หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 711 เฉินโม่เฟิง!

เปลวไฟสีดำในกายหวังเป่าเล่อปะทุออกมาอย่างรุนแรงหลังจากที่ชายหนุ่มพูดจบ ก่อนจะแพร่กระจายออกไปจากไหล่ของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีอย่างบ้าคลั่ง!

น้ำแข็งสีฟ้าที่กักขังราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีเอาไว้พลันเปลี่ยนสีไปทันที

เปลวไฟจากร่างของชายหนุ่มคือเปลวไฟสีดำในกายของเขานั่นเอง!

ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอาจมีความรู้เรื่องสำนักแห่งความมืดที่เคยห้ำหั่นกับตระกูลไม่รู้สิ้นอย่างดุเดือดอยู่บ้าง แต่ด้วยระดับในตระกูลไม่รู้สิ้นของตัวเขาบวกกับระดับพลังปราณ ทำให้โยวหรันจำแนกไม่ได้ในทันทีว่ามันคือเปลวไฟสีดำของสำนักแห่งความมืด แต่กระนั้น ชายชราก็รู้ถึงอันตรายที่ไม่อาจบรรยายได้ ทำให้มีสีหน้าตื่นตกใจขึ้นมาในบัดดล

เปลวไฟสีดำแพร่ออกจากกายหวังเป่าเล่อ น้ำแข็งที่กักขังเขาเอาไว้เริ่มสลายไปอย่างรวดเร็ว!

มันไม่ใช่ละลายหายไปธรรมดา แต่อันตรธานไปเสียสิ้น!

การละลายหมายความว่าชั้นน้ำแข็งกลายเป็นน้ำเพราะสัมผัสกับเปลวไฟที่มีอุณหภูมิสูงกว่า ส่วนการสลายไปนั้น…มีความหมายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!

อุณหภูมิเป็นสิ่งสัมพัทธ์ น้ำแข็งสีฟ้าของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอาจดูเหมือนมีอุณหภูมิต่ำ แต่หากได้สัมผัสกับบางสิ่งที่เย็บเยียบเสียยิ่งกว่า น้ำแข็งก็จะไม่เป็นน้ำแข็งอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นไฟที่เยียบเย็นกว่าเดิม

น้ำแข็งสีฟ้ากำลังสลายไป หากสังเกตจากที่ไกลๆ จะเห็นว่าน้ำแข็งนั้นระเหิดหายไปในจักรวาล ปลดปล่อยผู้ที่ถูกจองจำอยู่ด้านใน ได้แก่ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีและหวังเป่าเล่อออกมา ขณะที่เปลวไฟสีดำแพร่กระจายออกไปนั้น น้ำแข็งสีฟ้าที่ยึดปราการดวงจันทร์เอาไว้ก็เริ่มสลายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน

ภาพนั้นทำเอานัยน์ตาของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันกระตุก

เปลวไฟนั้นทำมาจากอะไรกัน หัวใจของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเต้นระรัวขณะที่ร่างของชายชราผงะถอยหลังด้วยความตื่นตะลึง ผู้ฝึกตนบนสนามรบต่างก็ตื่นตกใจกันไปหมด ดาวศุกร์ที่เหมือนกับว่าจะต้องแตกสลายไปอย่างแน่นอนแล้วเมื่อไม่กี่วินาทีเริ่มมองเห็นประกายความหวังอีกครั้ง!

แต่หวังเป่าเล่อก็แอบลอบถอนหายใจอยู่อย่างลับๆ เพราะระดับพลังปราณของเขายังอ่อนแอเกินไป หากชายหนุ่มแข็งแกร่งมากพอและสามารถใช้เปลวไฟสีดำได้อย่างยิ่งใหญ่และอลังการกว่านี้ การต่อสู้ครั้งนี้…คงจะจบลงไปตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว

วินาทีนั้นเองความเด็ดเดี่ยวก็ฉายชัดอยู่ในแววตาของหวังเป่าเล่อ หลังจากที่ได้เอ่ยถ้อยคำเหล่านั้นออกมาและมอบประกายแสงแห่งความหวังให้สหพันธรัฐแล้ว ชายหนุ่มก็เอื้อมมือเข้าไปหาเมล็ดบัวนับสิบในเมล็ดดูดกลืนอย่างไม่รอช้าก่อนจะ…ขยี้พวกมันจนแตกละเอียด!

ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีตัวสั่นอย่างรุนแรง ก่อนที่ประกายสีแดงในดวงตาจะลุกโชติช่วงขึ้นมาอีกครั้ง ดูราวกับตะเกียงเจ้าพายุสองดวงที่สาดแสงสว่างอาบไปทั่วสนามรบทั้งหมด ดวงจิตที่กำลังหลับใหลดูจะดิ้นรนอย่างรุนแรง ไม่ต่างจากคนนอนหลับที่ถูกเขย่าตัวปลุกอย่างแรงและกำลังจะตื่นขึ้น!

จุดมุ่งหมายในการใช้เปลวไฟสีดำและขยี้เมล็ดบัวนั้นไม่ใช่ใดอื่น…หวังเป่าเล่อต้องการปลุกวิญญาณที่แท้จริงของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีขึ้นมานั่นเอง!

หวังเป่าเล่อคิดจะปลุกวิญญาณที่แท้จริงของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีขึ้นมาและใช้พลังที่แท้จริงของอีกฝ่ายปราบศัตรู มันเป็นไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดใบสุดท้ายของชายหนุ่มแล้ว!

สัญญาณอันตรายใหญ่หลวงทำให้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันตกตะลึง ประกายแสงรุนแรงฉาบเคลือบอยู่ในแววตา ไม่มีเวลามามัวกังวลเรื่องดาวศุกร์แล้ว ชายชรายกมือขึ้นสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ทำให้แผ่นวงแหวนทั้งสามบนเรือบินรบเต๋ามรณะของตระกูลไม่รู้สิ้นฉายแสงแรงกล้าออกมา แทนที่จะระเบิดแสงสีฟ้าออกมาอีกครั้ง คราวนี้แผ่นวงแหวนเหล่านั้นกลับเรียกผนึกที่เหมือนอันที่ปกคลุมดาวศุกร์เอาไว้ออกมาอีกผนึกหนึ่ง ผนึกนั้นลอยมาปรากฏอยู่เหนือศีรษะหวังเป่าเล่อ พลางปล่อยเปลวไฟสีดำสนิทออกมาโดยหวังจะหยุดและหลอมชายหนุ่มไปเสีย!

“ไม่มีใครขวางทางข้าได้หรอก!” ดวงตาของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันส่องประกาย ผนึกรูปร่างประหลาดที่อยู่ภายในส่องแสงจ้า ชายชราก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าวก่อนจะปล่อยพลังปราณทั้งหมดออกมา และพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็วราวกับเป็นศรที่ออกจากแล่ง!

ในที่สุดโยวหรันก็เข้าใจ การทำลายสหพันธรัฐแม้จะยากแต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ มีเพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่เป็นตัวปริศนาที่สุดในสงครามครั้งนี้ หากชายหนุ่มยังอยู่ การตัดสินใจผิดพลาดแม้แต่นิดเดียวก็อาจทำให้ผลลัพธ์ของการรบครั้งนี้ออกมาต่างไปอย่างสิ้นเชิง!

“ข้าจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้!”

ขณะที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ จู่ๆ ชายหนุ่มก็ผุดลุกขึ้นยืนตระหง่านอยู่บนไหล่ของราชาของเผ่าพันธุ์อมตะราตรี นัยน์ตาส่องประกายกล้า แขนทั้งสองก็ยืดกางออกไป เปลวไฟสีดำภายในกายพวยพุ่งออกมาอีกครั้ง พร้อมกับพลังของวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณ พลังของทั้งสองประกอบกับพลังของดอกบัวในกายหวังเป่าเล่อแปรสภาพเป็นพลังของวิชาแห่งศาสตร์มืด พลังที่ดูราวจะดูดกลืนเอาวิญญาณเข้าไปได้ หวังเป่าเล่อพูดออกมาเนิบๆ “เฉินโม่เฟิง!”

เสียงติดสำเนียงแปลกแปร่งของชายหนุ่มดังสะท้อนก้องไปในอวกาศ ก่อนจะพาให้ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีตัวสั่น แล้วส่งเสียงคำรามออกมาน่าสะพรึงกลัว

“วิญญาณ จงกลับมาเถิด!” หวังเป่าเล่อกล่าว เสียงของชายหนุ่มเหมือนจะมีอำนาจควบคุมวิญญาณได้ ราวกับว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นวาจาสิทธิ์ ชายหนุ่มประกบมือเข้ามาหากันเป็นผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ก่อนจะแยกออกจากกันคล้ายการแยกกันของหยินและหยาง การเป็นอิสระจากชีวิตและความตาย ในที่สุดวิญญาณที่หลับไหลอยู่…ก็ตื่นขึ้น!

ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีเงยศีรษะขึ้นมองฟ้าแล้วคำรามออกมาอีกครั้ง โทสะของเขาดังสนั่นสะท้อนก้องไปทั่วทั้งสนามรบ ส่งเอาความกลัวและตื่นตะลึงเข้าไปอยู่ในทุกหัวใจที่เต้นระรัว เสียงคำรามกลบเสียงของหวังเป่าเล่อไปสิ้น ส่งคลื่นพลังวิญญาณกระเพื่อมออกไปในจักรวาล รัศมีอันน่าสะพรึงกลัวปะทุออกมาจากร่างของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี!

รัศมีที่ปรากฏออกมานั้นเหนือชั้นกว่าทุกคนในสนามรบ ผู้ฝึกตนทุกคน ไม่ว่าจะจากสำนักวังเต๋าไพศาลหรือสหพันธรัฐ ต่างก็ตัวสั่นเทิ้มไปตามๆ กัน!

กระทั่งศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็ยังตัวสั่นเทาทั้งๆ ที่ยังพุ่งเข้าหาอยู่ ชายชราถอยกรูดตามสัญชาตญาณ และตื่นกลัวเกินกว่าจะเข้าใกล้ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี รอยสีแดงปรากฏขึ้นบนหน้าผากของโยวหรัน ดูเหมือนว่าตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่ามีรอยนั้นอยู่ ลึกลงไปในเรือบินรบเต๋ามรณะของตระกูลไม่รู้สิ้น สตรีนางหนึ่งที่นั่งอยู่บนหน้าผาเริ่มผงกศีรษะขึ้นช้าๆ นางจ้องมองออกไปยังโลกภายนอกเรือบินรบ คลื่นอารมณ์อันปั่นป่วนฉาบเคลือบอยู่ในแววตา

วินาทีเดียวกันนั้นเอง แสงสีแดงในนัยน์ตาของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือแสงสลัวลุ่มลึกที่ดูจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความสับสนและงุนงง

สนามรบเงียบสงัด ไม่มีใครพูดอะไรทั้งสิ้น ต่อให้ตื่นเต้นเพียงใด เฟิ่งชิวหรันก็ยังพูดไม่ออกเพราะแรงกดดันอันมหาศาลที่ส่งมาจากราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ไม่มีใครสังเกตเห็นหลี่อู๋เฉินในตอนนั้น ชายหนุ่มตัวสั่นเทา ผนึกที่อยู่ในดวงตาทั้งสองเหมือนจะแตกสลายไป ทำให้ความทรงจำมากมายไหลกลับคืนมาในศีรษะ ในดวงตาปรากฏแววตเวทนาเมื่อชายหนุ่มจ้องมองไปยังราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี

“เฉินโม่เฟิง…”

ท่ามกลางความตื่นตกใจของทุกคน เฉินโม่เฟิงก็ก้มศีรษะลงมองผนึกต้องสาปบนเนื้อหนังของตนเองอย่างงุนงง ก่อนจะหันไปมองโซ่ตรวนที่ล่ามเขาเอาไว้ จากนั้นก็หันศีรษะไปมองหวังเป่าเล่อที่อยู่บนไหล่อย่างเงียบเชียบ ราวกับว่าสายตาของเขากวาดผ่านหวังเป่าเล่อไป โชคไม่ดีนักที่เมื่อเขาตื่นขึ้น ความคิดอ่านทั้งหลายยังไม่ตื่นตามเขาไปด้วย ทำให้เฉินโม่เฟิงยังตกอยู่ในความสับสน

ใบหน้าของหวังเป่าเล่อซีดขาว ชายหนุ่มยืนอยู่บนบ่าของเฉินโม่เฟิง พร้อมรับรัศมีอันรุนแรงของอีกฝ่ายเข้าไปเต็มๆ เขาต้องใช้พลังของวิญญาณจุติดวงดารา เกราะจักรพรรดิ เปลวไฟสีดำ และความเกี่ยวโยงกันระหว่างดอกบัวเขียวกับราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี จึงสามารถยืนต่ออยู่ได้ หวังเป่าเล่อหันไปสบตาราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ชายหนุ่มยกมือขึ้นอย่างยากเย็นพลางประกบมือและก้มศีรษะคารวะต่ำ

“ข้า หวังเป่าเล่อ เป็นศิษย์น้องของท่านและศิษย์แห่งสำนักวังเต๋าไพศาล ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันทรยศหักหลังสำนักและส่งสำนักวังเต๋าไพศาลไปสู่อันตราย ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากต้องปลุกท่านผู้อาวุโสขึ้นมา ข้าน้อยขอร้องให้ท่านช่วยเหลือและสังหารผู้ทรยศศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันผู้นี้ด้วยเถิด!”

ดูเหมือนว่าเฉินโม่เฟิงจะไม่ได้ยินหวังเป่าเล่อเลยแม้แต่น้อย เขาถอนสายตาสับสนที่จ้องมองหวังเป่าเล่อไปกวาดดูสนามรบ หยุดจับจ้องหลี่อู๋เฉินอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะเคลื่อนต่อไปหยุดนิ่งอยู่ที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันซึ่งตัวสั่นเทา ขนหัวลุกตั้ง เฉินโม่เฟิงมองเห็นรอยบนหน้าผากศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ซึ่งดูเหมือนจะกระตุ้นบางอย่างในตัวขึ้นมา ชายในร่างยักษ์ดูราวกับกำลังต่อสู้กับความสับสนของตัวเอง

หวังเป่าเล่อเริ่มโมโหที่เฉินโม่เฟิงเมินตนอย่างสิ้นเชิงหลังจากตื่นขึ้นมา ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าพลังของเมล็ดบัวที่ถูกขยี้ไปนั้นจางหายไปอย่างรวดเร็วพร้อมๆ กับการตื่นขึ้นของเฉินโม่เฟิง และจะหายไปสิ้นภายในอีกสิบลมหายใจ จากนั้นเฉินโม่เฟิงจะกลับไปหลับไหลอีกครั้ง ด้วยความวิตกกังวล ชายหนุ่มจึงตะโกนเรียกเฉินโม่เฟิงอีกรอบ

“ได้โปรดเถิด ผู้อาวุโสผู้ทรงเกียรติ โปรดช่วยข้าสังหารชายผู้นี้ด้วย!” หวังเป่าเล่อเขย่าดอกบัวสีเขียวในกายอย่างรุนแรงขณะที่พูด พลางปลดปล่อยเปลวไฟสีดำไปด้วย เฉินโม่เฟิงตัวสั่นน้อยๆ ก่อนจะมีจิตสังหารปรากฏขึ้นบนแววตา พาให้ยกมือขวาใหญ่ยักษ์ขึ้นช้าๆ

บรรดาวิญญาณจันทรา เผ่าพันธุ์อมตะราตรี และแมลงจันทราบนดวงจันทร์ต่างก็ตัวสั่นเทาเมื่อเห็นท่าทางนั้น มีพลังปริศนาบางอย่างกำลังฉุดรั้งพวกมัน ในที่สุดพวกมันก็สลายกลายเป็นดวงไฟเล็กจ้อยที่ล่องลอยไปสู่จักรวาล

ดวงไฟเหล่านั้นมีจำนวนนับแสนๆ ดวง พวกมันขึ้นไปรวมตัวกันบนจักรวาลราวกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีมาโดยตลอด ก่อนจะแปรสภาพเป็นสายน้ำแห่งแสงที่ไหลอยู่ข้างกายราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ขณะที่มือขวาของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรียกขึ้นจนเต็มที่ สายน้ำแห่งแสงก็ไหลไปยังมือข้างที่ยกอยู่ก่อนจะแปรสภาพกลายเป็นนิ้วมายา!

นิ้วนั้นช่างเล็กจ้อยหากเทียบกับขนาดดวงจันทร์ เล็กประมาณหนึ่งในสิบเท่านั้น แต่การปรากฏขึ้นของมันก็ทำให้ทุกคนที่รายล้อมอยู่ถึงกับตื่นตะลึง นิ้วพุ่งเข้าหาศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอย่างรวดเร็วปานฟ้าผ่า!

……………………………

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset