไปด้วยอาวุธเวท แม้จะไม่มีพลังกายจากหวังเป่าเล่อช่วย แต่ระดับพลังปราณของมันก็เทียบเท่ากับชายหนุ่ม จึงน่าจะสามารถผ่านออกไปได้
หอกสีดำปรากฏขึ้นในสองมือ ร่างอวตารร้องคำรามและแปลงกายเป็นทะเลอัสนีเข้าล้อมรอบหอก หอกสีดำพุ่งตรงเข้าใส่ม่านกำบัง แม้มันจะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็สามารถทนได้ไหว ร่างอวตารแปลงกายกลับเป็นร่างมนุษย์หลังจากหลุดออกไปได้ สายอัสนีแผ่พุ่งรอบตัว นำทางหอกสีดำพุ่งไปตามหาคนอื่นๆ ไม่หยุดพัก
แต่หวังเป่าเล่อก็สามารถคุมได้ในระยะจำกัด ดินแดนชั้นที่สองนั้นกว้างใหญ่มาก แม้จะมีระดับพลังปราณสูง แต่ก็ยังติดข้อจำกัดเรื่องระยะทางที่ร่างอวตารสามารถออกไปไกลห่างร่างจริงได้ ส่งผลให้มันสามารถตามหาได้แค่ภายในระยะทางที่จำกัด
ชายหนุ่มจึงส่งหุ่นเชิดทั้งหมดที่มีออกไปตามหาช่วยอีกแรง ขณะที่ร่างอวตารก็ออกวิ่งตามหาให้ไกลที่สุดเท่าที่ทำได้
ร่างอวตารนั้นได้รับการเสริมพลังมาหลายครั้ง จึงสามารถควบคุมได้เป็นอย่างดี กองทัพหุ่นเชิดก็ช่วยออกตามหาได้รวดเร็วขึ้นกว่าที่เขาตัวคนเดียวจะทำได้
วันคืนผ่านไป ร่างจริงของหวังเป่าเล่อยังคงสูบเอาพลังปราณจากชุดคลุมออกศึก ส่วนร่างอวตารและเหล่าหุ่นเชิดก็ออกตามหาคนอื่นๆ ไม่หยุดพัก ในที่สุด หุ่นเชิดตัวหนึ่งก็จับสัญญาณผู้ฝึกตนได้จากพลังวงแหวนปราณผสานกับคาถาที่บริเวณหนึ่ง นั่นคือสัญญาณว่าเกิดการต่อสู้ขึ้นที่นี่!
หุ่นเชิดพบรอยเลือดสดใหม่และเศษชุดคลุม หวังเป่าเล่อตื่นตระหนกเมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์ผ่านดวงตาของร่างอวตาร!
เยี่ยเหมิง!