บทที่ 654 ท้องฟ้าถล่ม!
การจะหลอมโอสถต้องใช้วัตถุดิบ ความร้อน และความรู้ความเข้าใจ แต่ทว่าหวังเป่าเล่อเป็นเจ้าแห่งการหลอมวัตถุเวท ชายหนุ่มจับผู้อาวุโสไว้ใต้สายฟ้าก่อนจะส่งสายฟ้าเข้าไปในร่างของคนตระกูลไม่รู้สิ้นอย่างต่อเนื่อง ชายชราถูกแผดเผาจนร้อนฉ่าราวกับว่ากายของเขานั้นเป็นวัตถุเวทไปเสียแล้ว!
ความโหดร้ายของวิธีนี้เทียบเท่ากับการหลอมคนเป็นๆ ให้กลายเป็นโอสถก็ว่าได้
หวังเป่าเล่อกำลังโกรธจัด แต่ก็ยังไม่สิ้นสติไปเพราะโทสะ ชายหนุ่มกำลังหลอมส่วนที่เป็นกายหยาบของผู้อาวุโสเท่านั้น เมื่อกายหยาบนี้สลายเป็นผงไปเพราะสายฟ้าของเขา หวังเป่าเล่อก็ใช้มือขวาที่สร้างขึ้นสายฟ้า คว้าเข้าไปในกองขี้เถ้านั้น ก่อนจะหยิบเอาวิญญาณจุติออกมาดวงหนึ่ง!
วิญญาณจุตินั้นเป็นของผู้อาวุโส ทั้งอ่อนแอและยึดติดอยู่กับวิญญาณของเขา พร้อมจะแหลกสลายไปได้ทุกเมื่อ!
แม้ว่าระดับการฝึกตนของหวังเป่าเล่อจะไม่สูงพอให้เขาเข้าไปค้นในวิญญาณได้ แต่ทว่าด้วยวิชาลับของศาสตร์มืด ชายหนุ่มก็มั่นใจว่าเขาจะสามารถบีบเอาข้อมูลออกมาจากวิญญาณนั้นได้บ้าง แต่ทว่าชายหนุ่มก็จะทำการนั้นผ่านร่างอวตาร ซึ่งอาจจะซับซ้อนอยู่สักหน่อย
ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นอาจจะอ่อนแอ แต่ทว่าความเกลียดชังในดวงตาก็แสดงให้เห็นว่าเขาคงไม่ยอมปริปากบอกสิ่งใดกับชายหนุ่มโดยง่ายเป็นแน่
มือขวาของหวังเป่าเล่อส่องสว่างไปด้วยสายฟ้า ชายหนุ่มเริ่มการสอบปากคำไปหนึ่งรอบอย่างไร้ผล หลังจากนั้น เขาก็ไม่ได้เสียเวลากับผู้อาวุโสอีกต่อไป เขาปิดผนึกดวงวิญญาณของผู้อาวุโสด้วยกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงก่อนจะโยนวิญญาณที่ผนึกแล้วนั้นไปทางเจ้าเยี่ยเหมิง
หญิงสาวเพิ่งจะฟื้นสภาพขึ้นมาหลังจากกลืนโอสถและพักผ่อน นางใช้ผนึกฝ่ามือและสลักอักขระโบราณเอาไว้บนวิญญาณก่อนจะเก็บเข้าไว้ในกระเป๋าคลังเก็บ
ทั้งคู่มองหน้ากัน พวกเขามองเห็นความเคร่งขรึมในแววตาของกันและกัน
“ข้าพลัดหลงกับผู้อาวุโสเฟิ่งชิวหรันและคนอื่นๆ เพราะเกิดไม่คาดฝันขึ้นภายในโม่หิน ข้าหาพวกเขาไม่พบ…” เจ้าเยี่ยเหมิงพูดเบาๆ นางเงยหน้ามองหวังเป่าเล่อ ชัดเจนว่าหญิงสาวมีคำถามมากมายอยู่ในใจ ที่สำคัญที่สุดคือทำไมหวังเป่าเล่อจึงส่งเพียงร่างอวตารมาที่นี่เท่านั้น
“ข้าซ่อนตัวอยู่ในรอยแตกของโม่หิน…” หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง จากนั้นจึงเล่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาให้นางฟังรวมถึงเหตุผลที่ส่งร่างอวตารมาที่นี่
เจ้าเยี่ยเหมิงฟังเรื่องการค้นพบชั้นที่สามและเสาใต้ดินด้วยสีหน้าจริงจัง เห็นได้ชัดว่านางกำลังตกใจเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่น่าตื่นตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือข้อมูลของชุดคลุมออกศึกของตระกูลไม่รู้สิ้นและการที่พวกเขาไปอยู่บนเรือรบเต๋ามรณะ!
การค้นพบนี้เกินความคาดหมายของเจ้าเยี่ยเหมิงไปมาก ใบหน้าของนางซีดขาว แม้กระนั้น นัยน์ตาของนางจะยังคงเรียบเฉย ไม่เจือจนด้วยความสับสนหรือตกใจ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนที่จะมีประกายส่องสว่างในดวงตา นางพูดออกมาอย่างรวดเร็ว
“เป่าเล่อ เจ้าต้องหาเฟิ่งชิวหรันให้เจอและบอกความจริงกับนาง!
“เห็นได้ชัดว่ามีผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นซ่อนตัวอยู่ในสำนักวังเต๋าไพศาล ผู้อาวุโสนั้นเป็นแค่หนึ่งในนั้น…เรื่องนี้อันตรายอย่างยิ่ง มันจะส่งผลต่อสำนักวังเต๋าทั้งหมด…รวมไปถึงสหพันธรัฐด้วย!”
“เป่าเล่อ หากข้าคาดเดาถูกต้อง สงครามระหว่างตระกูลไม่รู้สิ้นและสหพันธรัฐ…จะเกิดขึ้นในไม่ช้า! และสหพันธรัฐไม่ล่วงรู้ถึงอันตรายนี้เลย เราจะเสียเปรียบเป็นอย่างมาก!” ใบหน้าของเจ้าเยี่ยเหมิงไม่มีสีหลงเหลืออยู่อีกต่อไป หวังเป่าเล่อเองก็มีสีหน้าหมองหม่นเช่นกัน ชายหนุ่มเองก็คิดเช่นเดียวกัน แม้ว่าความเข้าใจสถานการณ์ของเขาจะดีกว่าบ้างก็ตาม
หวังเป่าเล่อได้ยินที่เจ้าเยี่ยเหมิงพูดแล้วก็หรี่ตาลง จากนั้นจึงกล่าวว่า “เยี่ยเหมิง เจ้าใช้วงแหวนปราณได้ดี หากข้าสามารถหยุดคลื่นรบกวนที่สถานที่นี้ปล่อยออกมา เจ้าจะสามารถใช้กระบวนเวทเคลื่อนย้ายได้หรือไม่
“หากเจ้าทำได้ เราต้องฉวยโอกาสนี้กลับไปที่สำนักวังเต๋าไพศาลทันที พวกเราต้องไปเตือนประมุขสำนักสวีและคนอื่นๆ ให้กลับไปที่สหพันธรัฐโดยเร็วที่สุด สหพันธรัฐจะต้องได้รับการเตือนทันทีเช่นกัน พวกเขาจะได้เตรียมตัว!”
เจ้าเยี่ยเหมิงเข้าใจความเคร่งเครียดของสถานการณ์ดี นางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า
“ข้าสืบทอดวิชาวงแหวนปราณเอื้อชางโบราณมา ข้าสามารถใช้มันและจี้เคลื่อนย้ายเป็นฐานให้กับวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายระยะสั้นได้ พลังของมันน่าจะสู้กับคลื่นรบกวนได้ แต่ทว่า เจ้าจะต้องลดพลังคลื่นรบกวนให้ได้ก่อน!”
หวังเป่าเล่อมั่นใจว่าเขาทำได้แน่นอน ร่างจริงของเขาขณะนี้อยู่ในชั้นสาม และการดูดซึมพลังงานของชุดคลุมออกศึกษาแม้จะเชื่องช้าแต่ก็มั่นคง ยิ่งชุดคลุมออกศึกที่เป็นแกนของเรือรบเต๋ามรณะอ่อนแรงลงเท่าใด พลังในการขัดขวางการเคลื่อนย้ายของเรือรบก็จะอ่อนแรงลงด้วยเท่ากัน
ชายหนุ่มต้องการเวลาอีกสักหน่อย ก่อนที่ทุกอย่างจะพร้อมให้เจ้าเยี่ยเหมิงเริ่มการเคลื่อนย้าย
พวกเขาตกลงเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยก่อนจะเริ่มเดินทางตามหาเฟิ่งชิวหรัน พวกเขายังคงมองหากงเต๋าไปด้วยระหว่างทาง พวกเขาต้องหาเฟิ่งชิวหรันให้พบและบอกนางว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ขณะที่ต้องหากงเต๋าให้พบเพื่อที่จะได้หนีออกไปพร้อมกัน
แต่ถึงกระนั้น ชั้นที่สองนั้นมีพื้นที่กว้างใหญ่ หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงใช้เวลาไปหลายวันแต่ก็ไม่พบกระทั่งร่องรอยของเฟิ่งชิวหรันและคนอื่นๆ พวกเขาไม่อาจจะส่งเสียงดังได้อีกด้วย การพบกับผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นเมื่อครู่บ่งบอกว่าสถานที่นี้อันตรายเพียงใด พวกเขาต้องระมัดระวังไม่ให้พบกับผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ด้วย
แม้ว่าความคืบหน้าของการค้นหาจะเป็นไปอย่างเชื่องช้า พวกเขาก็ยังโชคดีในด้านอื่นๆ หวังเป่าเล่อสามารถจะดูดซับพลังของชุดคลุมออกศึกได้อย่างดี พลังของเรือรบในการปล่อยคลื่นรบกวนการเคลื่อนย้ายค่อยๆ อ่อนตัวลงอย่างช้าๆ
เจ้าเยี่ยเหมิงเองก็จับตามองพลังของจี้เคลื่อนย้ายของนางอยู่ทุกๆ วัน จี้ส่องแสงสว่างขึ้นและคลื่นพลังที่ปล่อยออกมาก็รุนแรงขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน
“ตามการคำนวนของข้า หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ข้าจะสามารถเปิดจี้เคลื่อนย้ายได้ในอีกหนึ่งสัปดาห์และเราจะได้ออกไปจากที่นี่สักที!” จี้เคลื่อนย้ายนั้นเป็นความหวังของพวกเขา ทั้งคู่ได้พูดคุยกันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว หากพวกเขาหาเฟิ่งชิวหรันไปพบก่อนหน้านั้น พวกเขาจะซ่อนตัวและเคลื่อนย้ายออกไปจากที่นี่เมื่อคลื่นรบกวนอ่อนแอลงมากพอ
หากจะต้องเลือกระหว่างชีวิตของทุกคนในสำนักวังเต๋าไพศาลและความปลอดภัยของสหพันธรัฐ พวกเขาทั้งคู่ย่อมต้องเลือกอย่างหลัง
เวลาผ่านไปอีกสามวัน หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงไม่พบกระทั่งร่องรอยของใครในช่วงสามวันที่ผ่านมา พวกเขาถอนใจก่อนจะเตรียมใจยอมแพ้ เมื่อกำลังมองหาที่ซ่อนตัวอยู่นั่นเอง ในทันใด…เพราะว่าการดูดกลืนพลังงานอย่างช้าๆ หรือเพราะสาเหตุอื่นใดไม่ทราบได้ แต่ก็เกิดเสียงกัมปนาทดังลั่นขึ้นบนท้องฟ้า!
เสียงกัมปนาทนั้นดังยิ่งกว่าฟ้าผ่าและสะท้อนไปทั่วโลกอันกว้างใหญ่ ฟังดูราวกับว่าสรวงสวรรค์กำลังแตกแยกออกเป็นเสี่ยง เสียงคำรามดังสนั่นปานสายฟ้านั้นสะท้อนก้องไปทั่วทั้งโลก หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงต่างก็ตกตะลึงตั่วแข็งทื่อกับเสียงที่ไม่คาดคิดนั้น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ตรงเส้นขอบฟ้าไกลลิบๆ นั้น ปรากฏเป็นรอยแยกขนาดใหญ่ขึ้นมา!
วายุทมิฬฉีกทึ้งผ่านรอยแยกนั้นมาปรากฏอยู่ในชั้นที่สอง เสียงกัมปนาทยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง รอยแยกที่สอง ที่สาม ปรากฏขึ้นมาอีก ภายในเวลาสิบวินาที ท้องฟ้าก็ถูกฉีกขาดออกเป็นเสี่ยง!
เสียงดังสนั่นนั้นเขย่าโลกทั้งใบ ทั้งเศษดินและหินก็ตกใส่รอยแยก ทำให้ยิ่งถ่างกว้างขึ้นไปอีก ท้องฟ้าชิ้นขนาดเขื่องเริ่มร่วงหล่นลงมา!
ท้องฟ้านั้นเป็นฐานของพื้นชั้นบนที่หนึ่งของโลกใบนี้ ขณะที่มันถล่มลงมาและมีวายุทมิฬเบียดแทรกเข้ามาอยู่นั้นเอง เสียงโหยหวนของโครงกระดูกจากชั้นแรกก็ดังก้องมาแต่ไกล
ภาพนี้ทำเอาทั้งหวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงผงะด้วยความตกตะลึง ทั้งคู่มีสีหน้าตื่นตกใจ หวังเป่าเล่อมองเห็นเงาร่างของคนๆ หนึ่งผ่านท้องฟ้าที่กำลังถล่มมาแต่ไกลๆ ร่างนั้นพุ่งทะยานผ่านไปราวกับดาวหาง คล้ายกับว่ากำลังหลบหนี ร่างนั้นก็คือ…เมี่ยเลี่ยจื่อ!
ผู้อาวุโสไม่ได้กำลังมุ่งตรงมาหาทั้งสองแต่อย่างใด แต่กำลังมุ่งไปที่ไหนสักแห่งหนึ่งใกล้ๆ บริเวณที่พวกเขาอยู่ เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่น และดูเหมือนว่าเขากำลังตกที่นั่งลำบาก ใบหน้าก็ซีดขาวแต่นัยน์ตาวาวกล้าไปด้วยแรงโทสะ โลหิตไหลซึมออกมาจากปากของเขาไม่หยุด
ร่างอีกร่างหนึ่งพุ่งตามออกมารอยแยกเดียวกันราวกับว่าติดตามมา ร่างนั้นสวมใส่ชุดคลุมเต๋าและเปล่งรัศมีอันน่าสะพรึงกลัว อีกร่างนั้นก็คือ…ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันนั่นเอง
“เมี่ยเลี่ยจื่อ คิดว่าจะหนีพ้นอย่างนั้นหรือ เจ้ามีทางเลือกเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ…เข้าร่วมกับเราเสีย” ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยิ้ม ก่อนจะก้าวออกมาจากรอยแยก พร้อมกับร่างอีกนับสิบที่พุ่งตรงตามหลังเขาเข้ามาในโลกใบนี้!