หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 692 สังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ!

“หวังเป่าเล่อรึ”

ดวงตาประหลาดและรูปร่างน่าสะพรึงของหวังเป่าเล่อ ทำให้ใบหน้าของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณหลายคนในที่มีสีหน้าตกใจ ความไม่อยากเชื่อฉายชัดในแววตาของพวกเขา ไม่มีใครคาดคิดว่าหวังเป่าเล่อจะปลดปล่อยตนเองออกมาจากหมอกสีแดงได้ ภาพดวงวิญญาณมากมายนับไม่ถ้วนคุกเข่าลงแทบเท้า เพื่อหมอบกราบหวังเป่าเล่อราวกับว่าเขาเป็นราชันแห่งดวงวิญญาณทั้งปวงทั้งดูน่าตกใจและไม่น่าเชื่อ

กระนั้นทุกคนก็ยังเป็นผู้ฝึกตนที่มากด้วยประสบการณ์การรบจากตระกูลไม่รู้สิ้น ความตกใจที่ทุกคนรู้สึกทำให้พวกเขาหันมามองหน้ากัน ก่อนจะระเบิดความเร็วจนกลายเป็นร่างพร่ามัวทั้งสี่ ที่กระโจนเข้าหาหวังเป่าเล่อด้วยความเร็วสูง

พวกเขาไม่ลังเลแม้แต่น้อย หากแต่รีบปล่อยการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของตนเองทันที!

ชื่อหลินโบกมือเรียกชุดคลุมเต๋าสีเทาออกมา ชุดคลุมนั้นลอยอยู่เหนือศีรษะของเขา ดูราวกับว่ากำลังมีคนที่ไม่มีผู้ใดมองเห็นสวมใส่อยู่ ชุดคลุมปล่อยกลิ่นอายแห่งความตายไปทั่วขณะพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อ

ผู้ฝึกตนที่เหลือทั้งสามล้วนมีท่าไม้ตายเป็นของตนเอง คนหนึ่งสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆเพื่อเปลี่ยนร่างของตนให้กลายเป็นภาพซ้อน อีกคนกลายร่างเป็นกิ้งก่าสีดำขนาดยักษ์ที่เข้ารวมร่างกับคนแรก กิ้งก่าที่รวมร่างเรียบร้อยแล้วนี้มีปากขนาดใหญ่ ลมหายใจเหม็นเน่าโชยออกมาโดยรอบ พลังที่ปล่อยออกมาน่าสะพรึงกลัวและพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จนราวกับว่าจะฉีกทุกสิ่งที่ขวางหน้าออกเป็นเสี้ยวๆ

ส่วนคนสุดท้ายนั้นโบกมือและฉีกร่างของตนเองเป็นชิ้นๆ เผยให้เห็นศีรษะทั้งสามและแขนทั้งหมด เขาไม่สนใจอีกต่อไปแล้วว่าร่างจริงของตนจะถูกเปิดเผย และหมายเอาชนะหวังเป่าเล่อด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งของตน

ไพ่ตายของผู้ฝึกตนคนสุดท้ายนี้แปลกประหลาดที่สุดในทั้งหมด เขาก้าวเท้ามาข้างหน้า แบ่งร่างตนเองออกเป็นหลายร่าง ร่างทั้งหมดตรงมาจากทุกทิศทาง แต่ละร่างปล่อยแสงสีฟ้าเจิดจ้า ดูก็รู้ว่ามีพิษอาบไว้อย่างแน่นอน!

หวังเป่าเล่อมองทั้งสี่ปล่อยพลังของตนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เมื่อผู้ฝึกตนทั้งสี่กระโจนเข้าหาเขาด้วยแรงสังหาร ชายหนุ่มก็ยกมือขวาขึ้นโบก วิญญาณมากมายที่อยู่แทบเท้าหันขวับไปมองทั้งสี่ในทันที ทุกตนอ้าปากออกกรีดร้องไร้เสียง  เสียงที่ไม่ได้ยินพุ่งตรงเข้ากรีดทำลายจิตสัมผัสของผู้เคราะห์ร้าย ก่อนที่ดวงวิญญาณทุกดวงจะพุ่งเข้าใส่ทั้งสี่ในทันทีโดยไร้ซึ่งความกลัวใดๆ !

ดวงวิญญาณทั้งหมดรวดเร็วและมีจำนวนมากเหลือ พวกมันไหลบ่าเข้าหาผู้ฝึกตนทั้งสี่เหมือนน้ำทะเลที่พัดโหมเข้าฝั่ง แม้จะอ่อนแอกว่าจนจำนวนที่มากมายก็ไม่อาจเอาชนะทั้งสี่คนได้ แต่พวกมันก็เป็นเครื่องถ่วงเวลาให้หวังเป่าเล่อได้เป็นอย่างดี

คลื่นพลังปราณซัดสาดไปทั่วห้วงอวกาศในเวลานั้น หวังเป่าเล่อที่มีสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่แม้แต่จะมองผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่ถูกขังอยู่ในทะเลวิญญาณ ชายหนุ่มตรงไปยังหมอกที่กักขังเฟิ่งชิวหรันไว้ข้างในทันที เขาปรากฏตัวขึ้นข้างหมอกก้อนนั้นอย่างฉับพลับ ก่อนจะวางฝ่ามือขวาลงบนรอบนอกของหมอก

ในวินาทีนั้น ดวงวิญญาณที่อยู่ในกลุ่มหมอกซึ่งกำลังชอนไชเฟิ่งชิวหรันอยู่ก็สั่นเทิ้มอย่างรุนแรง พวกมันรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่กำลังทาบเงาทะมึนอยู่เบื้องบน เงาปล่อยรังสีอำมหิตเย็นเยียบออกมา และพูดเพียงประโยคเดียวเท่านั้น

“ไสหัวไป!”

แค่ประโยคเดียวก็แทบทำให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ พวกมันรีบหนีกระจัดกระจายทันที หมอกสีแดงต้านทานพลังของดวงวิญญาณที่กำลังหนีตายไม่ไหว จึงระเบิดในบัดดล วิญญาณมากมายนับไม่ถ้วนไหลบ่าออกจากหมอก เผยให้เห็นเฟิ่งชิวหรันที่หายใจรวยรินอยู่ภายใน

เฟิ่งชิวหรันเป็นผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก แม้นางจะถูกกักขังและโดนดูดพลังชีวิตอยู่เป็นเวลานาน แต่ความคิดของนางก็ยังชัดเจนแจ่มแจ้ง รูม่านตาของเฟิ่งชิวหรันหดแคบเมื่อเห็นว่าคนที่ช่วยชีวิตนางเป็นใคร นางจำหวังเป่าเล่อได้รางๆ ดวงตาตวัดหันไปมองดวงตาสีดำขนาดใหญ่เบื้องหลังชายหนุ่มที่กำลังปิดเปลือกตาอยู่

ภาพนั้นทำให้นางรู้สึกเหมือนต้องมนต์สะกด ราวกับกำลังจ้องเข้าไปในหลุมดำที่หมุนวนอย่างไม่หยุดยั้ง เฟิ่งชิวหรันรู้สึกเหมือนวิญญาณของตนกำลังจะออกจากร่าง ด้วยความตกใจ นางรีบกัดปลายลิ้นของตนเองเพื่อใช้ความเจ็บปวดเรียกสติ นางแตกตื่นอยู่เงียบๆ คนเดียว ไม่ทราบแม้แต่นิดว่าดวงตาสีดำนั้นคือสิ่งใด แต่รู้ว่าหวังเป่าเล่อยังไม่ได้ปลุกพลังของมันขึ้นมา กระนั้นสิ่งนี้ก็ยังทำให้สติของนางหลุดไปได้ชั่วครู่ พลังของดวงตาสีดำดวงนี้คงจะทรงพลังมากจนประเมินไม่ได้

“หวังเป่าเล่อ เจ้า…”

“อาจารย์ย่าชิวหรัน ดวงวิญญาณเหล่านี้ถ่วงเวลาผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น น่าเสียดายที่ไม่นานพอให้พวกเราหนีได้ทัน ท่านช่วยจัดการสักคนหนึ่งให้ข้าได้หรือไม่” ชายหนุ่มโบกมือขวาเพื่อหยิบขวดโอสถมากมายออกมา

เสียงของชายหนุ่มสงบเย็น เป็นความเย็นที่แตกต่างจากความเย็นของร่างกายเขา รวมถึงบรรยากาศน่าสยองขวัญที่ดวงตาซึ่งลอยอยู่เบื้องหลังชายหนุ่มแผ่ออกมาเป็นอย่างยิ่ง แม้กระทั้งเสียงของหวังเป่าเล่อที่สะท้อนอยู่ในหัวของเฟิ่งชิวหรันก็ยังเย็นเยียบ

“ได้!” เฟิ่งชิวหรันหยิบขวดโอสถมาดื่มในอึกเดียว นางพยักหน้าอย่างเด็ดขาด ตวัดสายตาไปมองผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่ถูกกักขังอยู่ และเริ่มโจมตีคนหนึ่งที่ยังเคลื่อนไหวไม่ได้ทันที

เมื่อเฟิ่งชิวหรันปล่อยการโจมตีใส่ สีหน้าของผู้ฝึกตนคนนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นตกใจ ทั้งสองเปิดฉากต่อสู้กันอย่างดุเดือด พลังปราณซัดออกมาเป็นคลื่นจากแรงปะทะ

มีผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณเหลืออยู่อีกสามคน ดวงตาของหวังเป่าเล่อตวัดผ่านทั้งสาม มาหยุดอยู่ที่ชื่อหลิน

“เห็นทีจะต้องรีบจัดการเสียหน่อย…” หวังเป่าเล่อพูดพึมพำกับตนเอง เขาก้าวเพียงก้าวเดียวไปหาชื่อหลิน เมื่อเท้าสัมผัสลงพื้น เส้นปราณสีโลหิตก็กระจายออกจากร่าง เข้าห่อหุ้มร่างกาย และกลายเป็นชุดเกราะจักรพรรดิ!

ร่างกายของเขาผอมลงมาแล้ว จึงแปลว่าเกราะจักรพรรดิไม่ได้ดูใหญ่มหึมาเหมือนเดิมอีกต่อไป แต่พลังงานกระหายเลือดที่ปล่อยออกมาไม่ได้ยิ่งหย่อนลงจากเดิมแม้แต่น้อย ดวงตาสีดำเบื้องหลังหวังเป่าเล่อยิ่งทำให้ชุดเกราะดูน่าสะพรึงกลัวมากขึ้นไปอีก ราวกับชายหนุ่มได้กลายไปเป็นเทพปีศาจอย่างไรอย่างนั้น เขาก้าวครั้งที่สองมาหยุดอยู่ข้างชื่อหลิน ยกมือซ้ายขึ้นส่งหมัดไปข้างหน้า!

หมัดนั้นอัดแน่นด้วยพลังของกระบวนเวทระเบิดกำเนิดดวงดารา เกราะจักรพรรดิ วิญญาณจุติดวงดารา รวมถึงดวงตาปีศาจ!

พลังของทุกกระบวนเวทที่ผนึกรวมกัน ทำให้หมัดก้าวผ่านขีดจำกัดของขั้นจุติวิญญาณไปเรียบร้อย และเป็นพลังที่ร่างกายของผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณไม่อาจทานทนได้ แต่หวังเป่าเล่อมีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปมากนัก และเกราะจักรพรรดิก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้เขาทนต่อพลังนี้ได้ ชายหนุ่มจึงสามารถปล่อยการโจมตีที่แซงหน้าขีดจำกัดของพลังขั้นจุติวิญญาณออกมาได้!

หมัดที่ปล่อยออกมาไม่เพียงเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ แต่มันแซงหน้าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้นไปเป็นที่เรียบร้อย จนมาหยุดอยู่ที่ชั้นกลางเลยทีเดียว!

สีหน้าของชื่อหลินหวาดหวั่นขึ้นมาทันที เขากู่ร้อง โบกแขนทั้งสองขึ้นเพื่อส่งชุดคลุมเต๋าสีเทาที่ลอยอยู่เหนือศีรษะออกไปข้างหน้า ชุดคลุมสีเทาลอยลงมาข้างล่างอยู่เบื้องหน้าเขา เพื่อเตรียมพร้อมต้านทานการโจมตีของหวังเป่าเล่อ

นอกจากนี้ชื่อหลินยังเตรียมตัวล่าถอยอย่างรวดเร็ว เขาตบหน้าผากของตนเองอย่างแรงเพื่อทิ้งร่างเปลือกนอกเอาไว้ เผยให้เห็นรูปร่างที่แท้จริงของผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่ภายใน

มันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง และเขาก็เดินหน้าทำตามแผนอย่างรวดเร็ว แต่ก็สายเกินไป!

