หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 415 รับผิดชอบการกระทำของตนเอง!

บทที่ 415 รับผิดชอบการกระทำของตนเอง!

แม่นางน้อยยกมือขึ้นโบกหลังจากพูดจบ มิติมายาเริ่มพร่าเลือนขึ้นมาในทันที พร้อมคลื่นพลังวิญญาณที่หลั่งไหลออกมาด้านนอก พัดพาเอาหวังเป่าเล่อหลุดออกมาด้วย

เมื่อมิติมายากลับมาเงียบสงบอีกครั้ง แม่นางน้อย หญิงสาวผู้งดงามชดช้อยในสายตาของหวังเป่าเล่อ ก็รีบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นางยกมือทุบหน้าอก คิ้วคู่งามขมวดเป็นปม หญิงสาวมีสีหน้ายุ่งเหยิงและหงุดหงิด ความวุ่นวายใจนั้นทำให้นางถึงกับต้องกระทืบเท้าแรงๆ

ใครบางคนลอบโจมตีเขาอย่างนั้นหรือ ทำไมข้าถึงไม่รู้สึกอะไรเลยเล่า…ไหนจะการปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันของเปลวไฟสีดำอีก ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรกัน เจ้าบ้านี่ ไม่มีอย่างอื่นทำแล้วหรืออย่างไร ทำไมจึงต้องมาถามคำถามข้ามากมายเช่นนี้ด้วย

โชคยังดีที่บุรุษแซ่เจ้านั่นเล่าให้เขาฟังเพียงนิดหน่อย หาไม่แล้ว ข้าคงต้องถูกเปิดโปงในวันนี้อย่างแน่นอน…แม่นางน้อยกลัดกลุ้มใจ แถมยังปวดศีรษะตุบ นางเริ่มสำนึกเสียใจที่ได้คุยโวและพูดเกินจริงไว้มากมายเมื่อครั้งอดีต

ไม่ใช่ความผิดของข้าสักหน่อย ใครจะไปคิดกันว่าเขาจะบรรลุเคล็ดเวทได้จริงๆ เจ้าตัวประหลาดนั่น

แต่ถึงกระนั้น ข้าก็ฉลาดกว่าและได้มอบหมายภารกิจที่ไม่มีวันทำสำเร็จให้เขาไปแล้ว! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไปเอาวัตถุเวทแห่งความมืดออกมาจากสุสานใต้ดินได้! เมื่อคิดได้เช่นนั้น หัวใจของแม่นางน้อยก็สงบลงอีกครั้ง แต่ไม่นานนางก็เริ่มไม่มั่นใจในตนเองอีก ทุกๆ ครั้งที่นางคิดว่าภารกิจใดหนักหนาสาหัสเกินจะทำได้สำเร็จ เจ้าหวังเป่าเล่อคนนี้ก็ทำได้เสียทั้งหมดไป…

เป็นไปไม่ได้…แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าสิ่งที่หลับใหลอยู่ใต้ดินนั้นเป็นวัตถุเวทแห่งความมืดจริงหรือไม่ แต่ข้าก็รู้สึกได้ถึงรัศมีอันน่าสะพรึงกลัวของมัน…ใช่แล้ว มันต้องไม่เป็นไรแน่ เขาไม่มีทางทำสำเร็จแน่นอน! แม่นางน้อยรีบปลอบใจตนเองเป็นการใหญ่ ก่อนจะแค่นหัวเราะ นางคงจะนอนหลับไปนานเกินไป สมองนางจึงไม่อยู่กับร่องกับรอย หาไม่แล้ว เหตุใดนางจึงคิดว่าหวังเป่าเล่อ ผู้ที่ยังอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่น จะมีโอกาสได้ครอบครองสมบัติหายากชิ้นนั้นกันเล่า

ข้ากำลังสอนเขาให้รู้ว่าควรจะค่อยๆ คิดค่อยๆ ทำและทำตามคำสั่งเสียบ้าง ใช่ ใช่แล้ว ทั้งหมดก็เพื่อตัวเขาเองทั้งสิ้น! แม่นางน้อยรู้สึกภูมิใจในตนเอง นางเริ่มฮัมเพลงออกมาเบาๆ โดยไม่รู้ตัว แต่แล้วนางก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ จึงนึกขึ้นได้ว่าทำนองนี้เจ้าบ้าหวังเป่าเล่อเคยฮัมให้ได้ยินมาก่อน นางรู้สึกขยะแขยงอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะเปลี่ยนไปฮัมเพลงอื่นแทน

ในขณะที่แม่นางน้อยกำลังปลาบปลื้มกับไหวพริบของตนอยู่นั้น หวังเป่าเล่อที่เพิ่งถูกส่งออกมาจากมิติมายากำลังนั่งอยู่ในห้องลับของเขา ชายหนุ่มทบทวนสิ่งที่แม่นางน้อยพูด และรู้สึกว่ามันฟังสมเหตุสมผลดี แต่ขณะเดียวกันก็แคลงใจอยู่ไม่น้อย

นางบอกว่าอาวุธเทพใต้ดินนั้นเป็นสิ่งที่นางทิ้งเอาไว้ในอดีต ออกจะมากไปหน่อยกระมัง ความขี้คุยของนางนี่ช่างเหลือล้นเสียจริง…ความรู้สึกแรกของหวังเป่าเล่อคือความไม่เชื่อ แต่ไม่นานเขาก็เริ่มแคลงใจกับตนเอง ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงการพบแม่นางน้อยครั้งแรกๆ แล้วก็นึกได้ว่านางไม่เคยหลอกลวงหรือโป้ปดเขาเลยแม้สักครั้ง หากนางบอกว่าทำได้ เขาก็ทำได้อยู่เสมอ

ความสำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่านี้ทำให้หวังเป่าเล่อไม่แน่ใจในตนเอง ชายหนุ่มเริ่มชั่งน้ำหนักความเป็นไปได้ที่แม่นางน้อยได้ทิ้งวัตถุเวทเอาไว้

หากเป็นความจริง ก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใดหากข้าจะเอาอาวุธเทพมาไว้ในครอบครอง บางทีอาจเป็นความจริงก็ได้ แม่นางน้อยพูดถูกมาโดยตลอด ชาติกำเนิดของนางก็เป็นปริศนา นางอาจจะเป็นบุคคลสำคัญที่มาจากกระบี่สำริดเขียวโบราณก็เป็นได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นหวังเป่าเล่อก็ตื่นเต้นขึ้นมา ชายหนุ่มนึกถึงข้ารับใช้แห่งความมืดที่แม่นางน้อยพูดถึง แล้วก็รู้สึกว่าชายที่ลอบจู่โจมเขาไม่ได้ดีเด่นหรือแข็งแกร่งเท่าใดนัก

ข้านึกว่าเขาอาจเป็นคนสำคัญ แต่กลับเป็นเพียงข้ารับใช้ไปเสียได้ หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงความเหนือกว่าขึ้นมาทันที ก่อนจะตบพุงอย่างเปี่ยมสุข ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกว่าแม่นางน้อยช่างเป็นผู้ช่วยที่ยอดเยี่ยมเหลือเกิน

แต่ข้ามีทุกวันนี้ได้ก็เพราะความพยายามของตัวเอง ข้าสร้างทุกสิ่งขึ้นมาด้วยเลือด เหงื่อ และน้ำตาของข้า! หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก ชายหนุ่มเตือนตนเองไม่ให้ลำพองเกินไปนัก เขาไม่ควรผลักความรับผิดชอบและภาระที่มาพร้อมความสำเร็จไปให้แม่นางน้อยเสียหมด อย่างไรเสีย ตัวเขาเองก็เป็นบุรุษทรงคุณธรรมที่สามารถจะแบกรับภาระและรับผิดชอบผลการกระทำของตนเองได้

ข้าทำงานมาหนักมาก ข้าจะไม่เสแสร้งแกล้งทำว่าข้ามีทุกวันนี้ได้เพราะแม่นางน้อย หวังเป่าเล่อเชื่อว่าระบบความเชื่อและคุณธรรมของตนนั้นอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง ณ ตอนนี้ เขามีความสุขเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มจำตอนที่ได้เรียนรู้ทฤษฎีระเบิดต้านทานวิญญาณที่ศูนย์วิจัยขึ้นมาได้

การปะทะกันระหว่างปฏิสสารกับสสาร…

หวังเป่าเล่อนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนตัดสินใจจะลองหลอมรวมพลังปราณเข้ากับปราณมืดดู และทดสอบความเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการหลอมรวมนั้น แต่ไม่ว่าจะพยายามสักกี่ครั้ง เขาก็ไม่ได้ข้อสรุปอย่างจะแจ้งเสียที พลังปราณทั้งสองหักล้างกันเองตามธรรมชาติ ทันทีที่กระทบกัน ทั้งคู่ก็สลายหายไป

หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าช่างน่าเสียดายและมาถึงทางตัน อย่างไรก็ดี ชายหนุ่มยังคงเชื่อว่าทฤษฎีนั้นถูกต้อง เหตุผลที่เขาไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังอาจเป็นเพราะความรู้ของตนไม่เพียงพอ ชายหหนุ่มยังขาดบางอย่างไป

ข้าคงต้องพักเรื่องนี้ไว้ก่อน เมื่อถึงเวลาและองค์ประกอบพรั่งพร้อม ข้าค่อยกลับมาลองอีกครั้งหนึ่ง หวังเป่าเล่อพักการทดลองเรื่องปฏิสสารกับสสารเอาไว้ ก่อนจะหันไปสำรวจวงแหวนปราณประจำนครอีกครั้ง ในที่สุด หวังเป่าเล่อก็ปลีกตัวไปถือสันโดษเพื่อศึกษาอาวุธเวทต่อด้วยหัวใจที่นิ่งสงบ

หลังจากที่ไปเยือนศูนย์วิจัย หวังเป่าเล่อก็ได้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะการหลอมสวรรค์สร้างจากวงจรการหลอมอาวุธเวทเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มตั้งใจจะถือสันโดษและทบทวนข้อมูลใหม่ๆ หลังจากที่กลับมา เขาต้องการทดสอบความเข้าใจของตนเอง ทว่าความตั้งใจนี้ถูกชะลอไว้เพราะความวุ่นวายจากเคล็ดเวทอายุวัฒนะ ขณะนี้เมื่อปัญหาทุกอย่างได้รับการสะสางแล้ว แม้ว่าจะจับตัวการไม่ได้ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังรู้สึกว่าตนกุมความได้เปรียบอยู่ แม่นางน้อยเป็นคนบอกเขาเอง อีกฝ่ายเป็นเพียงข้ารับใช้ต่ำต้อยเท่านั้น

หวังเป่าเล่อปล่อยวางอารมณ์ลง ก่อนจะเริ่มต้นทดสอบความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะการหลอมสวรรค์สร้างจากวงจรการหลอมอาวุธเวท

สามวันผ่านไปอย่างเชื่องช้า การเก็บกวาดหลังจากความวุ่นวายเรื่องเคล็ดเวทอายุวัฒนะยังคงดำเนินต่อไป แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำความสะอาดทุกสิ่งออกไปให้หมดภายในเวลาวันเดียว ยังมีผู้ฝึกตนที่ไม่ได้รับการตรวจสอบหลงเหลืออยู่บ้าง ทำให้ทุกๆ เขตในนครต่างก็ต้องตามหากันต่อไป แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้เป็นปัญหามากนัก

มีคำร้องขออพยพครั้งใหญ่มาสู่นครใหม่ และได้รับการรับรองทั้งจากฝ่ายบริหารงานดาวอังคารและสหพันธรัฐแล้ว ไม่นานนัก เรือบินนับสิบก็พาประชากรใหม่มายังนครแห่งใหม่นี้

ประชากรใหม่ส่วนมากมาจากนครหลักบนดาวอังคาร มีส่วนหนึ่งมาจากโลก พวกเขารวบรวมคนมาได้มากถึงเพียงนี้เป็นเพราะฝ่ายบริหารงานดาวอังคารและสหพันธรัฐร่วมมือกันประโคมโฆษณาอย่างหนัก ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการมอบทั้งสิทธิพิเศษและทุนช่วยเหลือเพื่อให้การอพยพเป็นไปอย่างราบรื่น

เมื่อประชากรจำนวนมากมาถึง เจ้าหน้าที่ระดับต่ำของสหพันธรัฐก็มาถึงด้วยเช่นกัน เพราะการเพิ่มขึ้นของประชากรครั้งนี้ ทำให้จำนวนเจ้าหน้าที่ระดับต่ำนั้นไม่เพียงพอ คนของสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าและกลุ่มอำนาจต่างๆ มีไม่พอ ทำให้ทั้งสหพันธรัฐและฝ่ายบริหารงานดาวอังคารต่างก็ต้องส่งคนของตัวเองมาช่วย

หลี่ซิ่ว…ก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาไม่ได้ใช้เส้นสายของบิดาแต่ใช้กำลังและความสามารถของตน ชายหนุ่มติดตามเหล่าผู้อพยพจนมาถึงดาวอังคาร สิ่งแรกที่เขาทำไม่ใช่ไปหาพี่สาวหรือพี่เขย หากแต่เป็นการไปพบหวังเป่าเล่อ

หลี่ซิ่วนั้นรู้จักหลินเทียนหาวอยู่ก่อนแล้ว เป็นเหตุให้เมื่อหลินเทียนหาวเสร็จจากการรายงานสถานการณ์ความวุ่นวายของเหตุเคล็ดเวทอายุวัฒนะให้หวังเป่าเล่อฟังแล้ว เขาได้พูดเบิกทางให้หลี่ซิ่ว

“ท่านเจ้าเมือง ข้ายังจัดการข้อมูลเกี่ยวกับการฝึกเคล็ดเวทอายุวัฒนะในหลายเขตไม่เรียบร้อยดีนัก คิดว่าน่าจะต้องใช้เวลาอีกสักสองสามวันจึงจะสามารถรายงานข้อมูลที่แน่นอนได้ นอกจากนั้น…หลี่ซิ่วได้มาถึงดาวอังคารแล้ว เขามาหาข้าเพื่อขออนุญาตเข้าพบท่านขอรับ”

“หลิ่ซิ่วหรือ” สีหน้าของหวังเป่าเล่อแปลกแปร่งเมื่อได้ยินชื่อนั้น แต่เขาก็ยอมให้หลี่ซิ่วเข้าพบ เมื่อหลี่ซิ่วรู้ข่าว เขาก็มาถึงที่พักของหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็วด้วยความตื่นเต้นและกระตือรือร้นเป็นอันมาก

เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อ หลี่ซิ่วก็รีบก้าวเข้ามาหา เขายกมือขึ้นคารวะก่อนจะพูดด้วยเสียงอันดัง

“ซิ่วเอ๋อร์คารวะท่านพี่เขย ท่านเจ้าเมือง!”

หลินเทียนหาวตกตะลึง หวังเป่าเล่อทำเพียงเลิกคิ้ว มีรอยยิ้มบางๆ ฉาบอยู่บนใบหน้าขณะที่จ้องมองหลี่ซิ่ว ก่อนจะพูดอย่างเนิบๆ

“พูดให้ดีนะ พี่เขยเจ้าไม่ได้เป็นเจ้าเมือง เขาเป็นนายกเทศมนตรี!”

หลี่ซิ่วไม่ได้ดูเสียหน้าแต่อย่างใด เขาเงยหน้าขึ้นก่อนจะยกมือทุบอก สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกเป็นเกียรติ เขากล่าวอย่างรวดเร็ว

“หลี่ซิ่วผู้นี้รู้จักพี่เขยเพียงคนเดียวเท่านั้น ก็คือท่าน ท่านเจ้าเมือง เจ้าอันธพาลเฉินมู่นั่น ข้าไม่ขอนับญาติด้วย เขาเป็นอย่างไรบ้าง เขาไม่ได้ดูหล่อเหลาเท่าท่านพี่เขยของข้า เขาไม่ได้กล้าหาญ หรือไม่ได้ผอมเพรียวเท่าอีกด้วย ไหนจะยศถาบรรดาศักดิ์อันต่ำต้อย อายุตั้งปูนนั้นเป็นได้เพียงขุนนางระดับสี่ชั้นรอง ช่างเป็นกากเดนมนุษย์ที่ต่ำต้อยเสียยิ่งกว่าขยะ!

“ท่านพี่เขยไม่ต้องเป็นห่วงไป ข้ามาดาวอังคารครั้งนี้ก็เพื่อจะไปประจำอยู่ในเขตปกครองตนเองของเขา ข้าจะจับจาดูเจ้าคนชั่วนั่นอย่างใกล้ชิด ท่านไม่ต้องทำการสิ่งใดแม้แต่น้อย ข้าจะหาโอกาสกำจัดเขาด้วยตัวข้าเอง เจ้าคนบัดซบนั่นควรจะรู้จักส่องกระจกเสียบ้าง หน้าเขาหรือราวกับคางคก กล้าดีอย่างไรจึงจะมาแข่งขันกับท่านพี่เขยเพื่อแย่งพี่สาวข้ากัน!”

หลินเทียนหาวไม่ได้แสดงอาการตอบโต้คำพูดของหลี่ซิ่วแต่อย่างใด เพียงแค่หรี่ตาลงเล็กน้อยเท่านั้น เขาสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่หลิวต้าวปินมาถึง…

หวังเป่าเล่อจ้องมองหลี่ซิ่ว เขารู้สึกพึงใจอย่างยิ่ง แม้จะคิดว่าหลี่ซิ่วผู้นี้ยังต้องพัฒนาทักษะอีกหลายด้าน แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีดี ตัวอย่างเช่น ชายผู้นี้เป็นคนพูดความจริง ซึ่งถือเป็นคุณลักษณะอันพึงประสงค์

“นายกเทศมนตรีเฉินก็เป็นเจ้าหน้าที่ของสหพันธรัฐเช่นกัน ข้าคิดว่าไม่เหมาะนักที่เจ้าจะเรียกเขาว่าคนบัดซบ ต่อไปนี้อย่าเที่ยวไปพูดเช่นนี้ท่ามกลางฝูงชน” หวังเป่าเล่อนั้นเห็นได้ชัดว่ากำลังพึงใจอย่างมากอยู่ภายใน แม้ว่าถ้อยคำจะดูขึงขังก็ตาม

ดวงตาของหลี่ซิ่วเป็นประกาย เขารู้ดีว่าคำยกยอของตนได้ผลดี ก่อนจะรีบพูดข้อเสนอของเขาออกมาอย่างรวดเร็ว

“ไหนๆ เจ้าก็มีความแค้นส่วนตัวกับนายกเทศมนตรีเฉิน ในฐานะเจ้าเมือง ข้าก็ไม่อาจจะทัดทานได้ ต่อให้มีสิ่งใดเกิดขึ้นก็คงถูกมองว่าเป็นการขัดแย้งภายใน ข้าเองก็คงทำสิ่งใดไม่ได้มากไปกว่าช่วยไกล่เกลี่ยเท่านั้น” หวังเป่าเล่อพูด พลางจ้องมองหลี่ซิ่วอย่างเปี่ยมความหมาย ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจิบ

หลี่ซิ่วผู้นี้เป็นคนฉลาด หาไม่แล้วเขาคงไม่มาคารวะหวังเป่าเล่อทันทีที่ถึงดาวอังคาร ชายหนุ่มเข้าใจสิ่งที่หวังเป่าเล่อต้องการจะสื่ออย่างฉับพลัน และรู้ว่าหวังเป่าเล่อตอบรับคำขอของเขา หลังจากที่ได้ใคร่ครวญถ้อยคำของหวังเป่าเล่อเป็นอย่างดีแล้ว หลี่ซิ่วก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดเป็นนัยว่าต้องการการยืนยันอีกครั้งหนึ่ง

“ท่านเจ้าเมือง พี่เขยของข้า โปรดอย่ากังวล! ข้าจะจัดการเรื่องนี้อย่างเร็วที่สุด!” หลี่ซิ่วยกมือทุบอกอีกครั้ง เขารู้สึกตื่นเต้นและเปี่ยมล้นไปด้วยกำลัง ชายหนุ่มได้คิดวางแผนมาเป็นอย่างดีตั้งแต่ก่อนจะมาถึง เขาจะมาสวามิภักดิ์กับหวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งยิ่งใหญ่กว่าเฉินมู่มากนัก

อย่างไรเสีย เขาก็มีพี่สาวคนเดียว แปลว่าเขาสามารถขายนางได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น เมื่อเทียบกันแล้ว หวังเป่าเล่อดีกว่าเป็นไหนๆ ความคิดของเขาและบิดานั้นขัดแย้งกัน เหตุการณ์บนดวงจันทร์ทำให้หลี่ซิ่วเคารพหวังเป่าเล่อมากขึ้นโข ความเคารพนั้นก่อตัวจนแทบจะกลายเป็นความคลั่งใคล้เมื่อหวังเป่าเล่อไต่อันดับยศถาบรรดาศักดิ์ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset