ราชครูก็ยังคงดูเจ้าเล่ห์ไม่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่เด็กชายยังดูน่าขนลุกอยู่เหมือนเคย ร่างกายโปร่งแสงของพวกเขาจางลงไปจนดูราวกับจะหายไปได้ทุกขณะ
คำทักทายของชายร่างกำยำนั้นเสียงดังฟังชัดที่สุด ในบรรดาวิญญาณวุธทั้งสาม เขาเป็นคนที่ภักดีต่อหวังเป่าเล่อที่สุด
ทั้งสามไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย ขณะที่หวังเป่าเล่อนั้นไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว ตอนที่จากทั้งสามไป ชายหนุ่มอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นใน มาบัดนี้ เขากลับมาพร้อมพลังปราณขั้นจุติวิญญาณ และพลังการต่อสู้ที่เทียบเท่าชั้นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ อันที่จริงแล้ว หากนับรวมพลังของเกราะจักรพรรดิและวิญญาณจุติดวงดาราเข้าไปด้วย การสังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้นก็เรียกได้ว่าง่ายดายสำหรับเขาทีเดียว!
ไหนจะดวงตาปีศาจสีดำที่ช่วยเสริมพลังให้เขาอีก มันพาเขาเข้าใกล้พลังขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายเข้าไปทุกขณะ ณ ปัจจุบันนี้ ต่อให้วัตถุเวทแห่งความมืดจะไม่รับรู้ว่าเขาเป็นเจ้าของมัน ชายหนุ่มก็ยังสามารถบังให้วิญญาณวุธทั้งสามไปต่อรองแทนเขาได้
เป็นเหตุให้เมื่อวิญญาณทั้งสามมาทักทาย ชายหนุ่มจึงไม่ได้รอช้า เขาเรียกเกราะจักรพรรดิออกมาและปลดปล่อยพลังปราณเต็มที่ทันที พลังอันมหาศาลเข้าโอบล้อมรอบกายเขาเอาไว้ วิญญาณทั้งสามแม้จะแคลงใจกับพลังของหวังเป่าเล่ออยู่เมื่อครู่ แต่การปลดปล่อยพลังอย่างปุบปับก็ทำเอาพวกเขาตกตะลึง
สีหน้าของราชครูเปลี่ยนแปลงไป นัยน์ตาของเด็กชายเบิกโพลง ชายร่างกำยำก็เช่นกัน ทุกคนยืนนิ่งค้างอยู่กับที่ พวกเขาบาดเจ็บหนักเพราะความเสียหายที่วัตถุเวทแห่งความมืดต้องเผชิญ ส่งผลให้ไม่สามารถคาดเดาระดับปราณของหวังเป่าเล่อได้แม่นยำนัก การที่จู่ๆ ระดับปราณของชายหนุ่มสร้างแรงกดดันขนาดมหาศาลใส่ทั้งสาม ทำให้พวกเขาถึงกับต้องผงะ
“เอาละ ลุกขึ้นเถิด วัตถุเวทแห่งความมืดเป็นอย่างไรบ้างระหว่างที่ข้าไม่อยู่” หวังเป่าเล่อเก็บเกราะจักรพรรดิไปก่อนจะถามอย่างเนิบๆ
เมื่อเหล่าวิญญาณหายจากอาการตื่นตะลึงเมื่อครู่ พวกเขาก็ละล่ำละลักตอบหวังเป่าเล่อ ไม่มีอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นตั้งแต่ที่ชายหนุ่มจากไป แต่เพราะขาดแคลนวัตถุดิบ ทำให้การซ่อมบำรุงวัตถุเวทแห่งความมืดดำเนินไปอย่างยากเย็น
หวังเป่าเล่อพยักหน้า และด้วยการโบกมือขวาเพียงครั้งเดียว วัตถุดิบจำนวนมหาศาลก็หลั่งไหลออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างมีครบ แม้อาจจะยังไม่พอสำหรับการซ่อมบำรุงวัตถุเวทแห่งความมืด แต่ก็ถือว่ามากพอดู
เมื่อบรรดาวัตถุดิบชนิดต่างๆ ออกมากองกันเป็นภูเขาย่อมๆ ปราณวิญญาณในอากาศก็หนาแน่นขึ้นมาในบัดดล หลังจากที่หวังเป่าเล่อหยิบของเหลววิญญาณและต้นกำเนิดดาราออกมา ปราณวิญญาณในอากาศก็หนาแน่นมากเสียจนแทบจะแปรสภาพเป็นของเหลว
วิญญาณวุธทั้งสามตื่นตะลึงอีกครั้ง นัยน์ตาของพวกเขาเบิกโพลง ยังไม่จบแค่นั้น…ความตื่นตะลึงครั้งใหญ่ตามมาในตอนจบ!
พอหวังเป่าเล่อวางของที่เขาไปเก็บมาจากดาวเคราะห์เต๋าไพศาลหลักและดาวดวงอื่นๆ บรรดาวิญญาณวุธก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นไปอีกเมื่อได้เห็นแร่อัคคีชั้นสูงสุดที่ชายหนุ่มไปได้มาจากป่ามี่หลัว
“แร่อัคคีชั้นสูงสุด!”
“สวรรค์ แร่นี้จะช่วยเร่งอัตราการซ่อมแซมได้เป็นอย่างดี อันที่จริงแล้ว มันเป็นวัตถุดิบที่จำเป็นอย่างยิ่งในซ่อมแซมวัตถุเวทแห่งความมืด เป็นวัตถุดิบหลักที่ไม่สามารถใช้อย่างอื่นมาแทนที่ได้!”
“ช่างน่าเสียดายที่มีอยู่น้อยเหลือเกิน…” ดวงวิญญาณทั้งสามทอดถอนใจ หวังเป่าเล่อดูไม่ตื่นตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มมองหน้าราชครู ก่อนจะหยิบกำไลคลังเวทออกมาอีกอัน คราวนี้แทนที่จะหยิบวัตถุดิบออกมา เขากลับหยิบ…กระเป๋าคลังเก็บร่วมสิบใบออกมาจากกำไลคลังเวท หวังเป่าเล่อเปิดทุกใบออก ก่อนที่แร่อัคคีชั้นสูงสุดจำนวนมหาศาลจะไหลบ่าออกมากองเป็นภูเขาอยู่แทบเท้า
ดวงวิญญาณทั้งสามผงะด้วยความตื่นตะลึง ก่อนที่พวกเขาจะได้พูดอะไร หวังเป่าเล่อก็ส่งเสียงต่ำอยู่ในลำคอเป็นเชิงคิด และดึงศพอสูรออกมาอีกสองศพ!
พวกมันคือศพของอสูรเขี้ยวดาราขั้นจิตวิญญาณอมตะที่เขาเจอระหว่างที่อยู่ในป่ามี่หลัวสองวัน ศิษย์พี่ของเขาบังคับให้พวกมันพุ่งชนกันและตายสนิท ก่อนที่พวกมันจะตาย พวกมันยังช่วยหวังเป่าเล่อประหยัดเวลาโดยการกระชากแก่นในอสูรออกมาให้เขาเสียเอง!
“ใช้พลังของวัตถุเวทแห่งความมืดชุบชีวิตอสูรเขี้ยวดาราทั้งสองนี้ ข้ามีงานสำคัญให้พวกมันทำ แล้วก็…เริ่มการซ่อมแซมวัตถุเวทแห่งความมืดทันที ข้าให้เวลาสิบวัน สิบวัน…เพื่อฟื้นฟูวัตถุเวทแห่งความมืดให้อยู่ในสภาพที่ข้าจะดึงมันออกจากถ้ำนี้และเอามันขึ้นไปต่อสู้บนอวกาศได้!” น้ำเสียงเด็ดขาดของหวังเป่าเล่อแสดงให้เห็นว่าไม่มีพื้นที่ให้ต่อรองแม้แต่น้อย ชายหนุ่มรู้ดีว่าเวลาเหลือไม่มากแล้ว
เห็นได้ชัดว่าวิญญาณทั้งสามแอบลอบออกไปข้างนอกในช่วงที่เขาไม่อยู่ พวกมันจึงรู้เรื่องสงครามระหว่างสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลดี ราชครูไปได้จอภาพที่ฉายข่าวในสหพันธรัฐจึงเอามาให้ทุกคนดู พวกเขาติดตามสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกถ้ำอย่างใกล้ชิด และรู้ถึงความสุ่มเสี่ยงของสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งสามไม่กล้าตีหน้าซื่อ ก่อนจะพยักหน้าอย่างขึงขังแล้วรีบแยกย้ายกันไปทำงานทันที
หวังเป่าเล่อมองดูดวงวิญญาณทั้งสามหายตัวไป ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าทั้งสามกำลังเริ่มซ่อมแซมวัตถุเวทแห่งความมืดอย่างแข็งขัน ชายหนุ่มหรี่ตาลง หวังเป่าเล่อคนเก่าคงจะไม่ยอมให้วิญญาณวุธทั้งสามเริ่มการซ่อมแซมได้โดยง่าย แม้ว่าอาจารย์ของเขาจะใช้เคล็ดเวทนิมิตมืดบอกพวกเขาว่าชายหนุ่มเป็นเจ้านายในนิมิตมืดแล้วก็ตาม เหตุก็เพราะวัตถุเวทแห่งความมืดเสียหายหนัก ทำให้บรรดาวิญญาณวุธอ่อนแอลงไปเช่นกัน การซ่อมแซมวัตถุเวทแห่งความมืดจะช่วยฟื้นฟูพลังของทั้งสามไปด้วยในตัว
เรื่องอาจไม่เป็นไปตามนั้นก็ได้ อีกประเด็นหนึ่ง…ชายหนุ่มกลัวจะถูกวิญญาณทั้งสามกลืนกิน เป็นเหตุให้หวังเป่าเล่อยังชั่งใจอยู่ตอนที่ออกไปหาวัตถุดิบ
แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว หวังเป่าเล่อไม่มีเวลาอีกต่อไป ไม่อาจรอได้อีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มก็แข็งแกร่งขึ้นมากโข จึงทำให้เขามั่นใจกับการเดิมพันครั้งนี้มากพอ ยิ่งไปกว่านั้น เขาคำนวณไว้เรียบร้อยแล้ว แม้หวังเป่าเล่อจะเก็บวัตถุดิบมาได้จำนวนมาก แต่ก็ยังห่างไกลจากการซ่อมบำรุงให้วัตถุเวทแห่งความมืดกลับไปอยู่ในสภาพสมบูรณ์ได้
น่าจะซ่อมให้กลับไปมีพลังได้สักครึ่งหนึ่ง…ระดับพลังปราณของข้าในตอนนี้น่าจะเพียงพอที่จะเรียกใช้อีกพลังหนึ่งของวัตถุเวทแห่งความมืดได้
หวังเป่าเล่อหรี่ตาและขยายจิตวิญญาณสัมผัสของตนเองออกไปปกคลุมวัตถุเวทแห่งความมืด เชื่อมไปถึงเสื้อคลุมแห่งความมืด เรือสำปั้นแห่งความมืด และไม้พายตะเกียงแห่งความมืดในทันที ชายหนุ่มค่อยคลายใจและยอมให้จิตของตนเชื่อมต่ออยู่กับวัตถุเวทแห่งความมืดทั้งสามไว้ตลอดอยู่อย่างนั้น
การทำเช่นนี้จะช่วยเร่งความเร็วในการซ่อมแซมวัตถุเวทแห่งความมืด ยิ่งไปกว่านั้น จากที่หวังเป่าเล่อจำได้จากนิมิตมืด ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาควรสร้างอวตารของดวงจิตตัวเองเอาไว้
ในอดีตสิ่งนั้นอาจเกินความสามารถ แต่ขณะนี้ หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าเขาน่าจะทำได้สำเร็จ
หวังเป่าเล่อสร้างผนึกฝ่ามืออย่างบ้าคลั่ง ร่างมายาค่อยๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา ดวงตาทั้งคู่ของมันปิดอยู่ และดูเหมือนหวังเป่าราวกับฝาแฝด สิ่งเดียวที่ต่างกันคือเครื่องแต่งกายเท่านั้น
ร่างอวตารอยู่ในชุดคลุมสีดำสนิท ยืนอยู่บนเรือสำปั้นแห่งความมืด ในมือข้างหนึ่งถือไม้พายแห่งความมืด ที่ตรงปลายมีตะเกียงแห่งความมืดห้อยอยู่ ร่างอวตารนั้นไม่เชิงเป็นภาพมายาเสียทีเดียว แต่ก็ไม่ใช่ความจริงเช่นกัน คล้ายกับว่าก่อตัวขึ้นมาจากหมอกควันสีดำที่ปล่อยรัศมีเย็นยะเยือกออกมาเป็นระลอก ดูราวกับเป็นผู้นำสารแห่งความตายที่ขึ้นมาเหยียบบนโลกมนุษย์
จู่ๆ ร่างอวตารก็เปิดตาขึ้นมา แสงไฟประหลาดในดวงตาทั้งคู่ส่องประกายกล้า ทำให้ร่างนั้นดูไม่เหมือนมนุษย์ หวังเป่าเล่อใช้จิตสัมผัสวิญญาณเข้าไปสำรวจความสามารถด้านการสู้รบของร่างอวตาร ก่อนจะถอนหายใจ
แทบไม่มีเลย แต่ก็เป็นวิธีควบคุมวัตถุเวทแห่งความมืดที่สะดวกดีไม่ใช่น้อย อย่างน้อยๆ ถ้าเทียบกันแล้ว ก็ดีกว่าการใช้ร่างจริงของข้า หวังเป่าเล่อจมดิ่งอยู่ในความคิด จากนั้นร่างอวตารของเขาก็ยกมือขวาที่ชูไม้พายเอาไว้ขึ้น จู่ๆ พายุหมุนก็ปรากฎขึ้นบริเวณที่ศพของอสูรเขี้ยวดาราทั้งสองนอนอยู่ ก่อนจะกลืนศพทั้งสองเข้าไป ปราณมืดปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุและไหลบ่าเข้าสู่ศพทั้งสอง
วัตถุเวทแห่งความมืดจะกลายมาเป็นอาวุธคู่ใจชิ้นใหม่ของข้า ขั้นต่อไป ข้าต้องใช้พลังของวัตถุเวทแห่งความมืดเพื่อหลอมศพอสูรทั้งสองนี้ให้กลายเป็นหุ่นเชิด พวกมันจะกลายเป็นอาวุธคู่ใจลำดับสองของข้า นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อแวววาวด้วยความมุ่งมั่น ชายหนุ่มพยายามผลักดันร่างอวตารของเขาให้ใช้วัตถุเวทแห่งความมืดในการหลอมซากอสูรทั้งสอง
หุ่นเชิดถือเป็นสมบัติเวทอีกรูปแบบหนึ่ง และหวังเป่าเล่อก็มีความสามารถเหนือผู้ฝึกตนธรรมดาในด้านนี้ ประสบการณ์ที่ชายหนุ่มสั่งสมมาในช่วงปีต้นๆ ที่ทำให้เขาระลึกได้ว่าตนเองมีความสามารถในการหลอมหุ่นเชิด
ช่วงที่เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดในสำนักวังเต๋าไพศาล ชายหนุ่มได้อ่านจารึกและหนังสือของสำนักวังเต๋าไพศาลจำนวนมาก ซึ่งช่วยเพิ่มพูนความเชี่ยวชาญด้านการหลอมวัตถุเวทและหุ่นเชิดให้เขา
นอกจากหุ่นเชิดแล้ว ข้าต้องหลอมและเสริมพลังให้วัตถุเวทอื่นๆ ด้วย ชายหนุ่มยกมือขึ้นโบกเรียกคันธนูสีดำออกมา ก่อนจะส่งมันเข้าไปในพายุหมุน มือของเขาประกบเข้าหากันก่อนจะสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ และเริ่มหลอมวัตถุเวทอย่างเร่งรีบ
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังง่วนอยู่กับการหลอมวัตถุเวทนั้นเอง ดาวอังคารก็กำลังวุ่นวายกับการเตรียมตัวรับมือสงครามหลังจากที่การเคลื่อนย้ายครั้งใหญ่สิ้นสุดลง ทุกคนปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารอย่างเคร่งครัด เวลายังเดินหน้าต่อไปไม่หยุด
ผ่านไปแล้วเจ็ดวัน มีการตรวจสอบระบบของวงแหวนปราณระบบสุริยะ ระบบเตือนภัยถูกติดตั้งรอบดาวอังคาร และวัตถุเวททั้งหมดก็พร้อมใช้งาน จากนั้นเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารจึงออกคำสั่งลงไป วัตถุเวททั้งหมดปล่อยพลังออกมาพร้อมกัน รวมกันเป็นลำแสงจำนวนมหาศาลที่พุ่งเข้าไปในจักรวาลเหนือดาวอังคาร
เกิดวังวนขนาดมหึมาขึ้นในอวกาศในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง และเรือบินรบตระกูลไม่รู้สิ้นก็พุ่งออกมาจากภายในวังวนนั้น!
การโจมตีของวัตถุเวทพุ่งเข้าใส่เรือบินรบอย่างจัง แต่ก็แทบจะไม่สร้างรอยขีดข่วนให้อีกฝ่ายเลย ขณะที่บรรดาวัตถุเวทกลับสลายไปเพราะการโจมตีนั้นเป็นการทำลายตนเองด้วย ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นบนเรือบินรบ…เขาคือศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันนั่นเอง!
“หวังเป่าเล่อ!” ใบหน้าของชายชราคลั่งแค้นราวกับเป็นพายุคลั่ง จิตสังหารฉาบเคลือบอยู่ในดวงตา เขายกมือขวาขึ้นก่อนจะชี้ไปที่ดาวอังคาร กองเรือบินรบขนาดมหึมาของสำนักวังเต๋าไพศาลปรากฏขึ้นเบื้องหลัง ผู้รอดชีวิตของสำนักวังเต๋าไพศาลและหุ่นเชิดตระกูลไม่รู้สิ้นนับแสนปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน และพุ่งเข้าไปหาดาวอังคารทันที
เจ้านครอาณานิคมส่งคำสั่งออกไปด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดอย่างไม่รอช้า
“เริ่มการจู่โจมของวงแหวนปราณระบบสุริยะแนวแรกทันที!”
……………………