ขณะที่ชุดคลุมสีเทาบินออกมาด้านหน้าชื่อหลิน ส่วนเจ้าตัวก็กระโจนล่าถอยไปข้างหลัง ประกายแสงก็วาบเข้ามาในดวงตาของหวังเป่าเล่อ ดวงตาสีดำเบื้องหลังชายหนุ่มที่หลับมาตลอด ก็พลัน…ลืมตาขึ้น!

จักรวาลสั่นสะเทือน ความเงียบสงัดเข้าปกคลุม ทั้งห้วงอวกาศ เวลา และสิ่งมีชีวิตทุกชนิดหยุดนิ่งไร้ความเคลื่อนไหว!

ชื่อหลินก็หยุดนิ่งเช่นกัน เขาตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ราวกับเส้นด้ายที่เชื่อมร่างกายกับวิญญาณได้ขาดสะบั้นลง ความคิดทั้งหมดทั้งมวลสูญหายไปจากจิตใจ ชื่อหลินยืนนิ่งสนิทอยู่เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ ผู้ที่เดินผ่านชุดคลุมสีเทาและเจ้าของของมันไปภายในพริบตา แขนขวาของชุดเกราะจักรพรรดิสว่างวาบด้วยแสงของอาวุธเทพ

ช้าเกินไปที่จะหนีการโจมตีหรือโต้กลับ และช้าเกินไปสำหรับผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่จะออกจากร่างเปลือกนอกของตน แขนอาวุธเทพฟาดไปข้างหน้าเพียงครั้งเดียว และการต่อสู้นี้ก็ปิดฉากลง… เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว ศีรษะของชื่อหลินปลิวไปในอากาศ เมื่อหัวหลุดจากบ่า ร่างของเขาก็เหี่ยวย่นลงในทันที เลือดและเนื้อถูกเกราะจักรพรรดิสูบเข้าไปจนหมดสิ้น วิญญาณของชื่อหลินถูกดวงตาสีดำกลืนกินเข้าไปในตอนเดียวกันนั้น เบื้องหลังหวังเป่าเล่อ ข้างๆ ดวงตาสีดำ มีดวงตาที่ปิดสนิทขนาดเท่ากำปั้น…ถือกำเนิดขึ้น!

ง่ายเพียงเท่านี้เองหรือ การสังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ หวังเป่าเล่อหลับตาลง รู้สึกได้ถึงพลังปราณอีกชนิดที่ไหลวนอยู่ภายในกาย ดวงตาปีศาจของเขาแข็งแกร่งขึ้น และกำลังคืบคลานใกล้ระดับที่สี่ของกระบวนเวทนี้เข้าไปทุกที

สีหน้าของชายหนุ่มราบเรียบ ไร้ซึ่งความยินดีหรือความเศร้าโศก นี่คือราคาที่ต้องจ่ายจากการฝึกกระบวนเวทดวงตาปีศาจ เขาไม่รู้สึกอะไรอีกแล้วขณะปลิดชีวิตผู้อื่น อันที่จริงแล้ว ความรู้สึกหิวกระหายที่บอกไม่ถูกกำลังค่อยๆ เปิดเผยตัวขึ้นในจิตใจ มันคือความรู้สึกหิวกระหายการฆ่า

น่าสนใจดี แปลว่าดวงตาปีศาจนี้มีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตนเองด้วยหรือนี่ มันกำลังพยายามจะควบคุมข้าเช่นนั้นหรือ… หวังเป่าเล่อประเมินแววหิวกระหายในจิตใจตนเอง ก่อนหันไปมองผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนที่สองที่ถูกขังอยู่ ความเย็นเยียบวาบเข้ามาในแววตาอีกครั้งขณะก้าวเดินไปหาเหยื่อรายที่สอง!

…………………….

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset